“โฆษกมาร์ค” ยันนายกฯ ไม่เคยหลอกลวงใคร ย้ำแก้ไข รธน.ต้องผ่านความคิดเห็นประชาชน เปรียบแก๊งสามเกลอวัวสันหลังหวะกลัวถูกตรวจสอบ แฉแผนจาบจ้วง “ป๋า” เพราะไม่ถูกตอบโต้ โวย “ณัฐวุฒิ” รัฐมีมาตรฐานเดียว ยึดกฎหมายลงโทษคนผิด
วันนี้ (24 ก.ย.) นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่แกนนำ นปช.ออกมาพาดพิงพรรคประชาธิปัตย์ว่าหลอกลวงซ้ำซากในการแก้รัฐธรรมนูญและที่นายกฯ พูดเรื่องนี้บ่อย เพราะเป็นเงื่อนไขในการจัดตั้งรัฐบาลว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยหลอกลวงใคร ไม่ว่าเรื่องใดทั้งสิ้นเพราะทุกอย่างอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญทุกครั้ง พรรคประชาธิปัตย์มีจุดยืนที่ชัดเจนนับแต่รัฐธรรมนูญปี 2540 ก็เป็นพรรคการเมืองแรกที่ประกาศรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว ส่วนรัฐธรรมนูญปี 2550 พรรคเองก็พร้อมที่จะให้การสนับสนุน แต่กระบวนการการแก้ไขจะต้องผ่านความเห็นชอบของประชาชนทุกภาคส่วนเท่านั้นเอง ไม่ว่านักการเมือง หรือองค์กรภาคประชาชนที่ต้องเห็นชอบสอดคล้องกัน ตามแนวทางที่นายกฯ ประกาศไว้ ส่วนที่นายกฯได้พูดเรื่องนี้บ่อยครั้ง เป็นการยืนยันในจุดยืนให้สังคมรับรู้ว่า มีความพร้อมที่จะสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญและการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็ไม่ได้เป็นเงื่อนไขในการจัดตั้งรัฐบาลแต่อย่างใด เพราะการตั้งรัฐบาลนี้ เพราะนักการเมืองส่วนใหญ่วิตกต่อวิกฤตการเมืองที่จะทำให้การเมืองเกิดทางตัน และอาจเกิดวงจรอุบาทว์ทำให้ระบอบประชาธิปไตย ถอยหลังเข้าคลอง จึงมีการแยกขั้วมาจับมือกัน เพื่อนำชาติบ้านเมืองออกจากวิกฤตครั้งนั้น
นายเทพไทกล่าวต่อว่า ยืนยันว่าประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่เคยอยู่ในกระแสในการช่วงการจัดตั้งรัฐบาลนี้ และที่มากล่าวอ้างว่าพรรคภูมิใจไทยต้องการแก้รัฐธรรมนูญเรื่องเขตเลือกตั้งมาใช้แบบเขตเดียวเบอร์เดียว ก็ไม่มีเฉพาะพรรคภูมิใจไทยเท่านั้น ส.ส.ส่วนใหญ่ก็ต้องการที่จะให้กลับมาใช้แบบเขตเล็ก เพื่อความสะดวกในการลงพื้นที่ แต่ก็ยังไม่เป็นข้อสรุป จึงอยากถามว่า เขตเลือกตั้งเล็ก ส.ส.ได้ประโยชน์จริง แต่ประชาชนส่วนใหญ่จะได้ประโยชน์อะไรจากการเลือกตั้งแบบเขตเล็ก ศักดิ์ศรีและเกียรติยศในการเป็น ส.ส.เขตใหญ่หรือแบบแบ่งเขตเรียงเบอร์มีความสง่างามกว่า
โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวต่อว่า ที่แกนนำ นปช.กล่าวหาใส่ร้ายองค์กรอิสระต่างๆว่า มีที่มาโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และมีธงในการทำงานเพื่อเอาผิดต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ แต่เพียงผู้เดียวนั้น ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาของคนในระบบทักษิณที่เกรงกลัวคนในองค์กรอิสระ ไม่ยอมรับการตรวจสอบ ทำตัวเป็นเหมือนวัวสันหลังหวะ จึงกลัวอีกาและแมลงวันจิกตอมแผล จึงพยายามใส่ร้ายป้ายสีองค์กรอิสระว่าเป็นองค์กรเถื่อน โดยพูดพาดพิงถึง พล.อ.เปรม ตินสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษว่า เป็นผู้อยู่เบื้องหลังคอยบงการองค์กรอิสระเพื่อเอาผิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณได้ ถือเป็นการกล่าวหาที่ไม่เป็นธรรมต่อองคมนตรี เพราะสถานะของท่านเป็นประธานองคมนตรี จึงไม่อยู่ในสถานะที่จะตอบโต้ชี้แจงใดๆกับข้อกล่าวหารวมถึงการดำเนินคดีหมิ่นประมาทกับลูกสมุน พ.ต.ท.ทักษิณได้ จึงทำให้คนเหล่านี้ยิ่งเหิมเกริมและย่ามใจ จึงยิ่งมีพฤติกรรมก้าวร้าวต่อ พล.อ.เปรม ตลอดเวลา ผิดวิสัยของวัฒนธรรมไทยที่ผู้น้อยควรมีสัมมาคารวะ เคารพผู้อาวุโสกว่า
นายเทพไทกล่าวต่อถึงกรณีที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช.ออกมาระบุว่ารัฐบาลดำเนินการสองมาตรฐานที่ดำเนินคดีต่อชาวบ้านภูมิซรอลและกลุ่มพันธมิตรฯ ที่มีการปะทะกัน แต่กลับไม่ดำเนินคดีต่อชาวบ้านในเหตุการณ์สามแยกดินแดง และตลาดนางเลิ้ง ในเหตุการณ์สงกรานต์เลือด 13 เม.ย.ที่ผ่านมา กลับดำเนินคดีต่อคนเสื้อแดงเพียงฝ่ายเดียวว่า รัฐบาลไม่เคยใช้ระบบสองมาตรฐานในการดำเนินคดีต่อกลุ่มใดๆ แต่จะใช้กฏหมายดำเนินการตามหลักฐานและข้อเท็จจริงที่ปรากฏ การปะทะที่หมู่บ้านภูมิซรอลก็ไม่สามารถชี้ชัดว่าฝ่ายใดผิดหรือถูก จึงต้องให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองรวบรวมพยานหลักฐานไปพิสูจน์ในศาลยุติธรรมว่าใครผิดที่สมควรรับโทษตามกฎหมาย แต่เหตุการณ์สงกรานต์เลือดทั้งที่สามแยกดินแดง ตลาดนางเลิ้งและถนนเพชรบุรี ซอย 5 ชัดเจนว่าเป็นพฤติกรรมป่าเถื่อนของคนเสื้อแดงฝ่ายเดียวที่ใช้ความรุนแรงต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์โดยไม่มีโอกาสต่อสู้ได้เลย รัฐบาลจึงให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองเข้าดำเนินคดีตามกกหมาย เพื่อความสงบเรียบร้อย จึงไม่เป็นการเลือกปฏิบัติตามที่แกนนำ นปช.กล่าวหา แต่กลับมีการพยายามตะแบงบิดเบือนว่าคนเสื้อดงถูกรังแกจากรัฐบาล ทั้งที่ความจริงคนเสื้อแดงต่างหากที่ทำตัวเป็นกองโจรไล่ทำร้ายประชานผู้บริสุทธิ์