xs
xsm
sm
md
lg

“ลุงจำลอง” หนุน “ก.ม.ม.” เต็มสูบ-ปัดร่วมงาน “จิ๋ว” เหตุปล่อยลูกพรรคว่า “ป๋า” ไม่หยุด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พล.ต.จำลอง ศรีเมือง
“พล.ต.จำลอง” เผยถูก “ชวลิต” ชวนเข้าพรรคแต่ปฏิเสธไป เพราะยังติดงานช่วยสังคม และยังสนับสนุน “พรรคการเมืองใหม่” อย่างเต็มที่ ที่สำคัญคนในพรรค “พี่จิ๋ว” ยังว่า “ป๋าเปรม” เสียๆ หายๆ อย่างต่อเนื่อง ในฐานะเคยเป็นเลขาฯ “ป๋า” ไปร่วมสังฆกรรมด้วยคงไม่เหมาะ



คลิกที่นี่ เพื่อฟัง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แถลงข่าวชี้แจง

เมื่อเวลาประมาณ 13.30 น.วันนี้ (27 ต.ค.) ที่บ้านพระอาทิตย์ ระหว่างการแถลงจุดยืนของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยต่อการเคลื่อนไหวของภาคประชาชน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ ได้ชี้แจงในฐานะส่วนตัวต่อข่าวการพบกับ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ก่อนที่ พล.อ.ชวลิตจะสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย และยังมีข่าวว่า พล.อ.ชวลิตจะขอนัดพบอีกครั้ง

พล.ต.จำลอง กล่าวว่า ได้พบกับ พล.อ.ชวลิต 1 วันก่อนที่ พล.อ.ชวลิต จะสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย โดย พล.อ.ชวลิตได้ชักชวนให้กลับไปเป็นนักการเมืองอีกครั้ง ซึ่งตนได้ตอบกลับไปว่ายังติดงานช่วยสังคมและงานการกุศลอีกหลายโครงการ ถ้ามาเป็นนักการเมืองต้องทุ่มสุดตัว โครงการเหล่านั้นก็จะเสีย ขนาดพรรคการเมืองใหม่ที่ตนสนับสนุนเต็มที่ ก็ยังไม่เป็นแม้แต่สมาชิก ด้วยเหตุผลดังกล่าว

ส่วนที่ พล.อ.ชวลิต จะนัดเจออีกครั้งนั้น พล.ต.จำลอง กล่าวว่า ถ้าได้รับการติดต่อมาก็จะบอกว่า เมื่อ พล.อ.ชวลิเข้าพรรค(เพื่อไทย) แล้วก็อาจจะได้เป้นหัวหน้าพรรค การที่ตนสนับนนุนพรรคการเมืองใหม่เต็มที่แล้วไปติดต่อกับอีกพรรคหนึ่งคงไม่เหมาะ และที่สำคัญก็คือ หลายคนในพรรคของ พล.อ.ชวลิต ยังว่าป๋า (พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ) อย่างเสียๆ หายๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งๆ ที่ พล.อ.ชวลิตบอกว่า พล.อ.เปรม ทำคุณประโยชน์ให้แก่บ้านเมืองมามากมาย ตนเคยเป็นเลขาธิการของ พล.อ.เปรม หาดไปคุยกับ พล.อ.ชวลิตในตอนนี้คงจะไม่เหมาะ

รายละเอียดคำแถลงของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง

“เดิมคิดว่าจะไม่พูด แต่เมื่อพี่จิ๋วให้สัมภาษณ์ไปบ้างแล้ว ผมพูดทีหลัง คงจะไม่เสียมารยาท

ก่อนที่พี่จิ๋วจะสมัครเป็นสมาชิกพรรคได้ 2 วัน นายทหารรุ่นน้องผมคนหนึ่งโทรศัพท์ถึงผมและพบผม บอกว่าพี่จิ๋วอยากจะคุย ผมบอกว่าพี่จิ๋วเป็นผู้ใหญ่กว่า แก่กว่าผมตั้ง 6 รุ่น พี่จิ๋ว จปร.1 ผม จปร.7 ให้พี่จิ๋วกำหนดวัน เวลา สถานที่ ที่พี่จิ๋วสะดวกก็แล้วกัน (รุ่นพี่จิ๋วไม่ใช่รุ่นแรก นักเรียนนายร้อย จปร.รุ่นแรกคือ รุ่นเมื่อ 122 ปีก่อนโน้น แต่เป็นรุ่นที่ 1 ของหลักสูตรใหม่ เรียน 5 ปี ได้ปริญญาวิทยาศาสตรบัณฑิต)

วันรุ่งขึ้น คือ ก่อนพี่จิ๋วจะสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมือง 1 วัน ผมพบกับพี่จิ๋ว พี่จิ๋วคุยเป็นกันเองเหมือนเดิม ไต่ถามสารทุกข์สุกดิบ พี่จิ๋วพูดเรื่องการเรื่องงาน 2 เรื่อง

เรื่องแรก เป็นเรื่องการเมือง พี่จิ๋วพูดสั้นๆ ไม่ได้เอ่ยถึงพรรคการเมืองใด แนะผมว่า ผมน่าจะกลับมาเป็นนักการเมืองอีกครั้ง ผมเรียนพี่จิ๋วว่า ผมทำงานช่วยสังคม ทำงานการกุศลหลายโครงการ ถ้ามาเป็นนักการเมืองผมต้องทุ่มสุดตัว โครงการต่างๆ เหล่านั้นจะเสีย

ผมสนับสนุนพรรคการเมืองใหม่อย่างเต็มที่ แต่ผมก็ขอตัว ไม่เป็นอะไร แม้กระทั่งสมาชิกพรรค ด้วยเหตุผลดังกล่าว ยิ่งกว่านั้น ผมเป็นประธานกองทัพธรรมมูลนิธิ ชาวคณะกองทัพธรรมเขาตั้งพรรคการเมืองชื่อ “พรรคเพื่อฟ้าดิน” มานาน 9 ปีเศษ แล้ว ผมยังขอตัว ขอไม่เป็นอะไร ไม่เป็นสมาชิกพรรคด้วย เขาก็ไม่ว่าอะไร

ส่วนข่าวที่พี่จิ๋วจะคุยกับผมอีกนั้น พี่จิ๋วยังไม่ได้บอกให้นายทหารรุ่นน้องติดต่อมา ถ้าติดต่อมา ผมคงเรียนพี่จิ๋วว่า

เมื่อพี่จิ๋วเข้าพรรคการเมืองแล้ว และอาจจะขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคด้วย ผมไม่ได้เป็นอะไรในพรรคการเมืองใหม่ที่ผมหนุนเต็มที่ แล้วไปก้อร่อก้อติกกับอีกพรรคหนึ่ง คงไม่เหมาะ

และที่สำคัญก็คือ หลายคนในพรรคของพี่จิ๋วยังว่าป๋าเสียๆ หายๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งๆ ที่พี่จิ๋วบอกว่า ป๋าทำคุณประโยชน์ให้แก่บ้านเมืองมาเยอะ ผมเคยเป็นเลขาธิการของป๋า ไปคุยกับพี่จิ๋วในตอนนี้ คงจะไม่เหมาะครับ

เรื่องที่ 2 เป็นเรื่องเกษตรอินทรีย์ ปุ๋ยอินทรีย์ พี่จิ๋วพูดในทำนองว่า เห็นด้วย จะช่วยให้เกษตรกรอยู่รอด ซึ่งพี่จิ๋วเคยลองทำมาบ้างแล้ว ถ้าผมมีวีดีโอ มีหนังสือ เกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ส่งไปให้บ้าง ซึ่งผมได้รวบรวมฝากนายทหารรุ่นน้องคนนั้นไปให้ในวันรุ่งขึ้น

เรื่องเกี่ยวกับการที่นายทหารหลายคนสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมือง
สื่อมวลชนบางฉบับถามผม ผมมีความเห็นว่า ทหารจะเข้าพรรคการเมืองใดก็แล้วแต่จะเลือก เราผ่านการปฏิญาณมาทุกคนว่าจะปกป้อง 3 สถาบัน

ทหารเราเรียนมา ฝึกมา กินเงินเดือนมา ก็เรื่องหลักเรื่องเดียวนั้น นั่นเอง ยามประเทศชาติมีเหตุเภทภัย มีศึกเสือเหนือใต้ เราก็อาสาเข้าสู่สนามรบ เพื่อปกป้อง 3 สถาบัน เมื่อเกษียณแล้ว ทหารที่สะดวก ที่พร้อม ก็อาสาเข้าสู่สนามการเมือง เพื่อปกป้อง 3 สถาบัน

การเมืองที่จะปกป้อง ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ได้ ก็ต้องเป็นการเมืองที่มีคุณธรรมเท่านั้น

ส่วนเรื่องความหนุ่ม ความแก่ของทหารที่เข้าพรรคการเมืองนั้น ทหารที่เกษียณอายุราชการแล้ว เป็นทหารแก่ก็จริง แต่ “ทหารแก่ไม่มีวันตาย” ทหารแก่ที่เข้าสู่วงการเมืองไม่ตายไปจากคำว่า “ชาติ” “เกียรติ” “วินัย” “กล้าหาญ” คือไม่ตายไปจากความเป็นคนรักชาติ ไม่ตายไปจากความเป็นคนมีเกียรติ ไม่ตายไปจากความเป็นคนมีวินัย และไม่ตายไปจากความเป็นคนมีความกล้าหาญ”

อ่านรายละเอียดคำแถลง

พิภพ -เพิ่มเติมกรณีการเคลื่อนไหวของพี่น้องประชาชนในกรณีเกี่ยวกับปัญหามลพิษของมาบตาพุด และอุตสาหกรรมที่ก่อให้เกิดมลพิษ อันแรกก็คือ เราสนับสนุนการเคลื่อนไหวของพี่น้องประชาชนที่กำลังเดินเท้าอยู่ในขณะนี้ จากมาบตาพุดมาที่รัฐสภา ซึ่งจะถึงรัฐสภาในวันพรุ่งนี้เวลา 10 โมงเช้า นำโดยคุณสุทธิ อัชฌาศัย เพราะว่าปัญหาของมาบตาพุดนั้นเป็นปัญหาที่เรื้อรังมายาวนาน และคงจะรับอีกไม่ได้แล้วในการที่มีอุตสาหกรรมที่เต็มไปด้วยการสร้างมลพิษ หรือหลีกเลี่ยงกฎหมาย และใช้หากำไรเกินควรไปจากการที่ไม่ดูแลสิ่งแวดล้อม เพราะฉะนั้นในวันพรุ่งนี้แกนนำส่วนหนึ่งจะไปรับและให้กำลังใจกับพี่น้องประชาชน และยืนยันหนักแน่นว่า รัฐบาลจะต้องรับคำสั่งของศาลปกครองอย่างไม่มีเงื่อนไข และพิจารณาในการที่จะแก้ไขพระราชบัญญัติส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 67 ให้ประชาชนมีส่วนร่วม เพื่อจะแยกอุตสาหกรรมที่ก่อให้เกิดมลภาวะ และอุตสาหกรรมสะอาด ออกจากกันกับอุตสาหกรรมที่ไม่สะอาดให้ได้

เพราะฉะนั้นในเรื่องของอุตสาหกรรมสกปรก และอุตสาหกรรมสะอาด พันธมิตรฯ มีมติที่ชัดเจนว่าต้องแยก 2 ส่วนนี้ และประเทศไทยคงไม่สามารถที่จะรองรับอุตสาหกรรมสกปรก หรือก่อให้เกิดมลพิษได้อีกต่อไป ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ได้เป็นการปฏิเสธอุตสาหกรรม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราเน้นว่า ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะต้องเปลี่ยนแปลงโครงสร้างในการรับอุตสาหกรรในทางกฎหมาย ให้อุตสาหกรรมที่สะอาดมีที่มีทางเพิ่มมากขึ้น แล้วเอาอุตสาหกรรมที่สกปรกและก่อให้เกิดมลพิษออกไปจากสังคมไทยให้ได้โดยเร็ว เป็นหน้าที่ของรัฐบาลต้องทำตามคำสั่งศาลปกครอง และสนองตอบกับประชาชนและชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากอุตสาหกรรมที่สกปรกมายาวนาน

สนธิ -ผมอยากให้พวกเราตั้งสตินิดหนึ่ง ลองคิดดูนะครับ หากไม่มีการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนและพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ภาคตะวันออก นำโดยคุณสุทธิ อัชฌาศัย ขึ้นมานั้น วันนี้เราก็จะไม่ตื่นตัวเรื่องนี้ มลพิษก็จะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จนในที่สุดแล้วอำนาจของทุน อำนาจของอุตสาหกรรมที่สกปรก แต่ใช้เงินซื้อนักการเมือง ซื้อข้าราชการประจำ ก็สามารถจะทำลายสิ่งแวดล้อมของชาติบ้านเมืองได้ทุกๆ เรื่อง ผมมองในมุมกลับ คนบอกว่าทำให้การลงทุนนั้นชะลอลงไป

อย่างที่ผมเรียนให้ทราบ คุณพิภพได้พูดชัดเจนแล้วว่า การลงทุนนั้น ถ้าเป็นทุนที่สกปรก ทุนสามานย์ ประเทศไทยไม่ควรรับเข้ามา เราพร้อมที่จะต้อนรับและอำนวยความสะดวก และส่งเสริมอุตสาหกรรมสะอาด เพราะฉะนั้นแล้ววันนี้เราต้องให้กำลังใจภาคประชาชนที่นำโดยคุณสุทธิ อัชฌาศัย ที่ลุกขึ้นมาเปิดโปงและต่อสู้กับอำนาจรัฐ และต้องขอบพระคุณศาลปกครองมาก ที่ท่านได้ให้การคุ้มครอง แล้วก็ยืนยันว่า ขอให้รัฐบาลจะต้องรับคำสั่งศาลปกครอง และหากมิใช่เรื่องนี้ รัฐบาลก็จะไม่เคลื่อนไหวที่จะแก้หรือจะเพิ่มร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ แยกออกมาว่า อุตสาหกรรมใดบ้างที่ควรจะมี เรื่องพวกนี้ไม่เคยมีใครสนใจเลย พอเริ่มมีการต่อสู้ของภาคประชาชนขึ้นมา แล้วเขาสู้ไปตามกติ ตามช่องทาง จนกระทั่งศาลปกครองมีคำสั่ง รัฐบาลถึงขยับตัว พอขยับตัวก็มาเที่ยวกล่าวหาว่าทำให้การลงทุนชะงัก แทนที่รัฐบาลใดก็ตามขยับตัวไว้ก่อนล่วงหน้าปัญหาเรื่องนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น

สมศักดิ์ -สำหรับปัญหาในเรื่องการรถไฟฯ เท่าที่ติดตาม พี่น้องสื่อมวลชนอาจไม่เข้าใจข้อมูลที่ชัดเจน ประเด็นที่สหภาพฯ ดำเนินการเคลื่อนไหวที่จะให้มีการสอบสวนและปลดผู้ว่าการรถไฟฯ นั้น มีหนังสืออันนี้เป็นหลักฐาน เป็นหนังสือสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ลงวันที่ 21 มกราคม 2552 ที่ ตผ.0017 2527 ถึงการรถไฟแห่งประเทศไทย ประเด็นคือว่า เกี่ยวข้องกับการทุจริตที่ดินที่ตลาดนัดซันเดย์ โดยมีผู้ว่าการฯ ในขณะนั้น นายจิตต์สันติ และนายยุทธนา ทัพเจริญ เป็นประธานในการจัดสรรเรื่องที่ดิน สตง.ชี้ว่า การดำเนินการดังกล่าวเชื่อว่าพฤติกรรมดังกล่าวเข้าลักษณะความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 และน่าเชื่อว่าเป็นการทุจริต มีการใช้อำนาจหน้าที่โดยไม่ชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่การรถไฟฯ โดยอยู่ในความรับผิดชอบของนายจิตต์สันติ ธนะโสภณ อดีตผู้ว่าฯ และนายยุทธนา ทัพเจริญ ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการพิจารณาเกี่ยวกับการจัดประโยชน์บริเวณตลาดนัดซันเดย์ ย่านพหลโยธิน

หนังสือฉบับนี้ ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน อาศัยอำนาจตามมาตรา 44 และมาตรา 46 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ.2542 ซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 301 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 302(3) พิจารณาแล้วเห็นชอบกับการสอบสวนของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ให้ดำเนินการ

1. กรณีการดำเนินการให้เช่าที่จัดหาผลประโยชน์ให้การรถไฟฯ ดำเนินการทางอาญา ตามกฎหมาย กับนายจิตสันติ ธนะโสภณ คณะกรรมการพิจารณาเกี่ยวกับการจัดผลประโยชน์ บริเวณตลาดนัดซันเดย์ ที่มีนายยุทธนา ทัพเจริญ เป็นประธานและดำเนินการทางวิจัยให้กับคณะกรรมการพิจารณาเกี่ยวกับการจัดประโยชน์บริเวณตลาดนัดซันเดย์ที่เกี่ยวข้อง คือ กรรมการชุดนี้ นายยุทธนา ทัพเจริญ เป็นประธาน ในการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทเอกชน คือ บริษัท ธนสารสมบัติพัฒนา จำกัด การรถไฟเสียหายไปประมาณ 58 ล้านบาท

โดยวันนี้ยังไม่มีการดำเนินการใดๆ ทั้งสิ้น และเมื่อไม่มีการดำเนินการใดๆ แล้ว หลังจากนายยุทธนา มาเป็นผู้ว่าการ ในคดีเดียวกันนี้ ยังแต่งตั้ง นายทวีศักดิ์ สุทธิเสริม ที่เคยถูกไล่ออกไป ฐานผิดวินัยร้ายแรง เมื่อเดือนมกราคม กลับเข้ามาทำงาน และเสนอแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการทรัพย์สิน ที่มีการดูแลผลประโยชน์เกี่ยวกับที่ดินตรงนี้ ซึ่งเป็นความผิดตามข้อบังคับของการรถไฟ 3.1 ข้อ 2.11 เขาบอกว่า คนที่จะเข้ามาเป็นพนักงานรถไฟนั้นจะต้องไม่เคยเป็นผู้ถูกลงโทษให้ออกจากราชการ หรือจากรัฐวิสาหกิจใดๆ เพราะกระทำผิดวินัย และข้อ 2.13 บอกว่า ไม่เป็นผู้ที่เคยถูกลงโทษไล่ออกจากราชการ หรือจากรัฐวิสาหกิจใดๆ นี่คือผู้ว่าฯ การรถไฟฯ ทำผิดข้อบังคับ

และต่อมามีเหตุการณ์รถชน ที่รถตกรางที่เขาเต่า เหตุที่สำคัญผู้ว่าการฯ ก็ออกมากล่าวโทษว่าพนักงานบกพร่องแต่เพียงฝ่ายเดียว ซึ่งพนักงานก็อาจจะมีส่วนบกพร่อง อันนี้ไม่ได้ปฏิเสธ แต่ข้อบกพร่องที่สำคัญผู้ว่าการฯ หรือฝ่ายบริหาร คือข้อบกพร่องที่อุปกรณ์ของรถจักรนั้นไม่สมบูรณ์ โดยเฉพาะวิชิแลนท์ มีคนไม่เข้าใจเยอะ ฝ่ายบริหารออกมาโกหกบอกว่า วิชิแลนท์ นั้นเป็นอุปกรณ์เสริม ผมยืนยันนะครับ คนที่สร้างรถไฟทั่วโลก บริษัทไหนก็ตาม ถ้าไม่มีอุปกรณ์นี้เขาจะไม่ทำเด็ดขาด เรื่องเรือกลไฟ เรื่องรถยนต์ เรื่องเครื่องบิน ระบบเซฟตี้จะต้องมีระบบอัตโนมัติเมื่อเกิดความบกพร่อง หรือ human error ก็จะต้องสามารถมีการควบคุมเพื่อลดเหตุอันตราย หรือบรรเทาเบาบางเหตุอันตรายลง

พนักงานที่เขาเคยมีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างกับการรถไฟฯ ว่า ขอให้ซ่อมแซมอุปกรณ์โดยเฉพาะเกี่ยวกับความปลอดภัยนั้นให้เรียบร้อย ถ้าไม่เรียบร้อยเขาก็ไม่สามารถออกไปทำงานได้ ซึ่งอันนี้ก็เป็นไปตาม พ.ร.บ.การรถไฟแห่งประเทศไทย 2494 ในมาตรา 38 เรื่อง ความปลอดภัยของรถไฟนั้นต้องมาก่อนเสมอ และในกฎระเบียบข้อบังคับการเดินรถก็จะกำหนดไว้อีกว่า เมื่อพนักงานเห็นว่าจะทำขบวนให้ปลอดภัยไม่ได้เกี่ยวกับผู้โดยสารและประชาชนนั้น ห้ามนำเอารถจักรออกไปทำขบวน

วันนี้การรถไฟฯ ยอมรับและลงไปซ่อม และความจริงรถไฟ หัวรถจักรที่ใช้ได้อยู่ 138 หัวนั้น มีวิชิแลนท์ หรือระบบนี้อยู่เพียงไม่ถึง 20% นอกนั้นถ้าเอากันจริงๆ ใช้การไม่ได้หมด นี่เป็นความล้มเหลว และนายยุทธนายังเป็นผู้ออกคำสั่งชัดเจน ตอนหลังมาสารภาพแล้วว่าเป็นคนสั่งให้รถหยุดอยู่ที่สถานีละแม ไม่ใช่สหภาพฯ เป็นผู้หยุดรถเอง นี่คือความผิดปรากฏชัดแจ้ง

ถามนายโสภณ ซารัมย์ หรือนายโสภณ ซาอะไรก็ตาม ที่เป็นรัฐมนตรีฯ คมนาคม คุณยังปล่อยให้คนที่มีความชัดเจนอยู่อย่างนี้ อยู่ในอำนาจต่อไปได้อย่างไร ฉะนั้นการแก้ปัญหาก็ควรที่จะโยกย้ายไป ส่วนการสอบสวนอย่างไร ต่อไป ทางสหภาพฯ เขาไม่ได้กลัวนะ การที่มาบอกว่ากลัวว่าผิดวินัยนั้นเขาไม่ได้กลัว เพราะว่าเขาไม่ได้ผิด แต่ฝ่ายบริหารต้องยอมรับว่า เหตุที่ไม่ออกไปนั้นเพราะเป็นความผิดของฝ่ายบริหาร ต้องยอมรับในประเด็นนี้ และที่ไปกล่าวหาว่าสหภาพฯ เอารถจักรไปเก็บไว้ เป็นความเท็จทั้งสิ้น ให้ความเป็นธรรมกันด้วย และอยากให้ผู้สื่อข่าวขึ้นไปดูบนขบวนรถทุกขบวน ทุกคันเลยว่า จริงๆ แล้วสิ่งเหล่านี้มันใช้ไม่ได้มานานแล้ว อยู่ได้เพราะความสามารถพิเศษของคนขับรถไฟ และคนก็มีน้อย มีน้อย ทำงาน 6-7 เดือนยังไม่ได้พักเลย แต่ก็พยายามทนทำอยู่ แต่เมื่อเห็นผู้ว่าการฯ มีพฤติกรรมแบบนี้ พนักงานเขาเห็นว่าไม่ไหว ก็ควรจะให้รัฐบาลเข้ามาตรวจสอบดำเนินการอย่างชัดเจนและแก้ไขปัญหาให้ถูกที่ ไม่ใช่ไปกล่าวหาคนที่เขารักษาผลประโยชน์ของการรถไฟฯ ดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินตามกฎระเบียบ กลายเป็นผู้ร้าย

ถ้าเป็นประเทศนอกเรื่องแบบนี้ประชาชนเขาลุกฮือขึ้นมาแล้ว เพราะถือว่ารัฐบาล หรือหน่วยงาน ข้อสำคัญรถไฟผู้บริหารได้กระทำผิดในสาระสำคัญอย่างยิ่งของกิจการขนส่ง

สนธิ - ผมขอเพิ่มเติมคุณสมศักดิ์ นิดหนึ่งนะครับ การรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นองค์กรที่โชคร้ายที่สุดในประเทศไทย ผมอยากให้ท่านสื่อมวลชนและพี่น้องที่ดูรายการนี้อยู่ ได้โปรดพิจารณาให้ละเอียดนิดหนึ่งนะครับ

การรถไฟไม่เคยได้รับผู้บริหารรถไฟ ที่มุ่งมั่น ซื่อสัตย์ จริงใจต่อการรถไฟ เพราะถ้าจริงใจต่อการรถไฟนั้น การรถไฟจะสามารถจริงใจต่อประชาชนได้ แต่การรถไฟนั้น ขาดผู้บริหารที่มีความรับผิดชอบ รู้สึกจะมีเพียงผู้เดียว คุณสราวุธ ธรรมศิริ นั้น ประกาศลาออกเมื่ออุบัติเหตุรถไฟเกิดขึ้น กลายเป็นว่า ผู้นำองค์กรรัฐวิสาหกิจทุกวันนี้ รับคำสั่งนักการเมือง

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นเพราะการเมืองต้องการแปรรูปรถไฟ และนั่นคือที่มาของการเอาคนที่เคยถูกไล่ออก เข้ามาเป็นผู้อำนวยการฝ่ายทรัพย์สินของการรถไฟ สื่อมวลชนคงทราบว่า การรถไฟนั้น ทรัพย์สินมีมหาศาลเป็นแสนแสนล้าน ขนาดการต่ออายุสัญญาของ เซ็นทรัลลาดพร้าว หากมิใช่เป็นเพราะพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยลุกขึ้นมาต่อสู้ ก็คงไม่ได้ต่อสัญญาในวงเงินประมาณหมื่นกว่าล้าน หรือ สองหมื่นกว่าล้าน เดิมทีตั้งไว้ไม่กี่พันล้าน

เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราสู้ เราสู้เพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติบ้านเมือง โดยที่เราไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง เมื่อนักการเมืองต้องการแปรรูป ก็ต้องใช้ฝ่ายบริหารการรถไฟ และฝ่ายบริหารการรถไฟก็ต้องหาเรื่องกับสหภาพการรถไฟ สหภาพฯนั้น ทำถูกต้องทุกประการตามกฎหมาย

สื่อมวลชน ลองคิดดู หากท่านเดินทางโดยรถไฟ เครื่องบิน เรือกลไฟ และท่านรู้ว่า ในรถซึ่งขนส่งท่านอยู่ หรือเรือที่ขนส่งท่านอยู่นั้น มีความบกพร่องในอุปกรณ์ความปลอดภัย ท่านจะสบายใจหรือเปล่า ท่านย่อมไม่สบายใจ นี่คือข้อเท็จจริง ซึ่งผู้ว่าการรถไฟและคณะผู้บริหารการรถไฟไม่ได้พูดเรื่องนี้เลย และผมเอง ผมก็เสียใจที่รัฐบาลชุดนี้ออกมาตำหนิสหภาพการรถไฟฯเร็วจนเกินไป โดยไม่พิจารณาข้อเท็จจริง โดยเฉพาะข้อกล่าวหาที่ว่า การรถไฟปล่อยให้ประชาชนลงที่สถานีละแม จ.ชุมพร โดยข้อเท็จจริง เปิดเผยทีหลังว่า เป็นผู้ว่าการรถไฟนั่นเอง

อุปมาอุปมัย ท่านสื่อมวลชน เหมือนกับการปิดสนามบินของพันธมิตรฯ ประชาชนโจมตีว่าพันธมิตรฯสั่งปิด แต่ข้อเท็จจริง และพิสูจน์ชัดจากการประชุมของคณะกรรมการบริหารของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย ระบุว่า คนที่สั่งปิดสนามบินคือ นายเสรีรัตน์ ซึ่งมีข้อบรรจุลงไปในที่ประชุมของคณะกรรมการ และได้มีการลงโทษตัดเตือน นายเสรีรัตน์ เพราะฉะนั้นคนที่ปิดสนามบินคือ นายเสรีรัตน์ เหมือนกับผู้ว่าการรถไฟคนนี้ เป็นคนสั่งให้ปล่อยผู้โดยสารตรงนั้น เพื่ออะไร เพื่อทำลายกระบวนการของสหภาพฯ หรือ เพื่อทำลายกระบวนการของประชาชนนะครับ อันนี้ต้องชี้แจงให้ฟังนิดนึง ในขณะนี้นักการเมือง พยายามที่จะเก็บผู้ว่าการการรถไฟ เพราะว่าผู้ว่าการการรถไฟนั้น ฟังคำสั่งนักการเมือง เมื่อนักการเมืองต้องการแปรรูป หรือต้องการจะยกที่การรถไฟ ให้กับฝ่ายเอกชน ซึ่งเป็นพวกการเมืองไปพัฒนา ผู้ว่าฯ คนนี้พร้อมที่จะรับใช้ได้ทุกเมื่อ เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ชัดว่า การประท้วงของพนักงานการรถไฟสหภาพนั้น มีนัยที่ลึกซึ้งมากเกินกว่าการที่รถไฟตกขบวน หรือว่าการซึ่งพนักงานรถไฟนั้น ทำงานไม่มีประสิทธิภาพนะครับ เพราะฉะนั้นต้องชี้แจงอันนี้ให้เข้าใจนิดนะครับ

อยากเพิ่มเติมนิดนึงว่า ไม่มีข้อเรียกร้องใดเลย ที่พนักงานรถไฟจะได้ประโยชน์ เป็นเศษเงินแม้แต่สลึงเดียว ฉะนั้นอย่าได้ไปกล่าวหาว่า ไปเจรจาเพื่อประโยชน์ของตนเอง ไม่มีนะครับที่ทุกคนออกไปเสี่ยง เพื่อให้มีการตรวจสอบ และท่านนายกรัฐมนตรีเคยประกาศในกฎ 9 ข้อนะครับ ข้อที่ 2.ที่บอกว่า ให้เน้นเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ทั้งของตัวเอง ผู้ใต้บังคับบัญชา และผู้ที่เข้ามาช่วยงานให้กับรัฐมนตรี เพื่อไม่ให้เป็นปัญหาต่อเสถียรภาพของรัฐบาล ประเด็นเหล่านี้อยากถามท่านอภิสิทธิ์เหมือนกันว่า ตรวจสอบข้อเท็จจริงกันแล้วหรือยังว่า กรณีนี้ สตง.ซึ่งเป็นหน่วยงานเป็นทางการชี้ชัด แล้วทำไมยังปล่อยให้นั่งอยู่ ซึ่งขาดคุณสมบัติชัดเจนที่จะมาเป็นผู้ว่าฯ การรถไฟนะครับ แล้วเมื่อเดือนกันยาฯ ที่ผ่านมา คนไม่ค่อยรู้ รถจักรทำขบวนตายเดือนเดียว อุบัติเหตุ 196 ครั้ง เอา 30 หารวันละกี่ครั้ง อันนี้ต้องเปิดโปง เปิดเผยกันให้หมดเพื่อจะได้รู้ข้อเท็จจริงว่า ที่อยู่กันนี่ไม่ถูกต้อง สหภาพฯ ทนไม่ไหว เพราะเคลื่อนไหวไปยื่นหนังสือไม่รู้กี่ครั้ง กี่สถานที่ก็ไม่มีการแก้ไข อยากให้พี่น้องประชาชนได้ทราบข้อเท็จจริง และขอให้พี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทั่วประเทศได้ทราบ และสนับสนุนในการต่อสู้ต่อไปด้วย เพราะอันนี้เป็นธงของพันธมิตรฯ ในการต่อต้านกับทุจริต เหมือนกับที่เราไล่รัฐบาลทักษิณมาแล้ว

สนธิ -เสริมสุดท้ายนะครับ สื่อมวลชนคงไม่ได้คิดมั้งว่า งบไทยเข้มแข็งหรืองบที่ตั้งออกมา ฟังให้ดีๆ นะครับ เข้าตั้งงบในการสร้างมอเตอร์เวย์ 5 เลนไปที่โคราช วงเงิน 50,000 ล้านบาท แต่เขาตั้งงบให้กับรถไฟ แค่พันกว่าล้านบาทเอง 50,000 กว่าล้านบาท ที่เขาทำนั้น เขาสามารถจะทำรถไฟรางคู่ ความเร็วสูง จากกรุงเทพฯ ทะลุอีสานได้หมดเลย ทำให้ไม่ต้องพึ่งพาอาศัยเรื่องถนนหนทาง หรือมาปรับปรุงขบวนหัวรถจักร ที่คุณสมศักดิ์พูดว่า ใช้งานได้แค่ 20% 138 หัวจักรใช้งานได้แค่ 20% นอกจากนั้นแล้ว ปัญหาเรื่องความปลอดภัย Safety Factor ก็แทบจะไม่มีอีก จะเห็นได้ชัดว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นเพื่อการฉ้อราษฎร์บังหลวงเท่านั้นเอง ไม่ได้หวังที่จะทำงานให้ส่วนรวมเลยแม้แต่นิดเดียว

เรื่องที่ 3 คือเรื่องเขมร ผมขอเรียนให้ทราบว่า แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นคนแรกที่พูดเรื่องเขมร ตั้งแต่สมัยที่ประท้วงอยู่หน้าทำเนียบ เราชี้ให้เห็นถึงการสูญเสียดินแดน โดยการจงใจและตั้งใจของพรรคเพื่อไทย ซึ่งสมัยนั้นใช้คำว่า พรรคพลังประชาชน เรายืนอยู่บนหลักความจริงที่พิสูจน์ได้ชัดตลอดเวลาว่า ข้อตกลงต่างๆ ที่รัฐบาลทุกรัฐบาลทำนั้นเป็นข้อตกลงที่จะทำให้ไทยนั้นต้องสูญเสียดินแดน ล่าสุดมี พ.ร.บ.และจะนำข้อตกลงหลายข้อตกลง รวมทั้งข้อตกลงว่าให้ยึดถือแผนที่ฝรั่งเศส ตามอัตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ให้เข้าสภา เมื่อใดก็ตามสภานี้รับรองข้อตกลงอันนี้ เท่ากับสภาฯนี้ รวมทั้งรัฐบาลชุดพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลขายชาติ เพราะการยอมรับอัตราส่วน 1 ต่อ 200,000 จะทำให้ไทยต้องเสียพื้นที่เพิ่มเติมไปเกือบ 200,000 ไร่ทันที หลายๆ พื้นที่ในจังหวัดภาคอีสาน จะต้องถูกเฉือนออกไป เพียงเพราะการยึดถือระเบียบอันนี้ รายละเอียดจะให้คุณสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ พูด แต่ผมอยากพูดถึงเรื่องของกรณีการไปประท้วงที่สถานทูตกัมพูชา

พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อจะทำการใด ไม่ว่าจะเป็นการเรียกชุมนุม หรือเรียกประชุมประชาชน พันธมิตรฯจะมีการประชุมและประเมินผลดี ผลเสีย ประเมินอุดมการณ์ ประเมินเป้าหมาย และเราจะมีมติไปหรือไม่ไป การไปชุมนุมของ คุณวีระ สมความคิด วันที่ 2 พฤศจิกายนนั้น เราไม่ได้รับทราบอะไรแม้แต่นิดเดียว คุณวีระ สมความคิด ดำเนินการด้วยตัวเอง พร้อมประชาชนบางส่วน

การกระทำคุณวีระ เป็นการกระทำซึ่งเราเห็นใจ ที่คุณวีระมีความสนใจที่จะไปประท้วงสถานทูตเขมร แต่พันธมิตรฯยังยืนยันว่า การที่จะกระทำอะไรก็ตาม แม้กระทั่งไปล้อมสถานทูตเพื่อประท้วงนั้น จะต้องมีการประชุม และประเมินข้อดี ข้อเสีย กันอย่างรอบด้าน และค่อยมีมติออกไป แต่งานนี้เราไม่เคยรับทราบ

เพราะฉะนั้น ยืนยันว่า งานนี้เราไม่ได้เกี่ยวข้อง เพียงแต่ว่าเราเห็นด้วย ควรทำอย่างใดอย่างหนึ่ง หากแต่มิใช่การไปประท้วงสถานทูต เพราะการไปประท้วงสถานทูตเพื่อให้เขมรถอนทหารออกนั้น เราคิดว่าไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่น่ากระทำคือ เราต้องประท้วงกับรัฐบาลของเรา ให้รัฐบาลชุดนี้ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ให้ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดที่ต้องผลักดันทหารเขมร ที่รุกเข้ายึดพื้นที่ที่เขาพระวิหาร อย่างผิด เอาพื้นที่ที่เคยเป็นของคนไทยมาเป็นของเขา

เพราะฉะนั้น การประท้วงที่ถูกต้อง พันธมิตรฯกำลังพิจารณาที่จะยื่นหนังสือเป็นขั้นตอนให้กับรัฐบาลไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้รับทราบว่า เราจะไม่ยอมเป็นอันขาด ที่จะให้ทหารเขมรยังยึดพื้นที่นั้นต่อ และเราจะไม่ยอมรับพื้นที่ 1 ต่อ 200,000 อัตราส่วน เพราะว่าการยอมรับ เท่ากับว่า สภาทั้งสภากำลังขายชาติไทยออกไป

กรณีของนายกฯฮุน เซน ออกมาแสดงทีท่าก้าวร้าว และจาบจ้วงประเทศไทยหลายกรณีนั้น เป็นเครื่องพิสูจน์ชัด ว่า ได้มีไส้ศึก คนที่ทรยศต่อชาติบ้านเมือง ร่วมมือกับนายฮุน เซน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อเอาพื้นที่ 1 ต่อ 200,000 ส่วน ที่จะยึดพื้นที่ไทยไปอีก 100,000-200,000 ไร่นั้น เพื่อแลกผลประโยชน์ทางทะเล ผมขอยืนยัน เพราะฉะนั้นขอมอบต่อให้อาจารย์สมเกียรติ

สมเกียรติ - ผมอยากกล่าวว่า สถานการณ์ขณะนี้ แกนนำฝ่ายซ้ายในระบอบทุนสามานย์วิเคราะห์ว่า หากทักษิณมาพำนักและก่อศึกตามแนวชายแดน จะเทียบชั้นกับโฮจิมินห์ ที่เคยอพยพมาอยู่ในภาคอีสาน ในสงครามเวียดนาม และก่อศึกภายในประเทศ

ผมยืนยันว่า กรณีของแกนนำฝ่ายซ้าย ที่ออกแบบวางแผนทางการเมือง เพื่อให้ทักษิณ กลายเป็นโฮจิมินห์แห่งเอเชียตอนใต้ เทียบกันไม่ได้เลยกับบิดาของสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เพราะโฮจิมินห์ทำสงครามกู้ชาติ ไม่ใช่ขายชาติและทรยศชาติ แล้วเปรียบเทียบไม่ได้เลยกับโฮจิมินห์ ที่มิได้นำความขัดแย้งระหว่างชายแดนไทยกับเวียดนาม กัมพูชา ลาว เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่มุ่งให้คนเวียดนามในไทยสนับสนุนการปฏิวัติประชาชาติของสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม จึงเป็นการวิเคราะห์ที่ผิด ที่จะยกฐานะของ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้เทียบชั้นโฮจิมินห์ ระหว่างคนรักชาติต่อสู้เพื่อปฏิวัติประชาชาติ แต่ยกย่องทรราช

เพราะฉะนั้น ยามนี้ประเทศไทยจึงมีทั้งพระยาละแวกและพระยาจักรีใหม่ ที่เพิ่งถูกชี้มูลความผิด เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2552 ไป ผมจึงยืนยันว่า แนวรบชายแดนนี้เป็นการออกแบบอย่างจงใจที่จะให้ไทยเปิดแนวรบกับชายแดนภาคใต้ 3-4 จังหวัดภาคใต้ และแนวรบภาคอีสานทั้งหมด

เมื่อพิจารณาดังนี้แล้วจึงมีกลุ่มประชาชนผู้รักชาติที่มิใช่กลุ่มของคุณวีระ สมความคิด ได้รวมตัวกันที่จะวิเคราะห์ และประเมินผลกระทบของการที่ไทยไปลงนาม หรือกรอบกติกาผ่านรัฐสภา มาตราส่วน 1ต่อ 200,000ของแผนที่ จะกินหมู่บ้านไทยไปจำนวนมากเขาจึงนัดเพื่อจะไปชุมนุมกันที่กิ่งอำเภอพนมดงรักในวันที่ 2 พฤศจิกายน เพื่อจัดสรรที่ดินทำกินในเขตที่มีปัญหา เพราะว่าถ้าใช้ 1 ต่อ 200,000 จะสูญเสียไปทั้งหมด 146 ตารางกิโลเมตร ที่กินแผนที่ประเทศไทยทั้งแถบ

เพราะฉะนั้นมวลชนกลุ่มนี้จึงจะแสดงออกด้วยการรักชาติปกป้องผลประโยชน์ของชาติ ผมจึงยืนยันว่าแนวรบด้านกัมพูชาเป็นแนวรบที่อันตรายยิ่ง หากฮุน เซน พลาดเรื่องนี้แล้วฮุน เซนจะตาย 3 ต่อ
1.พนมดงรักจังหวัดสุรินทร์การขึ้นทะเบียนมรดกโลกเดือนกุมภาพันธ์ 2553 ถ้า ฮุน เซนไปหาเสียงไว้ โดยการใช้นโยบายประชานิยมจะกลายเป็นการต้มคนกัมพูชาทั้งประเทศ เพราะว่าเคยหาเสียงไว้ว่า เราจะเป็นเจ้าของพระวิหารฝ่ายเดียวขึ้นทะเบียนมรดกโลก ถ้าไทยไม่ยอมรับ ฮุน เซน พัง เพราะฮุน เซน เป็นทรราชแห่งกัมพูชาอยู่แล้ว และขณะนี้ ฮุน เซน ถึงขนาดเรียกร้องให้ไทยถอนทหาร พอถอนทหารแล้วจะเข้าหลักที่ยูเนสโกเข้ามาขึ้นทะเบียนได้ เพราะไม่มีกรณีพิพาท เพราะฉะนั้นวุฒิสภากลุ่มหนึ่งกับประชาชนจำนวนมากจึงคัดค้านการขึ้นทะเบียนให้รัฐบาลไทยทำหน้าที่และปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ

2 .การค้าตามแนวชายแดนไทยกับกัมพูชาปีหนึ่งมีมูลค่าที่รายงานโดยกระทรวงพาณิชย์ไม่น้อยกว่า 7,000 ล้านบาท ต้องสูญเสียไป ผลประโยชน์ที่ฝ่ายข้าราชการระดับสูงของประเทศไทยนะครับ ที่ทำงานด้านความมั่นคงมีเอี่ยวในการขนสินค้าตามแนวชายแดน จะสูญเสียไป ระบบฮุน เซน จะขาดรายได้ จากการหากินตามแนวชายแดน จุดการค้า และจุดการค้าผ่อนปรน อันที่ 3.รายงานที่เราได้รับมาคือ บ่อนการพนันทั้งผิด และถูกกฎหมายนะครับ ที่ไทยข้ามไปเล่นได้ 30 แห่ง มูลค่าปีละ 60,000 ล้านบาท ถ้าระบอบทักษิณมาปักหลัก เพื่อเปิดแนวรบกับรัฐบาลไทยที่พนมปญแล้ว บ่อนนี้จะมีปัญหา จะทำให้ฮุน เซน ขาดรายได้เดือนนึงประมาณ 500 ล้านบาท

เพราะฉะนั้นการที่ประเทศไทย เคลื่อนไหวคัดค้าน จึงเป็นการเคลื่อนไหวที่ถูกต้อง เป็นการปกป้องเกียรติภูมิศักดิ์ศรีของชาติ และผลประโยชน์ของชาติ การล้มลงของฮุน เซน เป็นการล้มลงของ พล.อ.คนหนึ่ง ที่ไปร่วมกับ พล.อ.เตีย บัญห์ และพัด สุภาภา ที่เปิดบ่อนการพนัน พล.อ.ไทยคนนี้ เป็นลูกน้องของนายทหาร ที่กำลังออกโรงเดินไปตามต่างประเทศขณะนี้

เพราะฉะนั้นแนวรบอันนี้ จึงไม่ใช่เรื่องแนวรบเรื่องชายแดนธรรมดา แต่เป็นแนวรบเรื่องผลประโยชน์ และต้องการให้ประเทศไทยปั่นป่วนทั้ง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และอีสาน แต่น่าเศร้าคือว่า ทักษิณถูกลากจูงไปโดยคนเดือนตุลาฯ ที่ขายชาติ และระบอบฮุน เซน ทรราชใหม่ของเขมร พยายามจะยกฐานะให้เป็นโฮจิมินห์นะครับ เป็นเรื่องน่าเศร้ามาก ไม่ได้ขี้เท้าของโฮจิมินห์เลย ในความรักชาติ และกอบกู้ชาติครั้งนี้ ผมจึงสมเพชกระบวนการที่ออกมาโดยนายทหาร ซากชำรุดทางการเมืองที่เคยส่งวัวอีสานเขียวไป แล้วไม่มีลูกสักตัว และลดค่าเงินบาท เอาทักษิณไปนั่งด้วย ผมรู้สึกสมเพชกับการเดินสายของคนพวกนี้จริงๆ

พล.ต.จำลอง -ผมชี้แจงข่าว ข่าวแรกก็คือข่าวที่เกี่ยวข้องกับพี่จิ๋ว พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ก่อนอื่นผมต้องออกตัวกับผู้สื่อข่าวก่อนว่า เป็นความคิดเห็น เป็นการกระทำส่วนตัวของผม ไม่ได้ผ่านการประชุมของแกนนำ เพราะถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่สำหลักสำคัญเท่าไร

ก่อนที่พี่จิ๋วจะเข้าพรรคการเมือง 2 วัน ก็มีนายทหารรุ่นน้องผมคนหนึ่ง โทรศัพท์มาถึงผม และก็พบผม มาบอกว่าพี่จิ๋วจะเข้าพรรคการเมืองแน่แล้ว พี่จิ๋วอยากจะคุยด้วย ผมก็บอกผ่านนายทหารรุ่นน้องคนนั้นไปว่า พี่จิ๋วนั้นท่านใหญ่กว่าผม ตั้ง 6 รุ่น ท่านเป็น จปร.1 ผมเป็น จปร.7 ก็แล้วแต่พี่จิ๋วจะสะดวกก็แล้วกัน ให้พี่จิ๋วกำหนดวัน เวลา สถานที่ เรื่องนี้ต้องทำความเข้าใจหน่อยนะครับว่า นักเรียนนายร้อยรุ่นพี่จิ๋วไม่ใช่รุ่นแรกของโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้านะ เพราะรุ่นแรกนั้นรุ่นเมื่อ 122 ปีมาแล้ว แต่เป็นรุ่นที่ 1 ของการใช้หลักสูตรใหม่ ซึ่งเรียน 5 ปี แล้วได้ปริญญาวิทยาศาสตรบัณฑิต และวันรุ่งขึ้นก็ได้พบพี่จิ๋ว ณ สถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นวันก่อนที่พี่จิ๋วจะเข้าพรรคเพียง 1 วัน

พี่จิ๋วก็ไต่ถามสารทุกข์สุกดิบ และพี่จิ๋วพูดเรื่องงานเรื่องการอยู่ 2 เรื่อง เรื่องแรกก็คือเรื่องการเมือง ท่านไม่ได้เอ่ยถึงพรรคการเมืองใด แล้วท่านก็ไม่ได้พูดว่าท่านจะเข้าพรรคการเมืองไหน ท่านบอกว่าผมนี่น่าจะเข้ามาเป็นนักการเมืองอีกสักทีหนึ่ง ผมก็เรียนพี่จิ๋วไปว่า ผมทำงานช่วยเหลือสังคม ทำงานการกุศลอยู่หลายโครงการ ถ้าผมมาเป็นนักการเมืองผมต้องทุ่มสุดตัว งานการต่างๆ ที่ริเริ่มไว้นานแล้ว ทำต่อเนื่องกันมานานแล้วมันจะเสียไป ผมก็คงจะมาเป็นนักการเมืองในตอนนี้ไม่ได้ และอีกอย่างหนึ่งก็คือ พรรคการเมืองใหม่ ซึ่งผมสนับสนุนอย่างเต็มที่นั้น ผมก็ขอตัวกับบรรดาผู้ก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่ว่า ผมขอไม่เป็นอะไร และผมไม่ได้เป็นแม้กระทั่งสมาชิกพรรคการเมืองใหม่ นอกจากนั้นสิ่งหนึ่งซึ่งหลายคนไม่รู้ก็คือ ผมเป็นประธานกองทัพธรรมมูลนิธิ ซึ่งสมาชิกของกองทัพธรรมเขาตั้งพรรคการเมืองขึ้นมา 9 ปีเศษแล้ว ชื่อพรรคเพื่อฟ้าดิน ผมก็ขอกับเขาด้วยเหตุผลที่กล่าวมา ผมไม่ได้เป็นประธานที่ปรึกษา ไม่ได้เป็นที่ปรึกษา ไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรค ไม่ได้เป็นแม้กระทั่งสมาชิกพรรคเพื่อฟ้าดิน ผมก็ตอบพี่จิ๋วไป

ส่วนเรื่องที่ 2 เป็นเรื่องทั่วไป พี่จิ๋วพูดเรื่องเกษตรอินทรีย์ พูดถึงปุ๋ยอินทรีย์ ท่านพูดในทำนองว่า ท่านเห็นด้วยเพราะว่าจะเป็นทางรอดของเกษตรกร ท่านเคยลองทำมาบ้างแล้ว ถ้าผมมีเอกสารเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษร หรือเป็นวิดีโอก็ตาม ก็ส่งไปให้ท่านบ้าง ผมได้รวบรวมส่งไปเรียบร้อยแล้ว นี่คือเรื่องเกี่ยวข้องกับพี่จิ๋ว

แล้วมีข่าวต่อมาอีกครับว่า ท่านจะพบกับผม ซึ่งเรื่องนี้ท่านยังไม่ได้ให้ใครติดต่อมา ถ้าท่านติดต่อมาแล้วผมจะว่าอย่างไร ผมตอบผู้สื่อข่าวไปเลยเพราะมีคนถามผม ผมจะเรียนพี่จิ๋วว่า ประการแรก ก็คือ พรรคการเมืองใหม่ ซึ่งเพิ่งก่อตั้งใหม่ๆ และผมเป็นคนหนึ่งที่ประกาศว่าสนับสนุนอย่างเต็มที่นั้น ผมยังไม่ได้เป็นแม้กระทั่งสมาชิกพรรค เพราะเขาให้ตามที่ผมขอไว้ คือ ขอไม่เป็นอะไรเลย แล้วอยู่ดีๆ ผมจะไปพบไปคุยกับท่าน ซึ่งจะเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองอีกพรรคหนึ่งนั้นมันคงไม่เหมาะ ประการที่สอง ที่สำคัญมากก็คือ พรรคของท่านนั้นยังมีอีกหลายคนที่ว่าป๋าเสียๆ หายๆ และพี่จิ๋วเองก็ยกย่องชมเชยป๋า แม้กระทั่งทุกวันนี้ ว่าป๋าทำบุญคุณให้ประเทศชาติมาเยอะ ผมเคยเป็นเลขาธิการคณะรัฐมนตรีของป๋า ผมพบพี่จิ๋วตอนนี้ก็ไม่เหมาะ ด้วยความไม่เหมาะ 2 ประการนี้ ถ้าท่านให้ใครติดต่อมา ผมจะบอกผ่านไปถึงท่านว่า มันเป็นการไม่เหมาะสมสำหรับตัวผมที่จะพบจะคุยกับท่านในระยะนี้

อีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องที่นายทหารจำนวนมากสมัครเข้าพรรคการเมือง ซึ่งผู้สื่อข่าวถามผมอีกเหมือนกัน ทหารจะเข้าพรรคการเมืองไหนก็แล้วแต่จะเลือก แต่เราได้ผ่านการปฏิญาณตนมาแล้วทุกคนว่าเราจะปกป้อง 3 สถาบัน เราเรียนมา ฝึกมา กินเงินเดือนมาก็เพื่อเรื่องหลักเรื่องเดียว คือการปกป้อง 3 สถาบัน ยามมีเหตุเพศภัยเกิดขึ้นกับประเทศชาติ มีศึกเสือเหนือใต้ เราก็อาสาเข้าสู่สนามรบเพื่อปกป้อง 3 สถาบัน เมื่อเกษียณอายุราชการไปแล้ว นายทหารที่พร้อม นายทหารที่สะดวกในการมาทำหน้าที่การเมืองก็สมัครเข้าพรรคการเมือง ก็เพื่อปกป้อง 3 สถาบันอีกเช่นกัน แต่การจะทำการเมืองให้ปกป้อง 3 สถาบันได้นั้น การเมืองนั้นต้องมีคุณธรรม นี่คือความเห็นของผม ส่วนเรื่องความหนุ่มความแก่ของคนที่สมัครเข้าพรรคการเมือง สื่อมวลชนบอก แก่ๆ ทั้งนั้น ต้องยืนยันอีกทีว่า มันเป็นความจริง พวกเกษียณอายุราชการ 60 ไปแล้วก็แก่ แต่ทหารแก่ไม่มีวันตาย ไม่มีวันตายไปจาก 4 คำนี้ คือ ชาติ เกียรติ วินัย กล้าหาญ ทหารแก่จะไม่ตายไปจากความเป็นคนรักชาติ ความเป็นคนมีเกียรติ ความเป็นคนมีวินัย และความเป็นคนกล้าหาญ เพราะฉะนั้นเมื่อมาเป็นนักการเมืองก็เป็นไปตามนี้ ซึ่งผมคิดว่าถ้าทำได้ตามนี้จะช่วยชาติบ้านเมืองได้เยอะทีเดียวครับ

ผู้สื่อข่าวถาม 3 - 4 คนใช่ไหมคะที่ดำเนินการในขณะนี้

พล.ต.จำลอง - ขอไม่วิจารณ์ได้ไหม ทหารแก่ไม่มีวันตาย อย่างไรก็ตาม ของเขาต้องมีการประชุมกัน อย่างที่พวกเราพูดไปแล้วนะครับ ส่วนเรื่องเมื่อกี้นี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัว เป็นเรื่องการกระทำส่วนตัว ซึ่งถือว่า เป็นเรื่องไม่สำคัญนั้น การที่นายทหารรุ่นพี่ จะพบนายทหารรุ่นน้อง

สนธิ - กระผมขออนุญาตตอบนิดนะครับ จุดยืนของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้น เป็นจุดยืนที่ผมได้เคยนำเรียนกับสังคมมานานแล้วว่า พวกเราข้อแรกนะครับ พวกเรายังต้องการที่จะปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษิตริย์อยู่รึเปล่า พวกเรายังเห็นความจำเป็นว่า ประเทศไทยนั้น จะต้องมีสถาบันกษัตริย์ที่มั่นคงหรือเปล่านะครับ ถ้าพวกเราตอบก็หมายความว่า เขาเห็นด้วยกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จุดยืนข้อที่

2.ของพวกเราคือว่า พวกเราเห็นด้วยไหมว่า ชาติบ้านเมืองควรจะยุติการฉ้อราษฎร์บังหลวง การโกงกินชาติเสียที ทำงานเพื่อส่วนร่วมไม่ใช่เพื่อส่วนตัว ถ้าคำตอบบอกว่า ใช่เห็นด้วย เป็นจุดยืนเดียวกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จุดยืนข้อที่

3.ที่เราพูด เราพูดว่า พวกเราต้องการต่อสู้ เพื่อเรียกร้องอำนาจอธิปไตยบนดินแดนของไทย โดยที่ไม่ยอมสูญเสียพื้นที่ของประเทศให้กับต่างชาติ จุดยืนอันนี้เห็นด้วยไหม ถ้าเห็นด้วยแสดงว่า เป็นจุดยืนเดียวกับเรา อีกอันหนึ่งคือเราต้องการให้ ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีหลักนิติรัฐ หลักนิติรัฐหมายความว่า กติกาทางกฎหมายนั้น ทุกคนต้องยอมรับ หากศาลพิพากษาแล้ว ซึ่งผมจะยืนยันตลอดเวลาว่า ผมจะพึ่งคำพิพากษาศาลจนถึงที่สุด หากหลักนิติรัฐใช้การแล้วต้องใช้กับทุกๆ คนไม่มีข้อยกเว้น เห็นด้วยหรือไม่ ถ้าเห็นด้วยแสดงว่า เป็นจุดเดียวกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และเราไม่เห็นด้วยกับการแก้กฎหมาย หรือการแก้รัฐธรรมนูญ เพียงเพื่อให้คนใดคนหนึ่งพ้นผิด เห็นด้วยกับเราไหม ถ้าเห็นด้วยนี่คือหลักพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพราะฉะนั้นแล้ว การที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ท่านจะสมานฉันท์บนพื้นฐานอะไร นั้นคือคำถามที่ผมจะถาม เพราะว่าจุดยืนที่ผมเอ๋ยมานั้น แทบจะไม่ต้องเอ๋ย แกนนำทั้ง 5 คน ตลอดจนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และผู้ที่รักชาติ รักแผ่นดิน ล้วนแล้วแต่เห็นพ้องต้องกันหมด ในจุดยืนอันนี้ เพราะฉะนั้นแล้ว เราไม่ได้เป็นจุดยืนที่จะมาแก้กฎหมายให้คุณทักษิณ เราไม่ได้เป็นจุดยืน ที่จะมาแก้กฎหมาย เพื่อจะล้มสถาบันองคมนตรี เราไม่ได้แก้จุดยืน เพื่อที่จะให้แก้กฎหมาย เพื่อจะให้นักการเมืองนั้น มาปกครองประเทศ ผูกขาดอำนาจในการปกครองแต่ฝ่ายเดียว และคอร์รัปชั่น เพราะฉะนั้นในเมื่อจุดยืนมันต่างกันสุดกู่นี้ จะสมานฉันท์กันบนพื้นฐานอะไร การสมานฉันท์นั้นต้องอยู่บนพื้นฐานที่ถูกต้อง เราพร้อมเสมอที่จะสมานฉันท์นะครับ เพราะฉะนั้นชี้แจงให้ฟังนิดนะครับ

พล.ต.จำลอง - ผมขอเสริมเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกสักครั้งนะครับ เป็นมติของที่ประชุม ยืนยันอย่างเดิมครับว่า เราคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2550 แล้วเรื่องนี้ได้เคยเกิดขึ้นมา ในประวัติการเมืองของเมืองไทยมาแล้วว่า เมื่อใดก็ตามที่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อประโยชน์ของคนบางคน ของคนบางกลุ่ม ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่แล้ว เคยมีการคัดค้านมาแล้ว เช่น เมื่อ 26 ปีก่อน ผู้สื่อข่าวไปทบทวนข่าวสารในตอนนั้นได้เลยนะครับ เมื่อปี 2526 ผมจะขออ้างนะครับว่า ในตอนนั้น บังเอิญผมมีส่วนในการช่วยคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปี 2526 เมื่อปี 2526 นั้นเป็นผลสำเร็จ ในตอนนั้นผมเป็นนายทหารหนุ่มๆ เป็นสมาชิกวุฒิสภาจากการแต่งตั้ง ผมจะขอยกบทความบางตอนของหนังสือพิมพ์บางฉบับเมื่อ 26 ปีก่อน เช่น ของหนังสือพิมพ์มาตุภูมิ ลงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2526 ลงข้อความตอนหนึ่งว่า "เวลานี้เกมแก้ไขรัฐธรรมนูญกำลังเข้มข้นขึ้นทุกขณะ หัวหอกของฝ่ายคัดค้านนอกจากพรรคการเมืองบางพรรคแล้ว ก็เห็นมีแต่มหานอกวัด พ.อ.จำลอง ศรีเมือง นี่แหล่ะ ที่กระโดดออกมาชูธงโต้กระแส"

ไปดูอีกฉบับหนึ่งนะครับ หนังสือพิมพ์ปฏิญญา ลงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2526 ข้อความตอนหนึ่งบอกว่า "ก่อนที่ พ.อ.จำลอง จะกระโดดออกมาคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ฝ่ายประชาธิปไตยอ่อนล้ามากครับ นอกจากจะบังคับให้ประชาชนฟังเขาพูดโดยผ่านทางทีวี และวิทยุแล้ว พวกเขายังไปขู่พวก ส.ส.ให้ร่วมมือกับเขาอีก ถ้าไม่เขาก็จะปฏิวัติ" นี่เป็นเครื่องยืนยันนะครับว่า การคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ซึ่งเราได้ทำสำเร็จมาครั้งหนึ่งเมื่อปี 2526 นั้น ถ้าคัดค้านในสภาได้ เราไม่ออกมากินมานอนมาปักหลักพักค้างกลางถนนให้มันเหนื่อยยากหรอกครับ เราก็แก้ไขในสภาแล้ว แต่ที่แล้วมาจนถึงวันนี้ เราจำเป็นเหลือเกินที่จะต้องมีการชุมนุมอยู่นอกสภาฯ เพราะไม่สามารถแก้ในสภาได้ ก็เลยบอกให้พวกเราทราบนะครับ มิเช่นนั้นก็จะเหมาว่าเราเป็นนักการเมืองข้างถนนท่าเดียว มีอะไรถามไหมครับ เผอิญผมไปได้หลักฐานมาด้วย เมื่อ 26 ปีที่แล้ว เกิดบังเอิญไปร่วมคัดค้านกับเขาด้วยในฐานะเป็น ส.ว.หนุ่มๆ จากการแต่งตั้ง

ผู้สื่อข่าวถาม - ทางเพื่อไทยเองก็มุ่งมั่นที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญในมาตราผู้สำเร็จราชการแทนพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะเรื่องขององคมนตรี ก็เหมือนกับว่า ถ้าเขามีความพยายามตรงนี้ เราก็จะปิดทางไม่คุยกับบิ๊กจิ๋วแล้วใช่ไหม

สนธิ - คืออย่างนี้ครับ ผมเรียนให้ทราบนิดหนึ่ง ขณะนี้สังคมไทยได้แบ่งขั้วอย่างชัดเจน ได้เห็นชัดเจนเลย มีความพยายามที่จะสร้างปัญหาและอุปสรรคในการสืบทอดสันติวงศ์ ในกรณีที่มีการสืบทอดสันติวงศ์นั้น พรรคเพื่อไทย และกลุ่มของ พล.อ.ชวลิต ตลอดจนกลุ่มชุดใหม่ที่โผล่ขึ้นมาอย่างกะทันหันนั้น พยายามที่จะผลักดันเพื่อให้การสืบทอดสันติวงศ์นั้นเข้าไปในทิศทางที่ตัวเองต้องการ ในขณะเดียวกันนั้น กระบวนการสืบทอดสันติวงศ์ ตลอดจนกระบวนการของการตั้งผู้สำเร็จราชการแผ่นดินนั้น ผมพูดแทนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ ว่าเราถือว่าอยู่ในพระราชอำนาจขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และในพระราชอำนาจของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ไม่ใช่อยู่ในเงื้อมมือของนักการเมือง ไม่ใช่เด็ดขาด อะไรที่ผิดไปจากตรงนี้ เราถือว่าเป็นเจตนาการล้มล้างสถาบันกษัตริย์อย่างแยบคาย อย่างแยบยล และใช้เล่ห์กลในการที่จะดำเนินการ เพื่อที่จะให้ตัวเองได้ในสิ่งที่ตัวเองได้ และทำลายในสิ่งที่ตัวเองต้องการจะทำลาย ฉะนั้นก็ขอยืนยันตรงนี้ไว้นะครับ

สมเกียรติ - ขออนุญาตตอบคำถามนี้นะครับ ในเดือนมิถุนายน 2549 ทักษิณ ชินวัตร ประกาศวิพากษ์วิจารณ์ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ได้วิเคราะห์ในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งว่า คำนี้หมายถึงคนที่สูงกว่าองคมนตรี พอเดือนพฤษภาคม 2551 กลุ่ม นปช.โดยนายแพทย์เหวง โตจิราการ และคณะ ไปยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยไม่มี หรือยกเว้นหมวดองคมนตรี อีกหลายเดือนต่อมาไปล้อม พล.อ.เปรม ที่บ้าน แล้วอัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้อง สั่งไม่ฟ้องก่อเหตุวุ่นวาย แล้วจตุพร ระบุว่ พล.อ.เปรม คืออุปสรรคของแผ่นดิน หรือคำทำนองนี้ สามารถสืบค้นได้ ในเดือนเมษายน ที่กลุ่มเสื้อแดง แดงทั้งแผ่นดินมีข้อความเกี่ยวข้องกับสถาบันสูงสุดในป้ายโฆษณา กลางแผ่นป้ายของเขา แล้วที่สำคัญที่สุด เมื่อไม่กี่วันมานี้มีทหารแก่ที่ยังไม่ตาย พูดว่าผู้มีบารมีทั้งหลายแก่ๆ กันทั้งนั้น เดี๋ยวก็จบลงแล้ว ตอบคำถามสื่อมวลชนว่า เราจะไปสมานฉันท์และเจรจากับคนที่พูดว่า ผู้มีบารมีทั้งหลายแก่ๆ กันแล้วทั้งนั้น เดี๋ยวก็จบลงแล้ว จะให้เราไปเจรจาหรือ นี่ตอบคำถามนะ เชิงประวัติศาสตร์และคำพูดที่ทิ่มแทงออกมา เรามิอาจไปเจรจากับศัตรูของชาติและราชบัลลังก์ได้ นี่ขอยืนยัน

สุริยะใส - สุดท้ายก็ฝากเชิญชวนพี่น้องพันธมิตรฯ พรุ่งนี้ 10 โมงเช้าที่หน้ารัฐสภา ในการต้อนรับพี่น้องเครือข่ายภาคประชาชนจากระยอง ที่จะเดินเท้าเปล่าและจะมายื่นหนังสือที่หน้ารัฐสภา มีแกนนำไป มีพี่พิภพ ธงไชย อ.สมเกียรติ



กำลังโหลดความคิดเห็น