“ผ่าประเด็นร้อน”
ก่อนอื่นต้องประณามอย่างรุนแรงกับการใช้อาวุธสงคราม เอ็ม 79 ยิงถล่มเวทีการชุมนุมเพื่อ “รวมพลังแผ่นดิน” ของคนไทยทุกหมู่เหล่า ทุกสี ทุกเพศทุกวัย เมื่อตอนค่ำวันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน ที่ท้องสนามหลวง ถือว่าเป็นการกระทำที่ป่าเถื่อนโหดเหี้ยมอำมหิตที่สุด เพราะการยิงอาวุธสงครามที่อานุภาพร้ายแรงเข้าใส่ฝูงชนที่ชุมนุมอย่างสงบ เป็นพฤติกรรมที่ป่าเถื่อนทั้งคนสั่งการและคนที่ลงมือ
ผลจากการกระทำเยี่ยงคนถ่อยในครั้งนี้ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บถึง 12 คน โดยมีผู้ที่อาการสาหัสจำนวนหนึ่ง รวมไปถึงคนแก่และเด็กอีกหลายคน
ไม่ว่าใครก็ตามที่เห็นภาพข่าวที่เกิดขึ้นย่อมสลดหดหู่เป็นอย่างยิ่ง
ขณะเดียวกัน อีกด้านก็เกิดความเคียดแค้นชิงชังเพิ่มเป็นทวีคูณ เนื่องจากการชุมนุมของพี่น้องคนไทยที่เกิดขึ้น เป็นการรวมพลังแผ่นดิน เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของชาติที่ถูกย่ำยีโดยนักโทษหนีคุกในคดีทุจริตคอรัปชั่นสมคบกับผู้นำของผู้นำทรราช “ฮุนเซน” ของกัมพูชา
เป็นการชุมนุมเพื่อรวมพลัง “สู้เพื่อในหลวง” เพื่อปกป้องพระบรมเดชานุภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นอารมณ์ร่วมของไทยที่ไม่ได้เกิดขึ้นแบบนี้มานานแล้ว
แต่แล้วจู่ๆ ก็เกิดเหตุการณ์น่าสะเทือนใจเกิดขึ้น เมื่อคนไทยผู้รักชาติได้ถูกกระทำย่ำยีอย่างไม่รู้จักจบสิ้น ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้รับผิดชอบจะต้องติดตามคลี่คลายคดีมาให้ได้ เพราะเชื่อว่าก่อนหน้านี้ทางเจ้าหน้าที่จะต้องเตรียมการณ์รับมือเอาไว้แล้ว
อย่างไรก็ดี ระหว่างที่รอความคืบหน้าเพื่อสืบหาเบาะแสและร่องรอยคนร้าย ก็ถือโอกาสในการตั้งข้อสังเกตถึงการลงมือในครั้งนี้ และแรงจูงใจสองสามทางเพื่อประเมินความเป็นไปได้
ก่อนอื่นก็ต้องตั้งข้อสงสัยซ้ำๆ กันอีกว่า ทำไมต้องเป็น เอ็ม 79 ที่เคยยิงถล่มเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในช่วง 193 วัน ทั้งที่ในบริเวณทำเนียบรัฐบาล สะพานมัฆวานรังสรรค์ ที่สนามบินดอนเมือง หลายต่อหลายครั้ง ทำให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก
และเอ็ม 79 ดังกล่าวยังร่วมอยู่ในรายการอาวุธสงครามหลากหลายชนิดที่ยิงถล่ม สนธิ ลิ้มทองกุล จนได้รับบาดเจ็บสาหัส เมื่อวันที่ 17 เมษายนที่ผ่านมา ในช่วงประเทศประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินมีทหารลาดตระเวณกันขวักไขว่
ขณะเดียวกัน ตัวละครที่แกว่งปากเข้ามาก็ยังเป็นคนเดิม คือ “เสธ.แดง” พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ที่มักออกมาพูดล่วงหน้าว่าจะเกิดเหตุทำนองนี้ทุกครั้ง ซึ่งครั้งล่าสุดก็เช่นเดียวกัน เขาก็ออกมาระบุในเว็บไซต์ของตัวเองเมื่อสองสามวันก่อนว่าจะเกิดเหตุในเวลาไม่เกิน 3 ทุ่ม ซึ่งก็บังเอิญว่าเกิดเหตุร้ายในช่วงเวลานั้นเสียด้วย
แต่ที่สำคัญมากไปกว่านั้นก็คือ เสธ.แดงคนนี้อยู่ในสังกัดไหนกันแน่ เพราะก่อนหน้านี้ยังรับอาสาฝึกนักรบเสื้อดำในชื่อนักรบพระเจ้าตากที่ท้องสนามหลวง และไม่นานหลังจากนั้นก็มีคนเสื้อแดงยกขบวนมาทำร้ายกลุ่มพันธมิตรฯที่สะพานมัฆวานฯแต่ถูกตอบโต้กลับไป
อีกด้านหนึ่ง นายทหารที่ระบุตำแหน่งว่าเป็นผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบกที่แม้ว่าจะถูกร้องเรียนในเรื่องพฤติกรรมไม่เหมาะสมหลายครั้ง แต่ผู้บังคับบัญชาอย่าง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก กลับไม่ได้ดำเนินการอะไร หรือสั่งห้ามการให้สัมภาษณ์แสดงความคิดเห็นที่นำไปสู่ภาพลบของกองทัพ แต่ทุกอย่างก็เงียบหายไป
อย่างไรก็ดี สิ่งที่มองข้ามไม่ได้เป็นอันขาดก็คือ คำพูดปริศนาของ สนธิ ลิ้มทองกุล หนึ่งในแกนนำที่มีบทบาทในการจัดการชุมนุม รวมพลังแผ่นดินในครั้งนี้ และเกิดขึ้นขณะที่เขากำลังปราศรัยบนเวทีพอดี ได้สื่อไปถึง “นายทหารแก่” บางคนซึ่งน่าจะหมายถึง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ที่พลิกลิ้นกลับเข้ามาสวามิภักดิ์กับ ทักษิณ ชินวัตร อีกรอบ
ทำให้ภาพของคนที่เชี่ยวชาญในด้านงาน “ใต้ดิน” ของทั้งคู่ผุดขึ้นมาในใจของสังคมขึ้นมาอีก
อีกกลุ่มหนึ่งที่น่าจับตาไม่แพ้กันก็คือกลุ่ม “บูรพาพยัคฆ์” ระดับหัวขบวน ที่หากสังเกตให้ดี ในช่วงสถานการณ์ที่ผ่านมายัง “ซุ่มเงียบ” ไม่ประกาศท่าทีชัดเจนมากนัก แม้กระทั่งเกิดกรณีถูก “ผู้นำแขมร์ถ่อย” กับนักโทษหนีคุกสมคบกันย่ำยีศักดิ์ศรีของชาติและจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์
รวมไปถึงที่ต้องจับตาเป็นพิเศษและมองข้ามไม่ได้ก็คือการ “ออกตัว” อย่างถี่ยิบของ เนวิน ชิดชอบ ที่ในระยะหลังมักออกมาในรูปปกป้องสถาบันอย่างขนานใหญ่ ขณะที่อีกด้านถือโอกาส “เหยียบ” นายเก่าอย่าง ทักษิณ เสียจมดิน
ดังนั้น แม้ว่านาทีนี้ยังไม่อาจสรุปแบบฟันธงได้ว่าเป็นฝีมือของกลุ่มใดกันแน่ เพราะมีความเป็นไปได้เท่าๆ กัน อีกทั้งยังไม่อาจทราบเจตนาที่แท้จริงว่าการลงมือครั้งนี้เพื่อหวังข่มขู่ไม่ให้คนไทยมารวมพลังแสดงความรักชาติ ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ในลักษณะดังกล่าวอีกในอนาคต
หรือเป็นไปได้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังมีเจตนา “เสี้ยม” ให้สังคมเข้าใจว่าเป็นฝีมือของอีกกลุ่มหนึ่ง หวังว่าจะก่อให้เกิดความวุ่นวายตามมา แต่โชคดีที่แผนชั่วดังกล่าวไม่บังเกิดผล เพราะทุกอย่างยัง “นิ่ง” อยู่กับที่ ทำให้ยังไม่กล้า “ขยับ” ล้ำเส้นออกมา
แต่เชื่อว่าอีกไม่นานก็น่าจะเห็นร่องรอยความเคลื่อนไหวบางอย่างให้จับพิรุธมากกว่านี้แน่นอน!!
ก่อนอื่นต้องประณามอย่างรุนแรงกับการใช้อาวุธสงคราม เอ็ม 79 ยิงถล่มเวทีการชุมนุมเพื่อ “รวมพลังแผ่นดิน” ของคนไทยทุกหมู่เหล่า ทุกสี ทุกเพศทุกวัย เมื่อตอนค่ำวันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน ที่ท้องสนามหลวง ถือว่าเป็นการกระทำที่ป่าเถื่อนโหดเหี้ยมอำมหิตที่สุด เพราะการยิงอาวุธสงครามที่อานุภาพร้ายแรงเข้าใส่ฝูงชนที่ชุมนุมอย่างสงบ เป็นพฤติกรรมที่ป่าเถื่อนทั้งคนสั่งการและคนที่ลงมือ
ผลจากการกระทำเยี่ยงคนถ่อยในครั้งนี้ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บถึง 12 คน โดยมีผู้ที่อาการสาหัสจำนวนหนึ่ง รวมไปถึงคนแก่และเด็กอีกหลายคน
ไม่ว่าใครก็ตามที่เห็นภาพข่าวที่เกิดขึ้นย่อมสลดหดหู่เป็นอย่างยิ่ง
ขณะเดียวกัน อีกด้านก็เกิดความเคียดแค้นชิงชังเพิ่มเป็นทวีคูณ เนื่องจากการชุมนุมของพี่น้องคนไทยที่เกิดขึ้น เป็นการรวมพลังแผ่นดิน เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของชาติที่ถูกย่ำยีโดยนักโทษหนีคุกในคดีทุจริตคอรัปชั่นสมคบกับผู้นำของผู้นำทรราช “ฮุนเซน” ของกัมพูชา
เป็นการชุมนุมเพื่อรวมพลัง “สู้เพื่อในหลวง” เพื่อปกป้องพระบรมเดชานุภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นอารมณ์ร่วมของไทยที่ไม่ได้เกิดขึ้นแบบนี้มานานแล้ว
แต่แล้วจู่ๆ ก็เกิดเหตุการณ์น่าสะเทือนใจเกิดขึ้น เมื่อคนไทยผู้รักชาติได้ถูกกระทำย่ำยีอย่างไม่รู้จักจบสิ้น ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้รับผิดชอบจะต้องติดตามคลี่คลายคดีมาให้ได้ เพราะเชื่อว่าก่อนหน้านี้ทางเจ้าหน้าที่จะต้องเตรียมการณ์รับมือเอาไว้แล้ว
อย่างไรก็ดี ระหว่างที่รอความคืบหน้าเพื่อสืบหาเบาะแสและร่องรอยคนร้าย ก็ถือโอกาสในการตั้งข้อสังเกตถึงการลงมือในครั้งนี้ และแรงจูงใจสองสามทางเพื่อประเมินความเป็นไปได้
ก่อนอื่นก็ต้องตั้งข้อสงสัยซ้ำๆ กันอีกว่า ทำไมต้องเป็น เอ็ม 79 ที่เคยยิงถล่มเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในช่วง 193 วัน ทั้งที่ในบริเวณทำเนียบรัฐบาล สะพานมัฆวานรังสรรค์ ที่สนามบินดอนเมือง หลายต่อหลายครั้ง ทำให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก
และเอ็ม 79 ดังกล่าวยังร่วมอยู่ในรายการอาวุธสงครามหลากหลายชนิดที่ยิงถล่ม สนธิ ลิ้มทองกุล จนได้รับบาดเจ็บสาหัส เมื่อวันที่ 17 เมษายนที่ผ่านมา ในช่วงประเทศประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินมีทหารลาดตระเวณกันขวักไขว่
ขณะเดียวกัน ตัวละครที่แกว่งปากเข้ามาก็ยังเป็นคนเดิม คือ “เสธ.แดง” พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ที่มักออกมาพูดล่วงหน้าว่าจะเกิดเหตุทำนองนี้ทุกครั้ง ซึ่งครั้งล่าสุดก็เช่นเดียวกัน เขาก็ออกมาระบุในเว็บไซต์ของตัวเองเมื่อสองสามวันก่อนว่าจะเกิดเหตุในเวลาไม่เกิน 3 ทุ่ม ซึ่งก็บังเอิญว่าเกิดเหตุร้ายในช่วงเวลานั้นเสียด้วย
แต่ที่สำคัญมากไปกว่านั้นก็คือ เสธ.แดงคนนี้อยู่ในสังกัดไหนกันแน่ เพราะก่อนหน้านี้ยังรับอาสาฝึกนักรบเสื้อดำในชื่อนักรบพระเจ้าตากที่ท้องสนามหลวง และไม่นานหลังจากนั้นก็มีคนเสื้อแดงยกขบวนมาทำร้ายกลุ่มพันธมิตรฯที่สะพานมัฆวานฯแต่ถูกตอบโต้กลับไป
อีกด้านหนึ่ง นายทหารที่ระบุตำแหน่งว่าเป็นผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบกที่แม้ว่าจะถูกร้องเรียนในเรื่องพฤติกรรมไม่เหมาะสมหลายครั้ง แต่ผู้บังคับบัญชาอย่าง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก กลับไม่ได้ดำเนินการอะไร หรือสั่งห้ามการให้สัมภาษณ์แสดงความคิดเห็นที่นำไปสู่ภาพลบของกองทัพ แต่ทุกอย่างก็เงียบหายไป
อย่างไรก็ดี สิ่งที่มองข้ามไม่ได้เป็นอันขาดก็คือ คำพูดปริศนาของ สนธิ ลิ้มทองกุล หนึ่งในแกนนำที่มีบทบาทในการจัดการชุมนุม รวมพลังแผ่นดินในครั้งนี้ และเกิดขึ้นขณะที่เขากำลังปราศรัยบนเวทีพอดี ได้สื่อไปถึง “นายทหารแก่” บางคนซึ่งน่าจะหมายถึง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ที่พลิกลิ้นกลับเข้ามาสวามิภักดิ์กับ ทักษิณ ชินวัตร อีกรอบ
ทำให้ภาพของคนที่เชี่ยวชาญในด้านงาน “ใต้ดิน” ของทั้งคู่ผุดขึ้นมาในใจของสังคมขึ้นมาอีก
อีกกลุ่มหนึ่งที่น่าจับตาไม่แพ้กันก็คือกลุ่ม “บูรพาพยัคฆ์” ระดับหัวขบวน ที่หากสังเกตให้ดี ในช่วงสถานการณ์ที่ผ่านมายัง “ซุ่มเงียบ” ไม่ประกาศท่าทีชัดเจนมากนัก แม้กระทั่งเกิดกรณีถูก “ผู้นำแขมร์ถ่อย” กับนักโทษหนีคุกสมคบกันย่ำยีศักดิ์ศรีของชาติและจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์
รวมไปถึงที่ต้องจับตาเป็นพิเศษและมองข้ามไม่ได้ก็คือการ “ออกตัว” อย่างถี่ยิบของ เนวิน ชิดชอบ ที่ในระยะหลังมักออกมาในรูปปกป้องสถาบันอย่างขนานใหญ่ ขณะที่อีกด้านถือโอกาส “เหยียบ” นายเก่าอย่าง ทักษิณ เสียจมดิน
ดังนั้น แม้ว่านาทีนี้ยังไม่อาจสรุปแบบฟันธงได้ว่าเป็นฝีมือของกลุ่มใดกันแน่ เพราะมีความเป็นไปได้เท่าๆ กัน อีกทั้งยังไม่อาจทราบเจตนาที่แท้จริงว่าการลงมือครั้งนี้เพื่อหวังข่มขู่ไม่ให้คนไทยมารวมพลังแสดงความรักชาติ ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ในลักษณะดังกล่าวอีกในอนาคต
หรือเป็นไปได้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังมีเจตนา “เสี้ยม” ให้สังคมเข้าใจว่าเป็นฝีมือของอีกกลุ่มหนึ่ง หวังว่าจะก่อให้เกิดความวุ่นวายตามมา แต่โชคดีที่แผนชั่วดังกล่าวไม่บังเกิดผล เพราะทุกอย่างยัง “นิ่ง” อยู่กับที่ ทำให้ยังไม่กล้า “ขยับ” ล้ำเส้นออกมา
แต่เชื่อว่าอีกไม่นานก็น่าจะเห็นร่องรอยความเคลื่อนไหวบางอย่างให้จับพิรุธมากกว่านี้แน่นอน!!