เพื่อไทยจวกนโยบายรับประกันข้าวผิดพลาด เอื้อประโยชน์ให้พ่อค้ากดราคารับซื้อข้าวจากชาวนา ทะลึ่งเสนอ “อภิสิทธิ์” ก้มหัวให้เขมรเร่งฟื้นความสัมพันธ์ เปลี่ยนเวทีความขัดแย้งเป็นเวทีแห่งการค้า-การลงทุน จี้ “อภิสิทธิ์-สุเทพ” ดำเนินคดีอนุ ก.ตร.ต้นเหตุแต่งตั้งโผนายพลล่มซ้ำซากขู่ฟ้อง ป.ป.ช.ทิ้งทวน
วันนี้ (8 พ.ย.) ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ของพรรคเพื่อไทยเมื่อวันที่ 6-7 พ.ย.52 ที่ผ่านมา ในพื้นที่ภาคกลาง ประกอบด้วย จ.พระนครศรีอยุธยา ชัยนาท ลพบุรี ฯลฯ เพื่อเก็บข้อมูล ในการช่วยเหลือเกษตรชาวนาหลังได้รับการร้องเรียน พบว่า ชาวนาได้รับการเดือดร้อนจากนโยบายประกันราคาข้าวของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ทำให้ราคารับซื้อข้าวจากโรงสีและพ่อค้าคนกลางตกต่ำ จากเคยรับซื้อราคาตันล่ะ 10,000-12,000 บาท/ตัน เหลือเพียง 5,000-7,000 บาทต่อตัน ชี้ให้เห็นว่า การดำเนินนโยบายของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์เกิดความผิดพลาดทำให้ระบบการตลาดของราคาข้าวเสียหาย นโยบายดังกล่าวของรัฐบาลเป็นการเอื้อประโยชน์ให้พ่อค้ากดราคารับซื้อข้าวจากจากชาวนา แม้ว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์จะทุ่มงบประมาณถึง 60,000 ล้านบาท มาแก้ปัญหาราคาข้าวแต่ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาตกต่ำได้พรรคเพื่อไทยเห็นว่ามาตรการประกันราคาข้าวของรัฐบาลเป็นการประหารชาวนา ซึ่งพรรคเพื่อได้รวบรวมข้อมูลจากการลงพื้นที่ และจะมีการเสวนาระดมสมองขึ้นในในวันที่ 11 พ.ย.52 ที่พรรคเพื่อไทย ในหัวข้อ วิกฤตข่าวไทย “ประกันราคา หรือประหารชาวนา” โดยมีผู้เข้าร่วมเสวนาจะเป็นอดีตรัฐมนตรีที่กำกับดูและด้านนโยบายเรื่องข้าวในอดีตที่ผ่านมา
นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า จากปัญหาความตึงเครียดระหว่างไทยกับกัมพูชาส่งผลให้การค้าระหว่างประเทศได้รับผลกระทบซึ่งประเทศไทยมีสินค้าส่งออกไปยังกัมพูชามีมูลค่าปีละเกือบ 80,000 ล้านบาท และภาคธุรกิจนักลงทุนชาวไทยไปลงทุนในประเทศกัมพูชาจำนวนมากจะได้รับผลกระทบ นอกจากนี้ยังมีผลประโยชน์จากการท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติใช้ไทยเป็นประตูเพื่อเดินทางสู่ประเทศกัมพูชา เนื่องจากไทยเป็นศูนย์กลางทางการบินในแถบอินโดจีนได้รับความเสียหายสูญเสียรายได้จำนวนมหาศาล ส่งผลให้ผู้ประกอบการและภาคแรงงานทางด้านท่องเที่ยวตกงานจำนวนมากจึงขอเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ ในฐานะผู้นำฝ่ายบริหารได้ทบทวนบทบาทและนโยบายต่างประเทศกับประเทศกัมพูชาเพื่อฟื้นความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันโดยเร็ว “เปลี่ยนเวทีความขัดแย้ง เป็นเวทีแห่งการค้า การลงทุนจะดีกว่า
นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า จากการประชุม ก.ตร.ล่มถึง 3 ครั้ง เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่านายอภิสิทธิ์และนายสุเทพในฐานะผู้กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หมดความชอบธรรมในการบริหารราชการแผ่นดิน ปัญหาการประชุม ก.ตร.ล่มล่าสุดเกิดจากความไม่เป็นธรรม ในการแต่งตั้งนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพน่าจะปล่อยให้คนใกล้ตัวแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจ และปล่อยให้อนุกรรมการ ก.ตร.บางคนซึ่งเป็นพรรคพวกของตนเองแทรกแซงโดยการฝากข้าราชการตำรวจ โดยการเปิดเผยของ ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ หนึ่งใน ก.ตร. พบว่ามีหลักฐานที่เป็นเอกสารชัดแจ้ง ถึงความไม่ชอบมาพากลและการปฏิบัติหน้าที่ โดยไม่ชอบของอนุกรรมการ ก.ตร.บางท่านที่น่าจะทำผิดกฎหมาย และทำลายระบบคุณธรรมในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจ ขอเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพในฐานะผู้กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้แจ้งดำเนินคดีกับอนุกรรมการ ก.ตร. ที่ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบรวมถึงบุคคลใกล้ชิด และผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดภายใน 7 วัน ถ้าไม่ดำเนินการถือว่าเป็นการละเว้น และปฏิบัติหน้าไม่ชอบจะดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษต่อ ป.ป.ช.ตามกฎหมายอาญามาตรา 157 ในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
นายพร้อมพงศ์แถลงว่า จากการตรวจสอบพบปัญหาการดำเนินโครงการไทยเข้มแข็งว่า จากการลงพื้นที่ของคณะทำงานพรรคเพื่อไทยพบการดำเนินโครงการไทยเข้มแข้ง 2552 (เอสพี 2) ของกระทรวงศึกษาธิการปีงบประมาณ 2553-2555 งบประมาณกว่า 64,000 ล้านบาท จำนวน 16 โครงการ ซึ่งพบว่าโครงการจัดหาคอมพิวเตอร์และเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเพื่อการศึกษา ที่มีงบประมาณ 17,000 ล้านบาทนั้น พบความไม่โปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษ โดยในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสิงห์บุรี ได้มีการส่งมอบเครื่องคอมพิวเตอร์ให้โรงเรียนบางแห่งแล้วทั้งๆ ที่โครงการนี้มีเพียงการเสนอโครงการ แต่ยังไม่มีการอนุมัติงบประมาณจากส่วนกลางและยังไม่มีการจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบ ซึ่งอาจจะมีการล็อกเสปค เพราะคอมพิวเตอร์ถูกส่งให้บางโรงเรียนก่อนกระบวนการทั้งหมดจะเสร็จสิ้น ที่สำคัญคือโครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อให้นักเรียนก 10 คนมีคอมพิวเตอร์ใช้ 1 เครื่อง แต่ศักยภาพของบุคลากรทางการศึกษาต่างๆ ในชนบท ยังไม่มีความรู้ความชำนาญในการเรียนการสอนคอมพิวเตอร์ ซึ่งแม้จะมีเครื่องคอมพิวเตอร์คุณภาพดี ราคาแพงก็ไม่สามารถพัฒนาศักยภาพเด็กได้เต็มที่