นางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ด้านกิจการพรรคการเมือง เปิดเผยถึงการขยายเวลาการสืบสวนสอบสวนกรณี 44 ส.ส. ถือครองหุ้นในบริษัท ที่ได้รับสัมปทานรัฐว่า เนื่องจากข้อมูลการสอบสวนเรื่องดังกล่าวมีเป็นจำนวนมากกว่า 700 บริษัทที่อาจทำให้เกิดความสับสนได้ ขณะเดียวกันมี ส.ส. แจ้งความเป็นธรรม ว่าการถือหุ้นลักษณะต้องห้ามได้ขายไปนานแล้วจึงขอขยายเวลา แต่ทั้งนี้คาดว่าในวันอังคารที่ 25 สิงหาคมนี้ ที่จะครบกำหนดการขอขยายเวลานั้น จะได้ข้อมูลครบ พร้อมทั้งยืนยัน กกต.จะใช้มาตรฐานเดียวกับ 16 ส.ว. และ 13 ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ ที่ได้วินิจฉัยไปก่อนหน้านี้ แม้ว่าจะมีบาง
บริษัทที่ กกต. วินิจฉัยว่าไม่เข้าข่ายต้องห้าม แต่อนุกรรมการไต่สวนชุดดังกล่าวมีวินิจฉัยว่าเข้าข่ายลักษณะต้องห้ามก็ตาม แต่ทั้งนี้ผู้ร้องสามารถส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้ เพราะหาก กกต. วินิจฉัยชี้ขาดไปแล้วก็ถือว่าจบ
ส่วนกรณีเงินบริจาค 258 ล้านบาท ของพรรคประชาธิปัตย์นั้น โดยส่วนตัวคาดว่าจะสามารถลงมติในวันอังคารที่ 25 สิงหาคมได้ แต่ทั้งนี้คงต้องหารือในที่ประชุม กกต. ด้วยที่อาจจะต้องการสอบ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และอดีตรองนายกรัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนั้นเพิ่ม
บริษัทที่ กกต. วินิจฉัยว่าไม่เข้าข่ายต้องห้าม แต่อนุกรรมการไต่สวนชุดดังกล่าวมีวินิจฉัยว่าเข้าข่ายลักษณะต้องห้ามก็ตาม แต่ทั้งนี้ผู้ร้องสามารถส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้ เพราะหาก กกต. วินิจฉัยชี้ขาดไปแล้วก็ถือว่าจบ
ส่วนกรณีเงินบริจาค 258 ล้านบาท ของพรรคประชาธิปัตย์นั้น โดยส่วนตัวคาดว่าจะสามารถลงมติในวันอังคารที่ 25 สิงหาคมได้ แต่ทั้งนี้คงต้องหารือในที่ประชุม กกต. ด้วยที่อาจจะต้องการสอบ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และอดีตรองนายกรัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนั้นเพิ่ม
