“ประพันธ์” ขู่ “ประชัย” ไม่มาให้ปากคำ กรณีเงินบริจาคพรรค ปชป.258 ล้าน ตามนัดต้นเดือน ต.ค.นี้ อาจต้องใช้อำนาจนายทะเบียน เรียกสอบ หากเบี้ยวอีก มีโทษอาญาขัดหมายเรียก คณะอนุ กก.ไต่สวน ยืนยันจำเป็นต้องสอบปากคำ “ประชัย” ให้ได้ เพราะเป็นคนต้นเรื่อง
วันนี้ (2 ต.ค.) ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต.ด้านบริหารงานเลือกตั้ง กล่าวถึงกรณีที่ประชุม กกต.มีมติขยายเวลาสอบออกไปอีก 30 วัน ให้กับคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงคดีสำนวนเงินบริจาค 258 ล้านบาท ว่า คณะกรรมการไต่สวนยังคงรอให้ นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานบริหารบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) มาให้ปากคำ เพราะถือเป็นบุคคลสำคัญในกรณีดังกล่าว เนื่องจากเป็นต้นเรื่องทั้งหมด โดยเบื้องต้นนายประชัยได้ทำหนังสือขอเลื่อนการเข้าชี้แจงกับคณะกรรมการไต่สวนไปเป็นเดือน พ.ย.แต่ทางคณะกรรมการให้โอกาสเข้ามาชี้แจงภายในต้นเดือน ต.ค.เท่านั้น ซึ่งถ้านายประชัย ยังไม่มาชี้แจงภายในเวลาที่กำหนด ทางคณะอนุกรรมการไต่สวนก็สามารถให้นายทะเบียนพรรคการเมืองออกหนังสือเชิญอีกครั้ง ซึ่งหากยังไม่มาตามที่กำหนดอีก นายประชัยก็จะมีความผิด ซึ่งอำนาจนี้ กกต.ไม่เคยใช้กับใครมาก่อน เพราะที่ผ่านมาแค่เราติดต่อขอความร่วมมือพยานไป ก็จะได้รับความร่วมมือด้วยดีมาตลอด
“หากนายประชัยยังไม่ยอมติดต่อมาให้ปากคำภายในต้นเดือน ต.ค.นี้ และคณะอนุกรรมการไต่สวน ยังยืนยันว่า จำเป็นต้องสอบปากคำนายประชัยให้ได้ กกต.ก็สามารถใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง มาตรา 7 ที่ระบุว่า ในการปฏิบัติหน้าที่ของนายทะเบียนตาม พ.ร.บ.นี้ ให้นายทะเบียนมีอำนาจเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้คำชี้แจงหรือให้ส่งเอกสารมาเพื่อประกอบการพิจารณาหรือตรวจสอบได้ ในส่วนที่กกต.เห็นว่ามีการกระทำที่ขัดต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมือง ซึ่งหากไม่ปฏิบัติตามจะมีความผิดทางอาญาคือเป็นการขัดหมายเรียก” นายประพันธ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ตอนนี้ดีเอสไอมีการเปลี่ยนตัวอธิบดีคนใหม่จาก พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เป็นนายฐาริต เพ็งดิษฐ์ แล้วจะมีผลกระทบต่อการทำคดีนี้หรือไม่ นายประพันธ์ กล่าวว่า คงไม่มีผลกระทบกับคดี เพราะ กกต.สอบสวนตามอำนาจ พ.ร.บ. พรรคการเมือง ส่วนทางดีเอสไอ ก็ดำเนินการตรวจสอบตาม พ.ร.บ.ตลาดหลักทรัพย์ ดังนั้น เชื่อว่า การทำงานจะไม่กระทบซึ่งกันและกัน แม้ทั้งสองหน่วยงานจะสืบหาข้อเท็จจริงในเรื่องเดียวกันก็ตาม
เมื่อถามอีกว่า มีการตั้งข้อสังเกตว่า กรณีที่มีการเปลี่ยนตัวอธิบดีดีเอสไอ เป็นเพราะว่าต้องการให้มาดูคดีนี้ นายประพันธ์ กล่าวว่า คงไม่ใช่ ตนไม่รู้จักกับนายฐาริตเป็นการส่วนตัว แต่ก็เชื่อว่าท่านคงไม่เข้ามาล้วงลูก หรือแทรกแซงการทำงาน ท่านมาทำงานตามหน้าที่ อีกทั้งการทำงานของทางดีเอสไอกับ กกต.ก็ใช้กฎหมายแยกจากกันชัดเจน
ด้าน นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.กล่าวถึงกรณีที่มีการเปลี่ยนตัวอธิบดีดีเอสไอ ว่า การเปลี่ยนตัวอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษในครั้งนี้ ไม่น่าจะเกี่ยวกับการเมือง และมั่นใจว่าจะไม่มีผลต่อการทำคดีในส่วนของ กกต.