“ผ่าประเด็นร้อน”
ก่อนอื่นต้องยอมรับว่า การระดมชาวบ้านเสื้อแดงมาตั้งแถวทำพิธีส่งมอบรายชื่อถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้ ทักษิณ ชินวัตร ที่ท้องสนามหลวง เมื่อวานนี้ (17 สิงหาคม) ถือว่ามีจำนวนหนาตาพอสมควร
การระดมคนเสื้อแดงผ่านทางหัวคะแนนของ ส.ส.พรรคเพื่อไทยจากหลายจังหวัด ถือว่าทำได้ “เข้าเป้า” หลังจากกำชับกำชากันมาล่วงหน้าอย่างดี ที่สำคัญงานนี้มี “กระสุน” ยัดใส่มือกันไม่อั้น เพราะรู้กันอยู่แล้วว่าเป็นงาน “วัดกำลังบารมี” จะปล่อยให้มาแบบโหรงเหรงไม่ได้เป็นอันขาด
ขณะเดียวกัน ภาพที่ออกมาเหมือนกับเป็นการแสดงที่มีการเขียนบทกันมาอย่างรัดกุม ทำกันอย่างแนบเนียน หากไม่รู้แบ็กกราวนด์ติดตามกันมาอย่างต่อเนื่องก็มีโอกาสเคลิบเคลิ้มได้ไม่ยาก
นอกเหนือจากจำนวนคนแล้ว ที่น่าพิจารณาก็คือ คำพูดจากการ “โฟนอิน” ของ ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งถ้าสังเกตให้ดีจะมีลักษณะเน้น “จงรักภักดี” แทบจะทุกคำพูด พร้อมทั้งมีการเคลียร์ข้อหา “แดงคอมมิวนิสต์” ให้กับบรรดาลิ่วล้อบริวารที่อยู่รอบตัวให้เสร็จสรรพ โดยอ้างว่าเป็น “แดงรักชาติ” เสียอีก
หลายฝ่ายจึงประเมินว่า ทักษิณ ได้เปลี่ยนเกมสู้ใหม่ หลังจากก่อนหน้านี้ได้เปิดหน้าชนสถาบันเบื้องสูงโดยตรง และเมื่อเริ่มรวบรวมรายชื่อถวายฎีกา จนถูกเปิดโปงเรื่องทำผิดขั้นตอน ไม่มีผลทางกฎหมาย กระแสเริ่มตีกลับมากขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรก็ดี การเคลื่อนไหวที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องจนถึงเมื่อวานนี้ (17 สิงหาคม) กลับไม่มีบุคคลที่ใกล้ชิดในครอบครัวชินวัตร ในแบบสายเลือดโดยตรง โดยเฉพาะคนในครอบครัวควรมีบทบาทสำคัญ หรืออย่างน้อยต้องร่วมลงชื่อถวายฎีกาเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษให้กับ ทักษิณ ชินวัตร
แต่ไม่ปรากฏว่ามีลูกหรือเมีย ร่วมลงชื่อเลยแม้แต่คนเดียว ทั้งที่หากเห็นถึงความสำคัญ ในพิธีการที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ตัวเองอ้างว่าจงรักภักดี จริง อย่างน้อยต้องมีคนในครอบครัวออกมาเป็นเจ้าภาพ ไม่ใช่ปล่อยให้ “คนเสื้อแดง” ที่ไหนก็ไม่รู้มาดำเนินการ เสมือนกับว่าพูดอย่างแต่พฤติกรรมกลับทำอีกอย่าง
ถือว่าไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง!!
อีกทั้งการบอกว่า หลังจากที่ยื่นรายชื่อถวายฎีกาไปแล้วก็จะหยุดรอฟังพระบรมราชวินิจฉัย ก็ถือว่าเป็นการกดดันอย่างชัดเจน
ท่าทีของ ทักษิณ ชินวัตร เหมือนจะรู้ว่าที่ผ่านมาเดินเกมพลาดมาตั้งแต่ช่วงเหตุการณ์ก่อจลาจลวันสงกรานต์ที่ผ่านมา มาจนถึงการล่าชื่อถวายฎีกา แล้วถูกบรรดานักวิชาการ ข้าราชการและประชาชนต่อต้านมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ต้องเปลี่ยนแปลงเป็นการเคลื่อนไหวที่เน้นแสดงความ “จงรักภักดี” มากจนผิดสังเกต
ทั้งที่หากพิจารณาจากคนใกล้ตัว บริวารแวดล้อมทั้งหลายที่ขึ้นเวทีคนเสื้อแดง หลายต่อหลายคนล้วนแล้วแต่มีพฤติกรรมและคำพูดจาบจ้วง สถาบันพระมหากษัตริย์มาโดยตลอด หากทบทวนความจำก็จะมี ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือ ดา ตอร์ปิโด ชูชีพ ชีวะสุทธิ์ ใจ อึ๊งภากรณ์ จักรภพ เพ็ญแข เป็นต้น
หรือแม้แต่ วีระ มุสิกพงศ์ แกนนำที่เป็นตัวตั้งตัวดีในการออกหน้าล่ารายชื่อถวายฎีกาในครั้งนี้ก็เคยมีประวัติถูกจำคุกในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมาแล้ว ล่าสุดก็ยังถูกดำเนินคดีในข้อหาเดียวกันในปัจจุบันนี้
และถ้าสังเกตในรายละเอียดในแต่ละครั้งแต่ละเวทีที่มีการชุมนุมของคนเสื้อแดง ก็ไม่เคยปรากฏว่ามีพระบรมฉายาลักษณ์อยู่เลยแม้แต่ครั้งเดียว ยกเว้นการชุมนุมที่หน้ารัฐสภา แต่กลับกลายเป็นว่ามีข้อความที่ไม่เหมาะสมเสียอีก
ขณะที่เมื่อมองย้อนกลับไปถึงคำพูดก่อนหน้านี้ของ ทักษิณ ชินวัตร ต่างกรรมต่างวาระก็ล้วนแล้วแต่มีพฤติกรรมและถ้อยคำไม่เหมาะสม เช่นกรณีไปเป็นประธานทำบุญในวัดพระแก้ว หรือคำพูดที่กล่าวถึง “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ” หรือ “หากนายกฯ ไม่จงรักภักดี แล้วผีที่ไหนจะจงรักภักดีวะ” และ “ถ้าพระเจ้าอยู่หัวมากระซิบข้างหูให้ลาออก ก็จะกราบพระบาทลาออกทันที” เป็นต้น
นอกจากนี้ ในการให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศยังมีการกล่าวหาพระเจ้าอยู่หัวในทำนองว่าทรงล่วงรู้การก่อรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ล่วงหน้าอีกด้วย
ดังนั้น หากหากจะให้พิจารณาย้อนจากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน โดยดูจากคำพูดเพียงไม่กี่คำของ ทักษิณ ชินวัตร ที่ย้ำว่าตัวเองและครอบครัวจงรักภักดีนั้นน่าจะสะท้อนตัวตนได้เป็นอย่างดี
ที่สำคัญหลังจากทิ้งรายชื่อที่นำมาถวายฎีกาแล้วบอกว่าจะรอฟังพระบรมราชวินิจฉัย นอกจากเป็นการกดดันแล้วยังสร้างความเข้าใจผิดให้กับประชาชน หากไม่มีผลใดๆออกมา
ขณะเดียวกันจะพบว่า คำพูดทิ้งท้ายของแกนนำเสื้อแดงที่บอกว่าต่อไปนี้จะยุติไม่พูดถึงเรื่องถวายฎีกาอีกแล้ว แต่จะหันไปโค่นล้มอำมาตยาธิปไตยแทน ซึ่งความหมายก็คือ มุ่งทำลายแขนขาของสถาบันเบื้องสูงโดยตรงนั้นเอง
และนี่คือแผนอำพรางรุกอย่างชัดเจน!!