รายงาน
โดย...แสงตะวัน
ความเดิมจากตอนที่ 1 สรุปไว้ว่า แม้ว่าจนถึงวันนี้ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่า นายพลซิน ซอง หรือที่คนไทยคุ้นเคยในชื่อ “นายพลซอนซาน” เสียชีวิตหรือยัง แต่สายสัมพันธ์ที่น่าจะขาดสะบั้นตายจากกันไปแล้วระหว่าง “นช.ทักษิณ” , “ฮุนเซน” กับ “พล.อ.ชวลิต” กลับฟื้นคืนชีพอีกครั้ง
เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ทุกอย่างมีคำตอบเดียว คือ “เงิน”
ในความจริงชะตากรรมของนายซิน ซอง หรือซอน ซาน ได้ลี้ภัยไปอยู่ประเทศที่ 3 และเสียชีวิตในเวลาต่อมา ส่วนผู้ร่วมก่อการรัฐประหารในครั้งนั้นอีกหนึ่งคน คือ“ซก เยือน” มีข่าวระบุว่าหลบหนีเข้ามาอยู่ในประเทศไทย เมื่อ พ.ศ.2542 ซึ่งฝ่ายไทยโดยนายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย ได้เปิดเผยเรื่องนี้เมื่อวันที่ 16 ม.ค.46 ว่าฝ่ายไทยได้มีการหารือเรื่องการส่งตัวนายซก เยือน กลับประเทศกัมพูชา ตามคำเรียกร้องของรัฐบาลกัมพูชามาโดยตลอด และมีความเห็นพ้องกันว่า ด้วยเหตุผลทางมนุษยธรรม ประกอบกับประสงค์จะเห็นนายซก เยือน ซึ่งมีอายุมากและมีสุขภาพที่ไม่แข็งแรงได้มีโอกาสอยู่ร่วมกับครอบครัวที่พำนักอยู่ในประเทศฟินแลนด์อีกครั้งหนึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น จึงได้มอบหมายให้ รมว.ต่างประเทศ นำเรื่องนี้ไปหารือกับฝ่ายกัมพูชา ซึ่งต่อมาฝ่ายกัมพูชาได้แจ้งให้ทราบว่า สมเด็จฯ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เห็นด้วยในหลักการกับข้อเสนอดังกล่าวของไทย และจะไม่เรียกร้องให้ฝ่ายไทยส่งตัวนายซก เยือน กลับประเทศกัมพูชาอีก ดังนั้น สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือ ฝ่ายไทยจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมของไทยก่อน
ทั้งนี้ ก่อนหน้านั้นฝ่ายไทยได้ดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม โดยศาลไทยได้มีความเห็นให้ส่งตัว “ซก เยือน” กลับให้กัมพูชา
เหล่านี้เป็นความในอดีต แต่ปัจจุบันสัมพันธ์ลึกระหว่าง “ทักษิณ-ฮุนเซน” ได้รื้อฟื้นขึ้นมาใหม่จากศัตรูมาเป็นเพื่อนกันเพราะเหตุใด เรื่องราวต่อไปนี้คือคำตอบ
หลังจากที่ “นช.ทักษิณ” มีโอกาสเข้ามากุมบังเหียนเป็นผู้นำรัฐบาลไทย แค่มองตาก็รู้ใจ “ฮุนเซน” แถมวิธีคิดก็มิได้แตกต่างกัน
จุดเริ่มต้นของการนำผลประโยชน์ชาติแลกกับผลประโยชน์ส่วนตัวจึงเริ่มต้นขึ้น และกลายเป็นปัญหาเรื้อรังมาจนถึงทุกวันนี้
ที่กำลังระอุ จนอาจกลายเป็นสงครามระหว่างสองประเทศได้ตลอดเวลา จากกรณีที่เห็นชัดเจนที่สุดคือข้อพิพาทไทย-กัมพูชา กรณีปราสาทพระวิหาร
ถ้าจำกันได้ เกิดเหตุเผาสถานทูตไทย ในกรุงพนมเปญ ซึ่งขณะนั้นใกล้ถึงวาระที่จะต้องมีการเลือกตั้งภายในกัมพูชา และฐานคะแนนเสียงของ “ฮุนเซน” ก็สั่นคลอนอย่างหนัก จนต้องใช้วิธีปลุกกระแสคลั่งชาติขึ้นมา
ขณะที่ “นช.ทักษิณ” ก็เป็นงานแปรวิกฤติเป็นโอกาส ด้วยการสร้างภาวะความเป็นผู้นำ ประกาศแข็งกร้าวนำคนไทยกลับประเทศ ถึงขนาดนำเครื่องบินของกองทัพอากาศบินเหนือน่านฟ้ากัมพูชาไปรับคนไทยกลับประเทศ
โดยไม่มีเสียงท้วงติงสักแอะจาก “ฮุนเซน”
ทั้งที่ถ้าเป็นประเทศอื่น การกระทำเช่นนี้อาจก่อให้เกิดสงครามระหว่างสองประเทศไปแล้ว เพราะถือว่าเครื่องบินกองทัพอากาศไทยบินเหนือน่านฟ้ากัมพูชา ซึ่งก็เท่ากับเป็นการละเมิดอธิปไตยของกัมพูชาด้วย
แต่ “ฮุนเซน” ก็เลือกที่จะไม่ทำอะไร ปล่อยให้ “นช.ทักษิณ” ได้รับเสียงปรบมือจากคนไทยในขณะนั้นว่า กล้าหาญ เด็ดขาด
แท้จริงแล้วเบื้องหลังการถ่ายทำที่ทำให้ “เครื่องบินของกองทัพอากาศ” บินเหนือน่านฟ้ากัมพูชาโดยไม่ถูกสอยร่วงนั้น มีการเปิดโปงในภายหลังจาก ส.ส.ฝ่ายค้านของกัมพูชาเองว่า
มีใครบางคนเงินหนาจ่ายเงินให้ “ฮุนเซน” 125 ล้านบาท เพื่อช่วยสนับสนุนการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น จึงเป็นที่มาของการสยบ “ฮุนเซน” จนเงียบสนิท
ผ่านพ้นมาหลายเหตุการณ์ จนการเมืองไทยพลิกผันเกิดการปฏิวัติรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ตามมาด้วยการพลิกขั้วทางการเมือง ประเทศไทยได้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ขณะที่ “นช.ทักษิณ” ยังร่อนเร่ไร้แหล่งพำนัก
ขณะเดียวกัน สถานการณ์ภายในกัมพูชาก็เกิดปัญหาด้านเศรษฐกิจอย่างหนัก ถึงขั้นคลัง “ถังแตก” ไม่มีเงินจ่ายให้กับข้าราชการ อันเป็นเหตุมาจากพิษเศรษฐกิจโลก และการโกงบ้านโกงเมืองอย่างไม่บันยะบันยังของคณะผู้นำประเทศ
หลายคนอาจจะคิดว่า “ฮุนเซน” เป็นผู้นำที่แข็งแกร่ง และอาจจะเป็นนายกรัฐมนตรีกัมพูชาไปจนตาย แต่ความจริงที่ปรากฏในขณะนี้พบว่า
บัลลังก์อำนาจของ “ฮุนเซน” ถูกสั่นคลอนอย่างหนัก
จากปัญหาการฉ้อราษฎร์บังหลวง และการบริหารประเทศที่ล้มเหลว ทำให้พรรคฝ่ายค้านของ “สม รังษี” มีโอกาสมากขึ้น
ท่ามกลางความไร้เสถียรภาพทางการเมืองภายในของกัมพูชา ประกอบกับ “ฮุนเซน” อยู่ในภาวะที่รู้สึกว่าตัวเองขาดความมั่นคงทางอำนาจ และไร้ซึ่งความปลอดภัย เขาจึงตัดสินใจขึ้นเงินเดือนให้กับตำรวจและทหาร ถึงสองเท่า
ซื้อความซื่อสัตย์ให้คนมีปืนสนับสนุนให้เขาอยู่ในอำนาจต่อไป
ขณะที่ ส.ส.ฝ่ายค้านของกัมพูชามีข้อมูลว่าที่มาของเงินที่นำมาขึ้นเงินเดือนให้กับทหารและตำรวจนัน มีเงาของ “นช.ทักษิณ” ดำทะมึนอยู่ด้านหลัง “ฮุนเซน” ด้วยเงินที่มีตัวเลขสูงถึง 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีการสนับสนุนเงินจำนวนดังกล่าวตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว และมีการขึ้นเงินเดือนทหาร-ตำรวจ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
แต่เงินที่ได้มาโดยไม่ได้เกิดจากการหารายได้นั้นย่อมมีวันหมดไป ทำให้เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา เงินในคลังของกัมพูชาก็ยอบแยบถึงขนาดไม่มีเงินจ่ายให้ข้าราชการอีกครั้ง และ “ฮุนเซน”ก็ตัดสินใจลดเงินเดือนตำรวจ-ทหาร จากที่เพิ่มไปสองเท่าให้กลับมาเหลือเท่าเดิม
เป็นรัฐบาลเดียวในโลกที่กล้าทำแบบนี้ แล้วคิดว่าเสถียรภาพของฮุนเซน ในฐานะผู้นำประเทศจะมีอีกหรือ ?
เมื่ออยู่ในภาวะที่เกือบจะเรียกได้ว่า “จนตรอก” และคำตอบเดียวที่จะช่วยได้คือ “เงิน” จึงไม่แปลกที่ “สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุนเซน” จะยอมลดตัวทำตนเหมือน “พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์” ดังที่ปรากฏในข่าว
บอกได้คำเดียวว่า ตัวเลขในการง้างปาก “ฮุนเซน” เที่ยวนี้ คงขึ้นชั้นหลักร้อยล้านบาทขึ้นไป ซึ่งคนไทยต้องติดตามใกล้ชิดว่า การให้ที่พำนักและยกบทบาทให้“นช.ทักษิณ” เป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจให้รัฐบาลกัมพูชานั้น จะเป็นเพียงแค่ความพยายามที่จะสร้างราคาให้ “นช.ทักษิณ” ให้กลับมาหยัดยืนบนเวทีโลก โดยหยิบฉวยเอาช่วงเวลาการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ซึ่งนานาชาติกำลังให้ความสนใจมาเป็นเครื่องมือเท่านั้น
หรือว่าผลประโยชน์ครั้งนี้จะล่อตาล่อใจ ต่อยอดให้ “ฮุนเซน” ทำในสิ่งที่มากกว่าการอ้างว่าให้ที่พำนักกับเพื่อนที่กำลังเดือดร้อน ด้วยการใช้ความเป็นประเทศเพื่อนบ้านกดดันรัฐบาลไทย จนดูอ่อนแอในสายตาของประชาชน ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ ตามแผนตากสิน 2 ด้วยหรือไม่