รมว.มหาดไทย ระบุ ไม่รู้สึกเสียหน้า กรณีผู้ว่าฯเชียงใหม่ ไม่สามารถเจรจาเสื้อแดงจัดชุมนุมให้อยู่ในกรอบกติกาได้ เห็นด้วยนายกฯยกเลิกเดินทางไปเยือน หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า เชื่อ หาก รบ.ใช้ความรุนแรง ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหตุการณ์ 7 ตุลาทมิฬ แนะยกเลิกใช้ พ.ร.บ.มั่นคง เพราะสิ้นเปลือง
วันนี้ (27 พ.ย.) นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย กล่าวถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรียกเลิกการเดินทางไปเชียงใหม่ ว่า ก็เหมือนกลักไม้ขีด ถ้าไม่เอาก้านไปขีดมันก็ไม่เกิดไฟ ส่วนที่ว่า จะทำให้เสื้อแดงได้ใจหรือไม่ ที่แค่ออกมาขู่ นายกรัฐมนตรีก็ยกเลิกการเดินทางนั้น ก็เมื่อเร็วๆ นี้ มีข่าวเข้ามาว่า มีการเช้าพบระเบิดปิงปอง 6,000 ลูก และมีปืนด้วย กำลังสืบหาต่อไปว่าใครเป็นเจ้าของ ในการชุมนุมในระบอบประชาธิปไตย ก็สามารถกระทำได้อยู่แล้ว แต่ถ้ามีการพกพาอาวุธก็ต้องจัดการไปตามกฎหมาย เราสามารถที่จะใช้กฎหมายเข้าไปกำกับดูแล
เมื่อถามว่า รู้สึกกังวลหรือไม่ หากการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงครั้งต่อไป อาจเกิดสถานการณ์ความรุนแรง นายชวรัตน์ กล่าวว่า ที่ถามเรื่องอาวุธมา คือ ข่าวทางกลุ่มเสื้อแดงเขาพก แล้วขณะนี้เขายังพกอยู่หรือไม่ ถ้าพกอยู่เจ้าหน้าที่ก็ต้องจับ ซึ่งเรื่องความรุนแรงจะบานปลายมากกว่านี้หรือไม่นั้น ถ้ามีการจับกุมอาวุธกันได้ก็คงจะลดน้อยลง
เมื่อถามต่อว่า เป็นการแสดงให้เห็นว่ากระทรวงมหาดไทยบกพร่องหรือไม่ ที่ไม่สามารถกำชับผู้ว่าดูแลพื้นที่ได้ ทำให้หอการค้า และนายกฯ ล้มเลิกการจัดงานที่เชียงใหม่ นายชวรัตน์ กล่าวว่า ตอนนี้ทางหอการค้าเองก็รู้ว่า ไม่ปลอดภัยต่อตัวนายกฯ และได้ติดต่อมาทางสำนักนายกรัฐมนตรีแล้วว่า ขอถอนการเชิญ โดยส่งเรื่องไปที่นายกและตนด้วย ส่วนที่ว่า ควรจะมีการเจรจาทุกฝ่าย ทั้งรัฐบาล แกนนำเสื้อแดง หรือไม่นั้น ก็แล้วแต่นายกฯ ในมุมมองของตน ต้องดูประชาพิจารณ์ว่าอย่างไร ฟังเสียงสาธารณะ เพราะรัฐบาลใช้ความรุนแรงไม่ได้ เพราะขนาดเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 ผบ.ตร.ยังถูกไล่ออกจากตำแหน่ง มันก็ลำบาก ถ้าจะมีการทำอะไรรุนแรง ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี
เมื่อถามว่า ควรพิจารณายกเลิก พ.ร.บ.ความมั่นคง หลังจากที่เสื้อแดงจะไม่มีการชุมนุมหรือไม่ นายชวรัตน์ กล่าวว่า การประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงมันสิ้นเปลือง เนื่องจากมีค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าใช้จ่ายทั้งเครื่องมือที่ใช้ และต้องเตรียมพร้อมเจ้าหน้าที่ ในการรับมือตลอดเวลาเหมือนประกาศกฎอัยการศึก ถ้าไม่มีเหตุก็ควรจะยกเลิก เพราะมันไม่ประหยัด
พร้อมกล่าวว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลและกระทรวงมหาดไทย ต้องทำงานอย่างหนัก เพื่อกอบกู้สถานการณ์ของบ้านเมือง ให้กลับสู่ภาวะปกติ เกิดความสงบ สันติ สามัคคี ซึ่งตนคิดว่าเราทำได้ดีพอสมควร จากการสนับสนุนจากทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม ยังมีกลุ่มบุคคลบางกลุ่มได้กระทำการสวนกระแส ก่อความวุ่นวาย แตกแยกให้เกิดขึ้นในบ้านเมือง ซึ่งมาจากการมีความคิดเห็นที่แตกต่างตามระบอบประชาธิปไตย แล้วขยายวงไปสู่ความแตกแยก หากไม่ได้รับการแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยเร็ว จะเป็นอุปสรรค และส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ และการพัฒนาประเทศเป็นอย่างมาก ตนขอให้ผู้ว่าฯ ช่วยรณรงค์เสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ให้แก่ประชาชน ให้เข้าใจว่าทุกคนมีเสรีภาพในการแสดงออก แต่ต้องเป็นไปตามกรอบของกฎหมาย และตัดสินใจเป็นของตนเองบนพื้นฐานของเหตุผล อย่าให้บุคคล หรือกลุ่มบุคคลใด มาชักจูง