กกต.เสียงข้างน้อยเชื่อ “มานิต” ไม่มีเจตนาถือครองหุ้นระบุยึดมาตรฐานเดิมการลงมติ ส.ส.และ ส.ว.ไม่ได้ต้องการช่วย “ประพันธ์” แย้มอาจขยายเวลาสอบเงินบริจาค ปชป. 258 อีกรอบเหตุอยากฟัง “ประชัย” แจง
วันนี้ (5 พ.ย.) นายประพันธ์ นัยโกวิท กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านบริหารงานเลือกตั้ง กล่าวถึงกรณีการลงมติให้ นายมานิต นพอมรบดี ต้องพ้นจากความเป็นรัฐมนตรี เนื่องจากถือครองหุ้นต้องห้ามในสื่อ และบริษัทที่เป็นคู่สัญญาสัมปทานของรัฐว่า ที่ประชุมมีมติด้วยเสียงข้างมาก 4 ต่อ 1 ซึ่ง กกต.ใช้มาตรฐานเดียวกันกับการลงมติ ส.ส.และ ส.ว.โดยเสียงข้างมากเห็นว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 48 ประกอบมาตรา 265 (2) (4) เขียนระบุไว้ชัดเจนว่า ห้ามถือหุ้นในสื่อ และบริษัทที่เป็นคู่สัญญาสัมปทานของรัฐ ดังนั้น ถือหุ้นต้องห้ามไม่ว่าจะก่อนหรือหลังเข้ารับตำแหน่ง ก็ถือว่าเข้าข่ายความผิดแล้ว และความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดแล้ว
ส่วนตนที่เป็นเสียงข้างน้อยเห็นว่า นายมานิตได้ถือหุ้นมาก่อนที่จะดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรี และหุ้นที่ถือก็มีไม่มากไม่ถึง 5 เปอร์เซ็นต์ ไม่สามารถเข้าไปครอบงำแทรกแซงกิจการได้ ประกอบกับเมื่อดูตามเจตนาแล้วพบว่านายมานิตได้ทยอยขายหุ้นก่อนเข้าดำรงตำแหน่ง และขายจนหมดหลังเข้าดำรงตำแหน่งเพียง 3 วัน ส่วนกรณีที่นายมานิตอ้างว่าทำใบสัญญาขายหุ้นหายนั้น เป็นเรื่องที่นายมานิตต้องนำไปเป็นข้อต่อสู้ในศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อถามว่าการเป็นเสียงข้างน้อยจะเป็นการช่วยเหลือพรรคการเมืองใดหรือไม่ นายประพันธ์กล่าวว่า ไม่ได้ช่วยเหลือ ตนพิจารณาไปตามข้อเท็จจริง ใช้มาตรฐานเดียวกับการพิจารณากรณีของ ส.ส.และ ส.ว. เมื่อถามว่า ถือเป็นช่องโหว่ของข้อกฎหมายหรือไม่ นายประพันธ์กล่าวว่า ก็แล้วแต่คนจะมอง เพราะการตีความแตกต่างกัน และต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้วินิจฉัย
นายประพันธ์กล่าวถึงกรณีที่นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย คัดค้านการทำงานของอนุกรรรมการที่ตัดนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ อดีตผู้บริหารบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) เนื่องจากเป็นพยานสำคัญในสำนวนเงินบริจาค 258 ล้านบาทว่า เรื่องดังกล่าว กกต. ต้องหารือในที่ประชุมและต้องเรียกอนุกรรมการมาซักถามอีกครั้งก่อนจะวินิจฉัยว่าจะดำเนินการอย่างไร จะให้สอบพยานเพิ่มเติม หรือจะลงมติเลย ซึ่งตนได้อ่านสำนวนมาบ้างแล้ว แต่ยังมีประเด็นติดใจต้องรอซักถามอนุกรรมการก่อน
ส่วนที่นายพร้อมพงศ์เรียกร้องให้มีการเอาผิดนายประชัยที่ไม่ยอมเข้าให้ปากคำนั้น มีขั้นตอนตามกฎหมายที่สามารถเอาผิดได้อยู่แล้ว แต่ทราบมาว่านายประชัยได้ให้ทนายนำเอกสารมาชี้แจงแทน เมื่อถามว่าหากไม่เชิญนายประชัยมาให้ปากคำจะทำให้สำนวนอ่อนลงหรือๆ ไม่ นายประพันธ์กล่าวว่า เราวินิจฉัยตามข้อเท็จจริง ดูว่าสำนวนมีความสมบูรณ์หรือไม่เป็นหลัก ถ้าสามารถลงมติได้ก็จะวินิจฉัยเลย แต่หากที่ประชุมต้องการให้มีการสอบนายประชัย ก็อาจจะต้องขยายระยะยเวลาออกไป ซึ่งกฎหมายไม่กำหนดกรอบระยะเวลาการทำงานในเรื่องนี้ไว้