xs
xsm
sm
md
lg

นายกฯ เดินหน้าดัน กม.ชุมนุมที่สาธารณะ เลี่ยงใช้ความมั่นคง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
“มาร์ค” ยันใช้ พ.ร.บ.มั่นคงคุมม็อบเพื่อป้องกันเหตุ ไม่ใช่ห้ามชุมนุม เผยกำลังศึกษาแก้ไขกฎหมายหมิ่นฯ ป้องกันคนนำขยายผลสร้างปมขัดแย้งในสังคม เดินหน้าดัน กม.ชุมนุมที่สาธารณะบังคับใช้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงอีก

วันนี้ (14 ธ.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวตอนหนึ่งในการปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “รัฐบาลกับการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน” ในมหกรรมงานสิทธิมนุษยชน เนื่องในวันสิทธิมนุษยชน 10 ธันวาคม 2552 ณ ลานอเนกประสงค์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ80พรรษา อาคารบี ถนนแจ้งวัฒนะ ซึ่งจัดโดยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) และองค์กรเครือข่ายว่า เรื่องของสิทธิมนุษยชนถือว่ามีอยู่โดยธรรมชาติ ไม่ได้เกิดขึ้นโดยกฎหมายหรือมีคนมากำหนดกติกา ซึ่งประเทศไทยให้ความสำคัญโดยสำดับกับเรื่องสิทธิมนุษยชนนับตั้งแต่มีรัฐธรรมนูญปี 2540 และ 2550 ที่มีบทบัญญัติเรื่องสิทธิของคนไทยที่เขียนครอบคลุมกว้างขวางมากขึ้น

นายกฯ กล่าวอีกว่า เราปฏิเสธไม่ได้ว่าสังคมของเรา ยังมีการละเมิดสิทธิอยู่หลายรูปแบบที่เข้ามากระทบสิทธิของประชาชน แต่เป็นเรื่องที่วิเคราะห์ที่มาหรือปัจจัยของสภาพปัญหาได้ ต้องยอมรับว่าประเทศที่มีคนหลากหลายก็มีความขัดแย้งพื้นฐานก็นำไปสู่การละเมิดสิทธิ จึงเป็นหน้าที่ของหน่วยงาน องค์กรจะต้องดูแลไม่ให้เกิดความขัดแย้งจนนำไปสู่การละเมิดสิทธิ ต้องเคารพสิทธิขั้นพื้นฐาน สิ่งที่คิดว่าเราจำเป็นต้องตระหนักมากขึ้นและรณรงค์ให้ตื่นตัว คือการละเมิดสิทธิ์จากการดำเนินงานในหัวข้อใหญ่ คือ 1.เรื่องการเมืองและการใช้อำนาจรัฐ ซึ่งการละเมิดสิทธิ์ที่เกิดจากเอกชนทำกับประชาชนก็มีกฎหมายดูแล แต่เมื่อเป็นหน่วยงานรัฐทำกับประชาชน คือความท้าทายที่ต้องมีระบบกลไกที่ดี เพื่อถ่วงดุลเพื่อป้องกันและเยียวยาการละเมิดจากหน่วยงานของรัฐ

นายอภิสิทธิ์กล่าวอีกว่า เรามีปัญหาการละเมิดสิทธิที่เป็นผลมาจากความแตกต่างหรือความไม่เข้าใจ หรือความผิดพลาดของนโยบายในอดีต เช่น ปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัญหาเรื่องสัญชาติ ทั้งนี้ ขอเรียนว่าการทำงานของรัฐบาลได้ตระหนักถึงปัญหาการละเมิดสิทธิทุกด้าน

“และประเด็นที่ท้าทายสังคมอย่างมาก คือ การละเมิดชุมชุมที่เกิดจากการพัฒนา โดยเฉพาะปัญหาที่เกี่ยวกับระบบนิเวศ การใช้ทรัพยากรธรรมชาติ จึงขอเรียนว่าทุกด้านที่กล่าวมารัฐบาลพยายามจะเดินหน้าวางกลไก สร้างความเข้าใจ สร้างค่านิยมและคุ้มครองสิทธิ์ให้มากยิ่งขึ้น” นายกฯ กล่าว

นายอภิสิทธิ์กล่าวอีกว่า สำหรับกรณีของพัฒนาที่ละเมิดสิทธิ์ของประชาชน รัฐบาลพยายามหาความสมดุล เช่น พื้นที่มาบตาพุดรัฐบาลมีการประกาศเป็นพื้นที่ควบคุมมลพิษ และเร่งดำเนินการวางแนวทางตามมาตรา 67 วรรคสอง แต่ดุลพินิจเรื่องผลกระทบของรัฐบาลไม่ตรงกับศาล แต่เมื่อศาลมีการวินิจฉัยออกมาชัดเจนรัฐบาลก็พร้อมปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่รัฐบาลตั้งคณะกรรมการ 4 ฝ่าย เพื่อหากรอบที่เป็นมาตรฐานในการดำเนินการต่อไป

นายกฯ กล่าวถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนทางการเมืองในประเทศไทยว่า การละเมิดสิทธิทางการเมืองในประเทศไทยอยู่ในภาวะที่มีความขัดแย้งทางการเมืองสูง ทำให้เกิดปัญหาที่เกี่ยวกับการใช้สิทธิที่ไม่มีขอบเขตตามรัฐธรรมนูญ ที่นำไปสู่ความขัดแย้งเพิ่มเติมได้ 1 ปีของรัฐบาลนี้ ตนให้แนวทางชัดเจนว่าความแตกต่างทางความคิดในเรื่องของทางการเมือง เป็นเรื่องความแตกต่างโดยธรรมชาติของสังคมประชาธิปไตย และคนที่มีความเห็นแตกต่างจากผู้มีอำนาจ หรือรัฐบาลย่อมมีสิทธิแสดงออกตามรัฐธรรมนูญ และรัฐบาลก็ไม่ไปละเมิดสิทธิ ในการจะแสดงออกเคลื่อนไหวใดใดทั้งสิ้น

นายอภิสิทธิ์กล่าวต่อไปว่า เราก็มีปัญหาการบังคับใช้กฎหมายหลายเรื่อง บางครั้งถูกหยิบมาเป็นปมความขัดแย้ง ซึ่งกฎหมายที่ถูกวิจารณ์รัฐบาลก็พยายามจะหาแนวทางแก้ไข ไม่ให้เป็นเครื่องทางการเมือง เช่น เรื่องการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ รัฐบาลก็ตั้งกลไกลและคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้กฎหมายนี้ เพราะปัจจุบันบทบัญญัตินี้ถูกยกไปเป็นเครื่องมือให้คนทั่วไป ใช้แจ้งความร้องทุกข์อย่างกว่างขวาง ตรงนี้ก็เริ่มต้นศึกษาและมีคณะกรรมการช่วยกลั่นกรอง เพื่อให้การใช้กฎหมายเป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย นอกจากนี้ ส่วนเรื่องพระราชบัญญัติ ว่าด้วยการกระทำผิดทางคอมพิวเตอร์ การบังคับใช้ก็มีปัญหา ซึ่งรัฐบาลได้ระมัดระวังและทบทวนเพื่อหาความสมดุลในเรื่องนี้

“แต่โดยสรุปขอยืนยันว่าจะไม่มีการใช้กฎมายใดๆ เพื่อประโยชน์ในการทำลายล้างทางการเมือง และการบังคับใช้กฎหมายต้องเป็นไปตามเจตนารมณ์เพื่อความสงบเรียบร้อยของประเทศ” นายกฯ กล่าว

นายกฯ กล่าวอีกว่า ในส่วนการเคลื่อนไหวชุมนุมแม้มีการวิจารณ์ในเรื่องของการใช้กฎหมายพิเศษ ตนขอยืนยันว่าเหตุผลที่รัฐบาลต้องใช้กฎหมายพิเศษ ก็เพื่อคุ้มครองสิทธิของประชาชนส่วนรวม เพราะบทเรียนจากเหตุการณ์เดือนเมษายน ที่มีการชุมนุมเกินเลยขอบเขต ไม่ใช่เรื่องของการแสดงออกทางการเมือง เพราะมีการประกาศชัดเจนที่จะขัดขวางและก่อจลาจล ทำร้ายหรือมุ่งร้ายบุคคลอย่างชัดแจ้ง กรณีเช่นนี้ไม่เป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ แต่เป็นการละเมิดสิทธิ์ของผู้อื่น รัฐบาลจึงจำเป็นในการประกาศใช้พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้นำไปสู่การสูญเสียชีวิตแม้แต่คนเดียว มีเพียงผู้เสียชีวิต 2 คนที่เกิดขึ้นช่วงที่มีการปะทะกันในชุมชนเท่านั้น

นายอภิสิทธิ์กล่าวอีกว่า การที่รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง เพื่อไม่ให้เหตุการณ์ลุกลามเหมือนเดือน เม.ย. แต่ไม่ได้เป็นการละเมิดสิทธิ์หรือห้ามชุมนุมทางการเมือง เพราะกฎหมายไม่ให้อำนาจรัฐบาลตรงนั้น เพียงแต่สามารถทำให้รัฐบาลบูรณการการใช้บุคลากร เพื่อดูแลการชุมนุมและให้อำนาจพิเศษกับรัฐบาลตามความจำเป็น เช่น เรื่องการตรวจตราการใช้เส้นทาง หรือตรวจอาวุธ

“อยากทำความเข้าใจตรงนี้ว่า การประกาศหรือยกเลิก พ.ร.บ.ความมั่นคง ไม่ได้ละเมิดสิทธิใคร แต่เพื่อป้องกันความวุ่นวาย เพราะการชุมนุมเรียกร้องทำได้ตามรัฐธรรมนูญ ผมย้ำว่าที่สุดแล้วสิ่งที่รัฐบาลกำลังดำเนินการ คือ การที่มีกฎหมายเกี่ยวกับการชุมนุมสาธารณะ ที่หลายประเทศที่มีประชาธิปไตยมีอยู่ ถ้าสามารถออกมาได้โดยไม่ขัดกับหลักการพื้นฐานของรัฐธรรมนูญ ก็จะทำให้การใช้กฎหมายพิเศษลดน้อยลงไปด้วย” นายกฯ กล่าว

นายกฯ กล่าวว่า ส่วนกรณีของพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้รัฐบาลก็พยายามแก้ไขปัญหา เพราะจากนโยบายที่ผิดพลาดในอดีต และการที่ต้องใช้เจ้าหน้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงลงไปในพื้นที่และใช้กฎหมายพิเศษ ต้องไม่นำไปสู่การใช้อำนาจทางที่ผิดหรือละเมิดสิทธิ รัฐบาลจึงเปลี่ยนระบบติดตามการร้องเรียน เพื่อช่วยติดตามการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่ ดังนั้น การใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินในส่วนของการเรียกตัว ควบคุมตัว จะมีการบันทึกชัดเจนว่าใครสั่ง ที่ไหน อย่างไรเมื่อไร เพื่อง่ายต่อการตรวจสอบเมื่อเกิดปัญหาในภายหลัง

“หวังว่าสิ่งที่เริ่มนำร่องใน 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา ในการใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงแทนกฎอัยการศึก ที่เปิดให้มีกระบวนการให้ผู้หลงผิดเข้ามาขอมอบตัวโดยสมัครใจ และจะยกเว้นในการรับผิดโทษทางอาญา ที่รัฐบาลเร่งศึกษาว่าจะมีวิธีการขั้นตอนอย่างไร ถ้าสำเร็จก็จะนำไปใช้ใน 3 จังหวัด และยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไปได้” นายกฯ
กำลังโหลดความคิดเห็น