“ผ่าประเด็นร้อน”
นาทีนี้แทบไม่ต้องมาสงสัยกับพฤติกรรม เจตนา และเป้าหมายสูงสุดของ ทักษิณ ชินวัตร ว่าต้องการอะไรกันแน่
จะว่าไปแล้วพฤติกรรมที่พบเห็นในวันนี้ล้วนเคยกระทำมาแล้วทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าสามารถอำพรางตบตาคนไทยจำนวนมากที่ยังเข้าไม่ถึงข้อมูล รวมไปถึงการใช้สารพัดวิธีเป่าหูให้หลงเชื่อ
แต่จะเป็นเพราะได้หลักแหล่งกบดาน ได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งขันจาก “ฮุนเซน” ผู้นำกัมพูชา โดยได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาส่วนตัว และที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลกัมพูชา ประกอบคดีความต่างๆ ที่เขากำลังตกเป็นจำเลยกำลังงวดเข้ามาเรื่อยๆ โดยเฉพาะคดีอายัดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท ที่ถูกกล่าวหาว่าร่ำรวยมาอย่างผิดปกติ หรือเกิดจากการทุจริต ทำให้เขาต้องเร่งเกมมากเกินไป ทำให้ต้อง “หลุด” จนเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมาให้สังคมส่วนใหญ่ได้เห็นอย่างไม่น่าเชื่อ
ที่ผ่านมาหากพิจารณาอย่างพินิจพิเคราะห์ ก็จะเห็นพฤติกรรมจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ มีคำพูดที่แสดงออกมาในลักษณะไม่เคารพพระเจ้าอยู่หัวอย่างชัดเจนหลายครั้ง และปรากฏออกมาอย่างเนืองๆ เช่น
“เอะอะก็หาว่าผมไม่จงรักภักดี ปัดโธ่ ถ้านายกฯ ไม่จงรักภักดี แล้วผีที่ไหนจะจงรักภักดี...” (คำพูด เมื่อวันที่ 25 ธ.ค.48 ในงานนายกฯพบแท็กซี่)
“ยกเว้นพระเจ้าอยู่หัวกระซิบข้างหู ว่าทักษิณลาออกเถอะเท่านั้น จะกราบพระบาทลาออกแน่นอน” (คำพูด เมื่อวันที่ 4 ก.พ.49 ในรายการนายกฯทักษิณ คุยกับประชาชน )
“ผมเป็นนายกฯ พระราชทานอยู่แล้ว ถ้าผมได้รับการเลือกตั้ง พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ผมเป็นนายกฯ อยู่แล้ว” (วันที่ 24 มี.ค.49 ระหว่างหาเสียงที่ทุ่งศรีเมือง จ.อุดรธานี )
“ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ เข้ามาวุ่นวายองค์กรที่มีในระบบรัฐธรรมนูญมากไป ไม่มีการเคารพกติกา” (วันที่ 4 ก.ค. 49 )
หรือ “ไม่มีใครที่จะเอาผมกลับประเทศไทยได้หรอก นอกจากพระบารมีที่จะทรงมีพระเมตตา” (1 พ.ย.2551)
การให้สัมภาษณ์ล่าสุดกับสื่อต่างประเทศอย่าง “ไทมส์ ออนไลน์” ที่ให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ และที่ไม่ควรให้อภัยอย่างยิ่งก็คือคำให้สัมภาษณ์ที่พาดพิงไปถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่เกี่ยวกับการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549
เป็นการให้ร้ายพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงอยู่เหนือการเมืองทั้งปวง และยังเป็นการกล่าวหาที่เกิดขึ้นซ้ำซาก และต่อเนื่องจนถือว่าน่าจะเป็นเจตนา จงใจทำร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2552 หนังสือพิมพ์ “ไฟแนนเชียลไทมส์” ซึ่งเป็นสื่อยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ ก็เคยลงคำให้สัมภาษณ์ของ ทักษิณ ชินวัตร ด้วยถ้อยคำแบบนี้เหมือนกับถอดเทปคำพูดเดียวกันไม่มีผิด
ด้วยคำพูดที่ซ้ำๆ ซากๆ แบบนี้ของ ทักษิณ คงไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขามีทัศนคติต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างไร
การออกมาปฏิเสธว่าตัวเองไม่ได้พูดในลักษณะดังกล่าว อาจทำให้มองได้ว่าเขายังต้องการอำพรางไม่ให้คนเสื้อแดงที่ให้การสนับสนุนและจงรักภักดีต่อสถาบันฯ ยังมั่นคงกับเขาต่อไป
นอกจากนี้ หากสังเกตจากคนรอบตัวของ ทักษิณ รวมไปถึงการชุมนุมของคนเสื้อแดงบรรดาแกนนำหลายคนก็ล้วนแล้วแต่มีพฤติกรรมจาบจ้วงทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์มาโดยตลอด เริ่มตั้งแต่กรณีของ ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือ “ดา ตอร์ปิโด” รวมไปถึงอีกหลายคน เช่น จักรภพ เพ็ญแข หรือแม้แต่ วีระ มุสิกพงศ์ ก็ล้วนถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพทั้งสิ้น
ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากพฤติกรรมและคำพูดของ ทักษิณ ชินวัตร ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน ทำให้เชื่อได้ว่าเขามีเจตนา และทัศนคติที่เป็นอันตรายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ประกอบกับการเป็นที่ปรึกษาให้กับรัฐบาลกัมพูชา ทำให้มองได้อีกว่าเป็นพฤติกรรมไม่ต่างจากคนขายชาติ หรือทรยศต่อชาติของตัวเองอย่างแทบไม่ต้องสงสัยกันอีกต่อไปแล้ว
โดยเฉพาะการให้สัมภาษณ์ล่าสุดของเขากับเดอะไทม์ส์ ซึ่งเป็นสื่อต่างประเทศที่จาบจ้วงและให้ร้ายพระเจ้าอยู่หัวอย่างที่ไม่สมควรให้อภัย เพราะหากเป็นสื่อในประเทศ อาจมองได้ว่ามีอคติเป็นการส่วนตัว
แม้ว่า ทักษิณ จะออกมาปฏิเสธพร้อมทั้งโยนความผิดให้กับสื่อดังกล่าวว่าแปลความผิด หรือลงคำให้สัมภาษณ์คลาดเคลื่อน ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะหากย้อนกลับไปดูคำให้สัมภาษณ์ “ไฟแนนเชียลไทม์” เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2552 ก็พูดเหมือนกันทุกคำพูด แล้วจะหมายความว่าอย่างไร
และเมื่อเป็นแบบนี้ เราจะทำอย่างไรกับคนที่มีพฤติกรรมขายชาติ และทำร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ ถึงจะสาสม!!