“โฆษกมาร์ค” อัด “เพื่อไทย” ไร้มารยาทจุ้นจ้านกิจการภายใน รบ.บีบ “มาร์ค” ตั้ง ผบ.ตร.-ปรับ ครม. ชี้เป็นอำนาจของนายกฯ อย่าโยงให้เป็นประเด็นทางการเมือง
วันนี้ (27 ก.ย.) นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยออกมาเรียกร้องให้นายกฯปรับ ครม.และแต่งตั้ง ผบ.ตร.ให้เสร็จสิ้นก่อน 30 ก.ย.นี้ ว่า ถ้าดูระยะเวลาเหลืออีก 2-3 วันก็จะสิ้นเดือน ก.ย.ไม่สามารถที่จะทำตามข้อเสนอนี้ได้ ซึ่งการที่ไม่มี ผบ.ตร.ก็สามารถตั้งผู้รักษาการแทนได้ ตามที่กฎหมายกำหนด เพราะบางหน่วยงานก็ยังไม่สามารถแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการระดับรองลงมาก็สามารถดำเนินงานได้ทุกยุคทุกสมัย ที่ใช้การบริหารราชการแผ่นดินภายใต้กฏหมายเดียวกัน ดังนั้น พรรคเพื่อไทยไม่จำเป็นต้องเร่งรัดและทำเรื่องนี้ให้เป็นประเด็นการเมือง รัฐบาลเองได้ตระหนักถึงความสำคัญอยู่แล้ว โดยเฉพาะตำแหน่ง ผบ.ตร.ที่ในยุครัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช และรัฐบาล สมชาย วงศ์สวัสดิ์ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลง ผบ.ตร.ก็มีการแต่งตั้งตำแหน่งรักษาการแทนทั้งสิ้น ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด หรือผิดกฎหมายใดๆ ในการบริหาร
สำหรับข้อเรียกร้องที่ให้มีการปรับ ครม.นั้น นายเทพไทกล่าวว่า การตัดสินใจทั้งหมดเป็นของนายกฯ พรรคเพื่อไทยควรที่จะมีมารยาททางการเมือง ไม่จุ้นจ้านกับกิจการภายในของรัฐบาล เพราะรัฐบาลชุดนี้ได้บริหารงานไปด้วยดี ราบรื่น ยังไม่เห็นรัฐมนตรีคนใดที่สร้างความเสียหาย หรือบกพร่องจนถึงขั้นต้องปรับออก จึงต้องให้เวลาในการพิสูจน์ตัวทำงานต่อไป ไม่ควรปรับ ครม.พร่ำเพรื่อ โดยมองตำแหน่งรัฐมนตรีเป็นเก้าอี้ดนตรี เช่นที่เคยเกิดกับรัฐบาลทักษิณ ที่มีการปรับ ครม.เป็นว่าเล่น บางกระทรวงเช่น ศึกษาธิการ ระยะเวลา 6 ปี มีรัฐมนตรีถึง 8 คน ทำให้ระบอบการศึกษาไทยถอยหลังเข้าคลองและตกต่ำจนถึงยุคปัจจุบันนี้ จนรัฐบาลชุดนี้ต้องเข้ามาปฏิรูปและฟื้นฟูระบบการศึกษาใหม่ บางกระทรวงตั้งขึ้นมาใหม่แต่เปลี่ยนแค่รัฐมนตรี โดยไม่มีบอร์ดจะขึ้นชื่อรัฐมนตรีเจ้ากระทรวง เพราะบางคนเป็นได้ 3 เดือนก็เปลี่ยน เป็นได้ 6 เดือนก็เปลี่ยนสุดแท้แต้อารมณ์และความพึงพอใจของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่มีอำนาจเหนือรัฐมนตรีทุกคนในยุคนั้น เพราะบริหารงานแบบซีอีโอ ของบริษัทจำกัด รัฐมนตรีมีฐานะเปรียบเสมือนผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่เท่านั้นเอง
นายเทพไทกล่าวว่า แต่รัฐบาลชุดนี้มีการเปิดโอกาสให้รัฐมนตรีทุกคนได้แสดงฝีมือของตัวเองทุกคน เมื่อถึงเวลาอันควรและเพื่อประสิทธิภาพของการบริหารราชการแผ่นดิน นายกฯจะใช้ดุลยพินิจปรับ ครม.เอง ไม่จำเป็นต้องให้ใครออกมาเรียกร้องให้เกิดความสับสนทางการเมือง ทั้งที่ไม่ใช่หน้าที่ ในฐานะที่เป็นฝ่ายค้านต้องทำหน้าที่ตรวจสอบในสภา ถ้าคิดว่ารัฐมนตรีคนใดไม่มีความเหมาะสมก็สามารถใช่องทางในสภาเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ ตามกลไกของระบบรัฐสภาได้ จึงควรใช้ช่องทางดังกล่าว ไม่ควรออกมาร้องแรกแหกกระเชอให้เสียเวลา