หลังมีการเปิดเผยว่า นายซก เยือน อดีตกรรมการบริหารพรรคสมรังสี ฝ่ายค้านของกัมพูชา ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังแผนการลอบสังหาร “สมเด็จฮุนเซน” กบดานอยู่ในประเทศไทย
จากปากของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่อภิปรายเรื่องนี้ในสภาเมื่อปี 2543
รัฐบาลกัมพูชาได้เดินหน้ากดดันรัฐบาลไทยให้ส่งตัว “ซก เยือน” กลับกัมพูชา โดยกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชามีหนังสือถึงกระทรวงการต่างประเทศของไทย เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ปีเดียวกัน
ขอให้ไทยส่งตัว “ซก เยือน” ในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนกลับไปดำเนินคดีที่กัมพูชา
ขณะที่รัฐบาลไทยปฏิบัติตามสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน และเปิดโอกาสให้ “ซก เยือน” ได้ต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม โดยศาลอาญาของไทยได้พิจารณาคดีดังกล่าวและตัดสินว่า ข้อต่อสู้ของจำเลย (นายซก เยือน) ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ จึงมีคำสั่งให้ขังจำเลยไว้เพื่อการส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนตาม พ.ร.บ. ส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ.2472 มาตรา 15 แต่มิให้ส่งตัวจำเลยก่อน 15 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งและหากมิได้ส่งตัวจำเลยภายใน 3 เดือน ให้ปล่อยจำเลยไป
มีการต่อสู้คดีกระทั่งยืดเยื้อมาถึงรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ซึ่งขณะนั้นมี รมว.ต่างประเทศ ชื่อ สุรเกียรติ์ เสถียรไทย ออกมาให้สัมภาษณ์ในวันที่ 16 มกราคม 2546 ระบุถึงเหตุผลทางมนุษยธรรมว่า นายซก เยือน อายุมากและมีสุขภาพไม่แข็งแรง จึงมีการประสานไปยังสมเด็จฮุนเซนเพื่อส่งตัวนายซก เยือน ไปลี้ภัยยังประเทศฟินแลนด์เพื่อจะได้พำนักกับครอบครัว ซึ่งสมเด็นฮุนเซนก็เห็นด้วยในหลักการ
และในวันเดียวกัน สมเด็จพระนโรดม สีหนุ กษัตริย์กัมพูชา ก็ “นิรโทษกรรม”ให้กับ นายซก เยือน ทำให้เขาได้เดินทางไปลี้ภัยอยู่ในประเทศฟินแลนด์เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2547
หากพิจารณาจากเส้นทางการต่อสู้ของ “ซก เยือน” พอจะเห็นร่องรอยว่า
นช.ทักษิณ กำลังจะทำอะไรกับสถานะของตัวเองนับจากนี้ไป เพื่อเพิ่มช่องทางการต่อสู้ให้กับตัวเอง นอกเหนือไปจากการใช้ “คนเสื้อแดง”และพรรค “เพื่อไทย”นำตัวเองกลับบ้านโดยไร้มลทินเท่านั้น
การที่ นช.ทักษิณ เลือกกัมพูชาเป็นประเทศที่อาจจะใช้สำหรับการลี้ภัยทางการเมือง นั่นเป็นเพราะชัยภูมิอยู่ใกล้ประเทศไทย เล่นสงครามประสาทได้ง่ายขึ้น ขณะที่กระบวนการยุติธรรมของกัมพูชายังมีข้อครหาอยู่มากถึงการถูกครอบงำ
ไม่เช่นนั้น “สมเด็จฮุนเซน” คงไม่กล้าออกมาประกาศโต้ง ๆ ว่า จะไม่ส่งตัว นช.ทักษิณ เป็นผู้ร้ายข้ามแดนมาดำเนินคดีในประเทศไทย
โดยอ้างว่าเป็นคดีการเมืองไม่เข้าข่ายในสนธิสัญญา ทั้งที่ข้อเท็จจริงในการตัดสินเรื่องนี้เป็นหน้าที่ของ “ศาลกัมพูชา” ไม่ใช่ฝ่ายบริหารอย่าง “สมเด็จฮุนเซน” จะออกมากางปีกปกป้อง
ในคำให้สัมภาษณ์ตบหน้าคนไทยทั้งชาติของ “สมเด็จฮุนเซน” วันเปิดประชุมอาเซียนซัมมิท ยังมีเนื้อหาตอนหนึ่งที่น่าสนใจว่า “สิ่งที่เขาจะทำให้ทักษิณเป็นเรื่องที่คนไทยที่มีศีลธรรมควรจะยอมรับ และเห็นใจต่อชะตากรรมของทักษิณ ซึ่งต้องประสบเคราะห์กรรมหลังการทำรัฐประหาร”
ทั้งนี้หาก “สมเด็จฮุนเซน” ยังแทงหวยเลือกข้าง นช.ทักษิณ ก็มีความเป็นไปได้สูงมากว่า รัฐบาลกัมพูชาจะเล่นบทบาทเดียวกับที่รัฐบาลทักษิณเคยเล่นมาแล้ว ในกรณีของ นายซก เยือน คือประสานมายังรัฐบาลไทยเพื่อเห็นแก่มนุษยธรรม
ส่วนจะอ้างว่าผู้ร้ายข้ามแดนคนนี้มีปัญหาเรื่องสุขภาพ เพราะเป็น “มะเร็งต่อมลูกหมาก”หรือเปล่า?
ยังเป็นเรื่องที่ต้องติดตาม...
นอกประเทศใช้ “สมเด็จฮุนเซน” เป็นหมากสำคัญ ขณะที่ในประเทศ นช.ทักษิณ ก็กำลังทุ่มทุนครั้งมโหฬารเพื่อล้มรัฐบาลให้ได้ภายในปลายปีนี้ โดยมีเงินที่ถูกอายัดไว้ 7.6 หมื่นล้านเป็นเดิมพัน
การชุมนุมของ “คนเสื้อแดง”ในเดือนพฤศจิกายนนี้ จึงเป็นเรื่องที่ฝ่ายความมั่นคงต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เพราะคงไม่โหรงเหรงเหมือนช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เนื่องจากบัตรเติมเงินกลับมาใช้ได้เป็นปกติแล้ว
“ดิบ เถื่อน ถ่อย” เผาบ้านเผาเมืองจะยังเป็นฝันร้ายของคนไทยต่อไป หากคนทั้งสังคมยังเพิกเฉยกับการเคลื่อนไหวเหล่านี้ โดยคิดว่าธุระไม่ใช่เพราะเป็นเรื่องการเมืองของนักการเมือง
นช.ทักษิณ อาจมีเดิมพันเป็นเงินและอำนาจ แต่สำหรับคนไทยเราถูกบังคับให้เอาบ้านเมืองเป็นเดิมพัน ลองตรวจตราไปตามต่างจังหวัดจะพบความจริงที่น่าตกใจว่า มีการแจกจ่ายภาพและเอกสารกัดกร่อนสถาบันหลัก ในขณะที่การปล่อยข่าวลืออัปรีย์ก็ยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
ถ้าคนไทยมองสถานการณ์นี้ไม่แตก ไม่เพียง นช.ทักษิณ จะกลับประเทศโดยไร้ความผิดและ “คนเสื้อเหลือง”ถูกปราบปรามด้วยความรุนแรงเท่านั้น ระบบการเมือง การปกครองของประเทศก็จะพลิกโฉมหน้าไป ชนิดที่เรานอนหลับแล้วตื่นขึ้นมา
จะพบว่า ไม่ได้อยู่ในบ้านเมืองที่เราเคยรู้จักอีกต่อไปแล้ว