"เรื่องมันฟ้อง"
โดย...กรงเล็บ
มีการวิจารณ์กันมากถึงผลงานในรอบ 1 ปีที่ผ่านมาของรัฐบาลว่า สอบได้หรือสอบตก
แม้กระทั่งพรรคเพื่อไทยเองก็ออกโรงมาถล่มเรื่องนี้กับเขาด้วย ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะฝ่ายบริหารจะต้องถูกตรวจสอบอย่างหนักจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะฝ่ายค้าน เพื่อให้เกิดการถ่วงดุลในการใช้อำนาจ
แต่ขณะเดียวกันฝ่ายค้านอย่างพรรคเพื่อไทยก็ควรจะย้อนมองดูตัวเองด้วยว่า ตลอดทั้งปีที่ผ่านมามีผลงานอะไรให้ประชาชนชื่นตาชื่นใจได้บ้าง
นอกจากจะแสดงสันดานดิบให้เห็นชัดเจนว่า สอบตกงานสภา ได้ข้อหาขายชาติ รับใช้ทรราชเป็นอาจิณ
ที่กล่าวอย่างนี้มิได้เกินเลยไปจากความเป็นจริง หรือว่ามีอคติส่วนตัวกับพรรคเพื่อไทย เพียงแต่พฤติกรรมที่ปรากฏมันชัดเจนอย่างยิ่งว่า
ส.ส.พรรคเพื่อไทยมิได้สำเหนียกเลยว่า เท้าที่ก้าวเข้าสู่สภาได้มาจากความไว้เนื้อเชื่อใจของประชาชน และพวกเขาต้องทำหน้าที่แทนปวงชนชาวไทย มิใช่ทำหน้าที่เป็นตัวแทน “ทักษิณ ชินวัตร” โดยไม่ยอมปลดแอกตัวเองจากการเป็นทาสน้ำเงินเสียที
ทั้ง ๆ ที่เสด็จพ่อ ร.5 ท่านทรงเลิกทาสมาตั้งนานแล้ว แต่นักการเมืองพวกนี้กลับยอมเป็น“ทาสหลงยุค”
มีพฤติกรรมอะไรบ้าง ลองมาไล่เรียงดูหน่อย
เริ่มต้นที่การทำงานในสภา ซึ่งพรรคเพื่อไทยใช้อยู่มุกเดียว คือ นับองค์ประชุม เล่นเกมกับรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ แน่นอนว่าเป็นสิทธิที่สามารถทำได้ แต่ต้องตั้งคำถามกลับเหมือนกันว่า ทำแบบพร่ำเพรื่อจนกระทั่งทำให้งานสภาที่ต้องผลักดันกฎหมายสะดุดไปด้วยนั้น มันเกินความพอดีหรือไม่
นั่นยังไม่เลวร้ายเท่ากับการอภิปรายของพรรคเพื่อไทย เพราะทุกครั้งที่เปิดปากก็ล้วนแต่สรรเสริญเยินยอ “พ่อนอกไส้”ไร้แผ่นดินเกิดพำนัก ควบคู่ไปกับการปกป้องชนิดที่เรียกว่า “แตะไม่ได้”
เวทีสภาจึงแปรสภาพมาเป็นหนึ่งในกลไกของ “ทักษิณ” ในการทำร้ายประเทศ ทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของกระบวนการยุติธรรม ด้วยการผลิตวาทกรรมซ้ำซาก “สองมาตรฐาน”
โดยมีตัวอย่างจาก “วิสาระดี เตชะธีรวัฒน์” ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย อยากเป็นดาวเด่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ “กษิต ภิรมย์” รมว.ต่างประเทศ ดันไปพาดพิงถึงศาลรัฐธรรมนูญ จนถูกฟ้องกระทั่งหุบปากเงียบไม่กล้าอภิปรายใด ๆ อีก
หยุดการตะกายเป็นดาวเด่นกลายเป็นดาวดับในฉับพลันทันที
นอกจากนี้ยังผนึกกำลังเหนียวแน่นเป็นเนื้อเดียวกับคนเสื้อแดง เสริมการเคลื่อนไหวนอกสภาด้วยการจัดหามวลชน นำวาระทักษิณมาขับเคลื่อนในสภาอย่างไร้ความรับผิดชอบ ทำลายหลักนิติรัฐ และหลักการของบ้านเมือง ด้วยความพยายามฉีกรัฐธรรมนูญ 50 และออกกฎหมายนิรโทษกรรม โดยไม่สนใจร่วมหาทางออกกับบ้านเมือง
มีแต่จะขยายความแตกแยก เพิ่มความขัดแย้งให้กับคนในชาติ เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองให้กับ นช.ทักษิณ ด้วยการเอาประเทศชาติและหลักการของบ้านเมืองเป็นเดิมพัน
ไม่เพียงเท่านี้ยังใช้กรรมาธิการฯชุดต่าง ๆ มาเป็นไม้เป็นมือให้กับ “ทักษิณ” อีกด้วย โดยเห็นได้ชัดเจนจากการนำเอากรรมาธิการกิจการชายแดนไทย มาเป็นแบ๊กอัพให้ “พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” ที่ถูกตั้งคำถามว่า จะไปเยือนประเทศพม่า และ มาเลเซีย ในสถานะไหน หลังจากที่ไปเขมรจนเป็นต้นเหตุของความขัดแย้งระหว่างสองชาติมาแล้ว
ประธานกรรมาธิการฯ ซึ่งเป็นคนของเพื่อไทยก็ออกมาเด้งรับลูก ระบุ “พล.อ.ชวลิต” เป็นที่ปรึกษากรรมาธิการฯ และจะไปในนามกรรมาธิการฯ กระทั่งถูกแฉกลับว่าไม่เคยมีมติตั้ง “พล.อ.ชวลิต” เป็นที่ปรึกษาแต่อย่างใด
ล่าสุดใช้กรรมาธิการการต่างประเทศ ซึ่งมีหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ชาติไทย มาตอกลิ่มความขัดแย้งขยายผลจากละครวิศวกรชาวไทยถูกตั้งข้อหาจารกรรมตารางการบินทักษิณ กระทั่งถูกตั้งคำถามว่า เป็นกรรมาธิการการต่างประเทศของกัมพูชา หรือ ของไทย กันแน่
เปิดสภาสมัยประชุมหน้า เชื่อได้เลยว่า พฤติกรรม ดิบ เถื่อน ถ่อย ที่จำลองมาจากคนเสื้อแดง ก็จะเป็นกลยุทธที่คนพวกนี้นำมาใช้ ทั้งแจกกล้วย ท้าตี ท้าต่อย โห่ฮา ราวกับเป็นคนป่า เพื่อลดทอนความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อสภาลง เพียงเพื่อสนองความต้องการทางการเมืองกดดันให้เกิดการยุบสภา ตามคำสั่งของ ทักษิณ เท่านั้น
ผลงาน 1 ปีที่ผ่านมา ของพรรค “เพื่อไทยหัวขาด” จึงทำได้เพียงแค่ สอบตกงานสภา ได้ข้อหาขายชาติ รับใช้ทรราชเป็นอาจิณ เท่านั้น