ต้องคารวะและขอบคุณ “บิ๊กจิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และ สมเด็จอัคคมหาเสนาบดีเตโช ฮุนเซน อย่างสุดซึ้งมา ณ โอกาสนี้ ที่ช่วยกันแก้ผ้า ปอกเปลือก เปลือยตัวตนของ ทักษิณ ชินวัตร จนทำให้คนไทยได้รับรู้กันอย่างกระจ่างแจ้ง
“ธาตุแท้” ของนักโทษชายหนีคดีอาญาแผ่นดินไทย เป็นเช่นไร และคนเช่นนี้สมควรที่จะได้กลับสู่แผ่นดินเกิดหรือไม่?
การส่ง “บิ๊กจิ๋ว” ที่อาสามาเป็น “ม้าใช้” ป่วนรัฐบาล เดินแผนล้มล้างอำนาจรัฐบาล โดยใช้ความเจ้าเล่ห์เพทุบายของ“ขงเบ้งกองทัพบก” เดินแผน “เพื่อนบ้านล้อมไทย” ชักศึกเข้าบ้าน ดึงศัตรูเข้ามากระทำย่ำยีประเทศ
เปิดแนวรบด้านชายแดนตะวันออกที่ยังไม่เปลี่ยนแปลง “บิ๊กจิ๋ว” ผู้ที่ยังหิวกระหายในบารมีและอำนาจ จนยอมกระทั่งก้มหัวรับใช้นักโทษหนีคุก ไปดึงจิ้งจอกเขมร “ฮุนเซน” มาร่วมวงศ์ไพบูลย์ขย่มเขย่ารัฐบาล เผาผลาญประเทศ
กำพืดของคนพวกนี้ ถูกกระชากออกมาให้คนไทยได้รับรู้ และเชื่อว่าคงไม่มีใครยอมรับได้กับเกมสมคบคิดทำลายชาติบ้านเมือง เพียงเพื่อสนองตอบความต้องการของคนเพียงคนเดียว
หลังจากที่ นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เล่นบทผู้นำสูงสุดของประเทศ ตอบโต้ เอาคืนพวกที่คิดกระทำย่ำยีศักดิ์ศรีประเทศไทย ประกาศลดความสัมพันธ์ เรียกกลับเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ
และเตรียมทบทวนพันธกรณี ข้อตกลง บันทึกความร่วมมือ หรือเอ็มโอยู นับร้อยกว่าฉบับ ที่ลงนามไว้สมัยรัฐบาลทักษิณ
ที่สำคัญก็คือ กรณีที่กระทรวงการต่างประเทศ และรัฐบาลไทยประกาศยกเลิก เอ็มโอยู ว่าด้วยพื้นที่ ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนบนอ่าวไทย ฉบับวันที่ 18 มิ.ย.2544
เอ็มโอยูฉบับนี้มีความสำคัญทั้งกับไทยและกัมพูชา ในเรื่องผลประโยชน์ทางทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งก๊าซ น้ำมัน ในอ่าวไทย ที่เมื่อมีการยกเลิกก็เท่ากับว่า ข้อตกลงที่ผ่านมาทั้งหมดต้องยุติไปทันที
และเท่ากับทลายขุมทรัพย์ของฮุนเซน ที่หวังจะกอบโกยมาเพื่อฟื้นสถานะการเงินการคลัง แก้ปัญหางบประมาณ และเศรษฐกิจ เรื่องปากท้องของคนเขมร ที่กำลังส่งผลต่อเสถียรภาพและความมั่นคงของรัฐบาลฮุน เซน
โดยที่ฮุนเซน เลือก “แทงหวย” ทักษิณ อาจเพราะประเมินว่าพรรคเพื่อไทยของนักโทษหนีคดีรายนี้มีโอกาสกลับมาครองอำนาจรัฐอีกครั้ง และคุยความเมืองและผลประโยชน์ง่ายกว่าพรรคประชาธิปัตย์
รวมทั้งระยะสั้น กับกรณีการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ที่ยังค้างคา และมีแนวโน้มว่าปัญหาข้อพิพาทขัดแย้งในบริเวณพื้นที่รอบปราสาท จะไม่สามารถบรรลุผลการเจรจากับรัฐบาลไทย
เพราะ “อภิสิทธิ์” ไม่หมู-ให้เชือด
ดังนั้นเมื่ออภิสิทธิ์ เหลืออด ออกมาตอบโต้กลับแบบทิ่มเข้าไปหัวใจอริ ฮุนเซน ถึงได้มีท่าทีอ่อนยวบลง แต่ก็ไม่สามารถวางใจ “จิ้งจอกแห่งพนมเปญ” รายนี้ได้
เพราะเชื่อว่า ทักษิณ-ฮุนเซน ยังจะจอยต์เวนเจอร์กันต่อไป เพราะที่สมคบคิดป่วนไทยครั้งนี้ ไม่ใช่เพราะมิตรภาพที่ดี เพื่อนยามยากอย่างที่พูด แต่มีเรื่องการสนับสนุน “ค่าใช้จ่าย” ที่ต้องตอบแทนกันด้วย
นอกเหนือจากนั้น สองรายนี้ถือได้ว่าเป็นคนในสายพันธุ์เดียวกัน เคยร่วมงาน และเคยไล่ล่าชนิดจ้างทหารลอบสังหารกันมาแล้ว แต่ก็กลับมาจับมือกันได้เสมอ ถ้าเจรจากันอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์
อีกทั้งมีข้อสังเกตว่า ทักษิณ-ฮุนเซน มีอะไรหลายๆ อย่างคล้ายกัน โดยเฉพาะการเข้าสู่อำนาจ ทั้งเหยียบหัว ไล่ล่าฆ่าฟันฝ่ายตรงข้าม นิยมอำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ไม่เปิดโอกาสให้มีการตรวจสอบจากฝ่ายต่างๆ
แต่ที่มากกว่านั้น จากบทวิเคราะห์โดย “ดอกไม้ปลายปืน” คอลัมนิสต์ในนิตยสารการเมืองรายปักษ์ VOTE ที่พูดถึงเรื่องปวดหัวของผู้นำกัมพูชาไว้น่าสนใจว่า
“ลูกเลสเบี้ยน-กิ๊กนักร้อง-เมียขี้หึง”
ไม่รู้มีเรื่องไหนของ “ทักษิณ” เหมือนฮุนเซนบ้าง??
แต่ที่ต้องเงี่ยหูฟังด้วยเหมือนกัน อีกด้านหนึ่งกับเสียงเชียร์เสียงสนับสนุนกรณีที่ทักษิณ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษากัมพูชา “ประเทศเสียหายอะไรบ้าง ผมคิดว่าคงไม่มี แต่ต้องถือเป็นเกียรติ และภาคภูมิใจด้วยซ้ำ”
“เชื่อว่าท่านมีเจตนารมณ์ที่ดี ท่านยังห่วงประเทศไทย”
สองเสียงข้างต้นไม่ใช่อื่นไกล สมาชิกร่วมวงศ์โคตรชินวัตร สมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องเขยทักษิณ ที่มีโอกาสนั่งเก้าอี้ผู้นำประเทศไทย ก็ด้วยอาศัยใบบุญเมีย ส่วนอีกเสียงเชียร์มาจากน้องสาว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
โดยน้องสาวที่หน้าไม่เหลี่ยม แต่ไม่รู้ได้รับถ่ายทอดความเหลี่ยมจัดมาทางพันธุกรรมหรือไม่ ที่คงได้รับการร้องขอจากพี่ชาย และอดีตพี่สะใภ้ คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร ที่ยังเล่นบทคุณแอบ ช่วยอดีตสามีอยู่อย่างลับๆ ออกมาพูดถึงความในใจอันจอมปลอมของพี่ชาย
ยังเป็นโฆษกส่วนตัวแจ้งให้รับทราบ ทักษิณ จะเปิดใจในเรื่องได้รับแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาใหญ่ของประเทศเขมร และผู้นำเขมรอีกครั้ง ที่ต้องจับตาว่าจะ “ถอย” หรือไม่ในเกมที่พลาดพลั้ง
จะอย่างไรก็ตาม หากถอยก็ต้องถือว่าสายเกินไปที่จะ“เลี้ยวกลับ” อย่างที่เคยทำมาในทางธุรกิจและงานการเมืองในยามที่เจอทางตัน เพราะเชื่อว่าคนไทยที่ได้รู้เช่นเห็นชาติ ไม่โง่ให้ ทักษิณเล่นกลับกลอก เล่นบทพระเอกอีก !
นอกจากนี้ ที่น่าสนใจติดตามต่อไปอีกเรื่อง สำหรับการที่รัฐบาลออกมาปกป้องศักดิ์ของประเทศไทย ที่ถูกย่ำยีศักดิ์ศรีครั้งนี้ นั่นก็คือเรื่อง “ม้า”
หนึ่งก็คือ “ม้าใช้” อย่าง“บิ๊กจิ๋ว” ที่จุดชนวนการรกระทบกระทั่งไทย-กัมพูชา ตามคำขอครั้งนี้ เขาเป็น“ม้าเชื่อง”ของทักษิณ หรือจะเป็น “ม้าไม้เมืองทรอย”
และปมหลังก็เป็นเรื่องน่าคิด ทั้งชักศึกเขมรเข้าบ้าน และปั่นป่วนชายแดนใต้ ว่าด้วยข้อเสนอ ตั้ง นครปัตตานี สุดท้ายที่ทุกคนพุ่งเป้าถล่มโจมตีคือ “ทักษิณ” ขณะที่ พล.อ.ชวลิต โดนเพียงสะเก็ดๆ
และถ้าเป็น “จิ๋วโทรจัน” ม้าไม้ที่ถูกส่งมาเดินเกมลวงจริง ก็ต้องถือว่าพรางเนียน จองตำแหน่งดาวร้ายที่ แอ็กอาร์ตได้สุดห่วยแห่งปี
อีกหนึ่งม้า คือแบล็กฮอร์ส ที่เคยคึก แต่พักหลังลดดีกรีฮึกเหิมลงไปเยอะ “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ที่ออกนอกลู่ วิ่งออกนอกเลนไปเยอะกับ เกมลุยกับเขมรรอบนี้ ตั้งแต่มีข่าวตั้งทักษิณเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวฮุนเซน และที่ปรึกษาเศรษฐกิจรัฐบาล
"ไม่ต้องทบทวนท่าทีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกัมพูชา ต้องแยกแยะระหว่างเรื่องภายในแต่ละประเทศ กับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รัฐบาลแต่ละประเทศมีสิทธิ์แต่งตั้งใครรับตำแหน่งอะไรก็ได้ เราแทรกแซงไม่ได้"
แค่ที่ยกมาก็ถือว่า “ผิดคิว” เต็มๆ แต่ก่อนที่จะออกทะลไปไกล วันเดียวกันนั้น สุเทพต้องรีบหันหัวเรือกลับลำออกมาให้สัมภาษณ์ซ้ำ ตามน้ำผู้นำรัฐนาวาในภายหลัง
รายการเสียฟอร์มหนนี้ของ “เทพเทือก”ไม่แปลก เพราะข้อเท็จจริงแล้วเขาไม่ได้มีส่วนรับรู้ใดๆ กับทีท่าของรัฐบาลมาแต่ต้น โดยมีกระแสข่าวว่าเช้าวันก่อนที่จะมีการประกาศตอบโต้กัมพูชา มีการหารือฝ่ายต่างๆ ที่บ้านพิษณุโลก
เช้าวันนั้นนอกจาก ขุนทหาร ตัวแทนกองทัพ ฝ่ายความมั่นคง และกระทรวงการต่างประเทศที่ร่วมหารือกับนายกฯ อย่างเคร่งเครียดแล้ว
“เทพเทือก” ไม่ได้อยู่ร่วมพูดคุยด้วย ทั้งที่นั่งเก้าอี้รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง เพราะ “ไม่ได้รับเชิญ”
แม้ภายหลัง จะได้ร่วมหารือกับนายกฯ และกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ก็หลังจากมีข้อสรุปแล้ว
ไม่เท่านั้นบทบาทในการแถลงการณ์ตอบโต้ก็เป็นความรับผิดชอบของกระทรวงการต่างประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะ “กษิต” เหมือนได้ไฟเขียวออกมาขู่ฮึ่มๆ ในเรื่องการทบทวนพันธกรณีกับกัมพูชา ได้ถลกแขนเสื้อบู๊กับกุ๊ยอีกครั้ง!
กรณีนี้หากมองในแง่ดี การถอย “เทพเทือก” ออกมา ก็เพื่อเก็บตัวไว้ใช้ในยามจำเป็นต้องเล่นบทประนีประนอม โอ้โลมปฏิโลมผู้นำจอมเจ้าเล่ห์ของเขมร ที่เคยได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบมาก่อนหน้านี้
อีกทั้งเป็นเพราะความจำเป็น ในยามที่สถานการณ์ความสัมพันธ์กับกัมพูชา มาถึงขีดขั้นพีกสุด สถานการณ์ “ไม่ปกติ” ดังนั้น “อภิสิทธิ์” จำเป็นต้องลงมาถือธงแม่ทัพเอง
คือเหตุผลของการ “เปลี่ยนม้ากลางศึก”
แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า “ม้าคึก” ที่ถูกลดโทนความสำคัญกับเรื่องใหญ่ของรัฐบาลในครั้งนี้ จะสอดคล้องกับการทาบทาม พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ อดีตรักษาการ ผบ.ตร. ที่อภิสิทธิ์ไว้วางใจ และดึงกลับเข้ามาช่วยงานรัฐบาลอีกครั้ง
แม้ยังไม่แน่ชัดว่าจะเข้ามารับตำแหน่งใด เป็นที่ปรึกษานายกฯ หรือลงตรงจุดไหน แต่ก็มีการคาดหมายว่า จะมีการเกลี่ยแบ่งงานด้านความมั่นคง และตำรวจ บางส่วนจากรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงของสุเทพ มาให้ดูแล
ดังนั้นให้จับตา กำหนดนัดหมาย “ตรวจสมุดพก” ในวาระครบ 1 ปีรัฐบาล และคิวในการปรับคณะรัฐมนตรีปลายปีนี้ เกรดที่ผู้นำให้กับรัฐมนตรีจะออกมาเช่นใด
ที่แน่ๆ วันนี้ คะแนนจิตพิสัยที่ “อภิสิทธิ์” มีให้ “สุเทพ” ถูกตัดไปเยอะ