อมรรัตน์ ล้อถิรธร.....รายงาน
ยิ่ง ป.ป.ช.โชว์ผลงานด้วยการชี้มูลความผิดคดีต่างๆ มากเท่าไหร่ ดูเหมือน “คนในระบอบทักษิณ” จะยิ่งนั่งไม่ติด แม้บางคนจะไม่ได้ถูกชี้มูลความผิด แต่ก็ไม่วายเดือดร้อนแทนพรรคพวก ดังเช่น ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่ทนไม่ไหวกรณี ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดผู้สั่งการสลายการชุมนุม 7 ตุลาฯ ที่ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” โดนด้วย จึงได้เข้าชื่อยื่นเรื่องเพื่อให้ศาลฎีกาฯ ดำเนินคดี 9 ป.ป.ช.ฐานไต่สวนชี้มูลโดยไม่ชอบ ไม่เท่านั้นยังออกโรงป้อง “โอ๋ สืบ 6” ที่ปล่อยให้ลิ่วล้อทำร้ายพันธมิตรฯ ที่หน้าเซ็นทรัลเวิลด์ ด้วยการกล่าวหาว่า ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดโอ๋ สืบ 6 ไม่ชอบอีก ...งานนี้ ไม่ต้องอ้าปาก ก็เห็นลิ้นไก่ ส.ส.เพื่อไทย ว่า นอกจากต้องการยืมมือศาลเพื่อเล่นงาน ป.ป.ช.แล้ว น่าจะหวังผลให้คดีที่พรรคพวกตัวเองถูกกล่าวหาและอยู่ในการพิจารณาของ ป.ป.ช.ต้องสะดุดหยุดลง หาก ป.ป.ช.ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ด้วย
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายงานพิเศษ
เพียงแค่ 1 สัปดาห์หลังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิดผู้เกี่ยวข้องกับการสั่งสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ เมื่อวันที่ 7 ต.ค.2551 ซึ่งประกอบด้วย นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ, พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกฯ, พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) สังคมก็ได้เห็นปฏิบัติการตามราวี ป.ป.ช.ทั้งบนดินและใต้ดินตามมาทันที
เริ่มจาก พล.ต.อ.พัชรวาท ส่งทนายไปฟ้องต่อศาลอาญาให้ดำเนินคดีกรรมการ ป.ป.ช.เสียงข้างมาก 8 คนที่ลงมติชี้มูลความผิดตน โดยอ้างว่า ป.ป.ช.ทั้ง 8 คนเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157
จากนั้น ตำรวจในคราบ ส.ส.พรรคเพื่อไทย พล.ต.อ.วิรุฬ ฟื้นแสน ซึ่งเป็น ส.ส.สัดส่วน ก็ได้จับมืออดีตตำรวจสายเสื้อแดงอย่าง พล.ต.อ.วิสุทธิ์ กิตติวัฒน์ อดีตรอง ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค อดีตรอง ผบ.ตร.เปิดแถลงข่าว(10 ก.ย.) โจมตี ป.ป.ช.ที่ชี้มูลความผิดอาญาและวินัยร้ายแรง พล.ต.อ.พัชรวาท และ พล.ต.ท.สุชาติ โดยกล่าวหาว่า ป.ป.ช.มีอคติ ไม่เป็นกลาง ทำให้ผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้รับความเป็นธรรม แถมเร่งไต่สวนและลงมติชี้มูล ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาได้ต่อสู้อย่างเต็มที่ ทั้งที่กรรมการ ป.ป.ช.ยืนยันว่า ได้ให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงแล้ว
ไม่เท่านั้น แค่ชั่วข้ามคืนหลัง พล.ต.อ.พัชรวาท ส่งทนายฟ้องดำเนินคดี ป.ป.ช. และหลัง ส.ส.พรรคเพื่อไทยจับมืออดีตตำรวจเปิดแถลงโจมตี ป.ป.ช.แล้ว ได้เกิดปฏิบัติการ “หมาลอบกัด” ป.ป.ช.ตามมาทันที โดยมือมืดได้ปาระเบิด M69 ใส่บ้านพักนายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช.ย่านบางพลัดเมื่อเวลา 03.40 น.วันที่ 11 ก.ย.แรงระเบิดทำให้กันสาดด้านหน้า รวมทั้งกระจกประตูหน้าต่างพังเสียหาย รวมถึงกระจกรถยนต์และกระจกหน้าต่างของบ้านข้างเคียงได้รับความเสียหายด้วย โชคดีไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ เนื่องจากระหว่างเกิดเหตุไม่มีใครพักอาศัยในบ้านดังกล่าว
ให้หลังไม่กี่วัน ส.ส.พรรคเพื่อไทยได้ปฏิบัติการตามราวีกรรมการ ป.ป.ช.อีก ด้วยการเข้าชื่อ 143 คน นำโดยนายประเกียรติ นาสิมมา ส.ส.สัดส่วน ยื่นเรื่องต่อนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภาเมื่อวันที่ 16 ก.ย.เพื่อให้ส่งคำร้องไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ให้ไต่สวนและดำเนินคดีกรรมการ ป.ป.ช.ทั้ง 9 คน โดยอ้างว่า ป.ป.ช.ได้ปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย 4 ประการ
1.อ้างว่า ป.ป.ช.ใช้จ่ายเงินงบประมาณไม่ชอบ โดยออกระเบียบไม่ชอบ เพราะไม่มีกฎหมายเปิดให้ทำได้ แต่ก็ทำ เพื่อตั้งคนใกล้ชิดมาเป็นที่ปรึกษาและเลขานุการส่วนตัว ถือว่าขัดต่อ รธน.มาตรา 166 ที่บัญญัติว่า การใช้งบประมาณต้องเป็นไปตามกฎหมาย 2.อ้างว่า ป.ป.ช.ปกปิดข้อมูลข่าวสารการไต่สวนคดีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ เมื่อวันที่ 7 ต.ค.2551 ที่ชี้มูลความผิดนายสมชาย, พล.อ.ชวลิต, พล.ต.อ.พัชรวาท และ พล.ต.ท.สุชาติ ทั้งที่ผู้ถูกกล่าวหาได้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการข้อมูลข่าวสาร ให้ ป.ป.ช.เปิดเผยพยานหลักฐานในการไต่สวน ซึ่งคณะกรรมการได้สั่งให้เปิดเผยข้อมูลในวันที่ 8 ก.ย.แต่ ป.ป.ช.กลับรีบชี้มูลความผิดในวันที่ 7 ก.ย. 3.อ้างว่า ป.ป.ช.ไต่สวนชี้มูลความผิด พ.ต.อ.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรง(หรือ ฤทธิรงค์ เทพจันดา) หรือ “โอ๋ สืบ 6”ไม่ชอบ โดย ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดอาญาและวินัยร้ายแรงโอ๋ สืบ 6 ฐานปล่อยให้ลูกน้องทำร้ายกลุ่มพันธมิตรฯ ที่หน้าเซ็นทรัลเวิลด์ ทั้งนี้ ส.ส.พรรคเพื่อไทย อ้างว่า การชี้มูลดังกล่าว เป็นเหตุให้โอ๋ สืบ 6 ต้องออกจากราชการ ทั้งที่ภายหลัง ศาลปกครองได้สั่งให้เพิกถอนมติการลงโทษโอ๋ สืบ 6 การไต่สวนชี้มูลของ ป.ป.ช.จึงไม่ชอบ และ 4. อ้างว่า ป.ป.ช.รับเรื่องไว้ไต่สวนโดยไม่ชอบ กรณีอดีตรัฐมนตรีสาธารณสุขถูกกล่าวหาว่ายกเลิกการประกวดราคาโครงการจัดทำระบบคอมพิวเตอร์ โดย ส.ส.พรรคเพื่อไทย อ้างว่า เรื่องดังกล่าวได้มีการร้องต่อศาลปกครองแล้ว ดังนั้น ป.ป.ช.ไม่สามารถรับเรื่องดังกล่าวไว้ไต่สวนได้อีก การรับไว้ไต่สวนจึงไม่ชอบ
ด้าน นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ขอเวลาตรวจสอบรายชื่อและขั้นตอนทางธุรการ ก่อนส่งเรื่องที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยร้อง ให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไป
ทั้งนี้ หากศาลฎีกาฯ มีมติรับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณาเมื่อใด ป.ป.ช.ทั้ง 9 คนจะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที จนกว่าศาลฯ จะมีคำพิพากษา การกระทำของ ส.ส.พรรคเพื่อไทยครั้งนี้ จึงไม่เพียงถูกมองว่า ต้องการเล่นงานเพื่อเอาคืน ป.ป.ช.ที่ชี้มูลความผิดคนในระบอบทักษิณ แต่ยังต้องการทำให้คดีสำคัญๆ ที่คนในระบอบทักษิณถูกกล่าวหา ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาไต่สวนของ ป.ป.ช.อีกหลายคดีเกิดการสะดุดหยุดชะงักลงด้วย หาก ป.ป.ช.ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่
ลองมาดูว่า กรรมการ ป.ป.ช.จะรู้สึกอย่างไร เมื่อถูก ส.ส.พรรคเพื่อไทยพยายามเล่นงานด้วยวิธีนี้
นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการและโฆษก ป.ป.ช.ยืนยันกับวิทยุ ASTVผู้จัดการ ว่า ไม่มีปัญหา และไม่ถือว่าเป็นการเอาคืน ป.ป.ช.จากการชี้มูลความผิดกรณีสลายการชุมนุม 7 ต.ค. และว่า เมื่อ ป.ป.ช.มีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบคนอื่น ป.ป.ช.ก็ต้องถูกตรวจสอบได้เช่นกัน พร้อมยืนยันว่า ป.ป.ช.ทำงานตามหน้าที่และวินิจฉัยด้วยเหตุด้วยผล
“ผมเรียนได้ว่า ในความรู้สึกของ ป.ป.ช.ทั้ง 9 คนนี่ เราก็ถือว่าเป็นกระบวนการตรวจสอบ และพวกผมทำงาน ก็ทำงานตามหน้าที่ไป และวินิจฉัยด้วยเหตุด้วยผล พวกผมทำงานก็มีเสมอตัวกับติดลบ คือผมทำดีที่สุดถูกต้องที่สุด ให้ความยุติธรรมที่สุด ทำตามกฎหมายที่สุด ผมเสมอตัว ก็คือ เมื่อเวลาผมถูกฟ้อง ศาลก็ยกฟ้องให้ แต่ถ้าผมมีอคติ ผมกลั่นแกล้ง เวลาผมถูกฟ้องทั้งแพ่งทั้งอาญา ศาลก็ลงโทษผมทั้งแพ่งและอาญา และโทษกรรมการ ป.ป.ช.มันเป็น 2 เท่า และเราก็ยึดหลักในการทำงานของเราอย่างนี้ แต่กระบวนการตรวจสอบ ซึ่ง ป.ป.ช.เองมีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบคนอื่น ป.ป.ช.ก็ถูกตรวจสอบได้ ป.ป.ช.ก็ต้องแก้ไป และทุกอย่างก็ไปตัดสิน ผู้ที่มีอำนาจตัดสินก็เป็นคนตัดสิน”
ด้านนายวิชัย วิวิตเสวี กรรมการ ป.ป.ช.ก็พูดถึงกรณีที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทย เข้าชื่อยื่นเรื่องผ่านประธานวุฒิสภาเพื่อให้ศาลฎีกาฯ ดำเนินคดี ป.ป.ช.ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบว่า ไม่รู้สึกแปลกใจ เพราะก่อนหน้านี้ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ก็เคยยื่นเรื่องให้ดำเนินคดี ป.ป.ช.มาครั้งหนึ่งแล้ว หลัง ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดวินัยร้ายแรง นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ สมัยเป็นปลัดกระทรวงยุติธรรม กรณี นายสมชาย สั่งระงับเรื่อง ไม่ดำเนินคดีอธิบดีและรองอธิบดีกรมบังคับคดีที่สั่งคืนเงิน 70 ล้านบาท ที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินของศาล จ.ธัญบุรีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ในที่สุด ศาลฎีกาฯ มีคำสั่งไม่รับคำร้องของ ส.ส.พรรคเพื่อไทย เพราะ ป.ป.ช.ทำตามอำนาจหน้าที่
นายวิชัย ยืนยันด้วยว่า ไม่มีปัญหา ถ้า ส.ส.พรรคเพื่อไทยต้องการตรวจสอบการทำงานของ ป.ป.ช.
“เป็นเรื่องที่เขาสามารถตรวจสอบองค์กรอิสระได้อยู่แล้ว ก็ไม่มีปัญหาอะไร ก็อยู่ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (ถาม-หลายฝ่ายมองว่า หลัง ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดกรณี 7 ตุลาฯ ส.ส.เพื่อไทยก็มายื่นดำเนินคดี ป.ป.ช.เลย ตรงนี้จะถูกมองว่าเป็นการเอาคืน ป.ป.ช.ได้มั้ย?) อันนี้ผมไม่ทราบ เพราะเป็นเรื่องของการเมือง เขาก็เคยยื่นคำฟ้องมาทำนองเดียวกันมาหนหนึ่งแล้วเมื่อชี้มูลคุณสมชายตอนเป็นปลัดกระทรวง (ยุติธรรม) อยู่ และศาลฎีกาฯ ก็ยกคำร้องไป ทีนี้เขาก็มาร้องใหม่ ร้อง 4 ข้อหา คนละเรื่องกัน แต่ก็ทำนองเดียวกัน กลุ่มบุคคล ส.ส.ก็ชุดเดียวกัน (ถาม-ตอนนั้นทำไมศาลฎีกาฯ ไม่รับฟ้องคดีที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยกล่าวหาว่า ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดคุณสมชายไม่ชอบคดีที่ดินธัญบุรี?) เพราะมันไม่เข้าหลักเกณฑ์มาตรา 279 ของ รธน.เพราะเราทำตามอำนาจหน้าที่”
นายวิชัย ยังพูดถึงข้อกล่าวหาที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทย กล่าวหา ป.ป.ช.ด้วย เช่น กรณีที่กล่าวหาว่า ป.ป.ช.ไต่สวนชี้มูลความผิดกรณีโอ๋ สืบ 6 ไม่ชอบ เพราะศาลปกครองสั่งเพิกถอนมติการลงโทษโอ๋ สืบ 6 แล้วนั้น นายวิชัย ชี้แจงว่า ความจริงก็คือ แม้ศาลปกครองชั้นต้นจะวินิจฉัยให้เพิกถอนคำสั่งลงโทษของผู้บังคับบัญชาของโอ๋ สืบ 6 แต่หลังจาก ป.ป.ช.อุทธรณ์เรื่องนี้แล้ว ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งกลับคำวินิจฉัยของศาลปกครองชั้นต้น พร้อมสั่งให้ศาลปกครองชั้นต้นตั้งคณะทำงานคดีนี้ใหม่
“ศาลปกครองเพิกถอนคำสั่งให้ออกจากราชการของผู้บังคับบัญชาของโอ๋ สืบ 6 และคดีมันไม่มีการอุทธรณ์ และคณะกรรมการ ป.ป.ช.ก็ยื่นคำร้องขอให้ศาลปกครองพิจารณาคดีใหม่ ศาลปกครองชั้นต้นก็ยกคำร้องของเรา แต่ศาลปกครองสูงสุดเนี่ยพิพากษากลับคำวินิจฉัยของศาลปกครองชั้นต้นให้พิจารณาคดีนี้ใหม่แล้ว อยู่ระหว่างพิจารณาคดีใหม่ เพราะฉะนั้นคดีนี้ยังไม่ยุติ (ถาม-บางฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า ทำไมโอ๋ สืบ 6 จะต้องนำคดีนี้ไปฟ้องที่ศาลปกครองเชียงใหม่?) อันนี้ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า เขาก็ควรจะฟ้องใน กทม.มันจะได้สะดวก ผมไม่ทราบทำไมถึงได้ไปที่ศาลปกครอง จ.เชียงใหม่ ในเมื่อเขาก็อยู่ กทม.ที่ทำงานก็อยู่ กทม.คำสั่งก็อยู่ กทม. ผมก็กำลังศึกษาอยู่เหมือนกัน”
“(ถาม-ศาลปกครองสูงสุดให้เหตุผลว่าอย่างไร ทำไมต้องให้ศาลปกครองชั้นต้นตั้งคณะทำงานพิจารณาคดีใหม่?) ศาลปกครองสูงสุดบอกว่า ที่ศาลปกครองชั้นต้นไม่ให้โอกาสคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชี้แจงข้อมูลให้การสู้คดี เป็นการไม่ชอบ เพราะคณะกรรมการ ป.ป.ช.ก็มีอำนาจหน้าที่ทางกฎหมายที่จะต้องบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริต การที่ศาลปกครองมาพิพากษา ซึ่งไม่ใช่พิพากษาเพิกถอนคำสั่งของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพิกถอนคำสั่งของผู้บังคับบัญชาของโอ๋ สืบ 6 ที่อาศัยคำวินิจฉัยชี้มูลของคณะกรรมการ ป.ป.ช. อย่างนี้มันทำให้ประสิทธิภาพของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ในการที่จะบังคับใช้กฎหมายมันต้องลดน้อยถอยลง เพราะฉะนั้นก็ต้องให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.สู้คดีได้ด้วย อันนี้เป็นสาระของคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุด”
“(ถาม-การที่ศาลปกครองชั้นต้นวินิจฉัยเพิกถอนคำสั่งลงโทษโอ๋ สืบ 6 ของผู้บังคับบัญชาหลัง ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด อาจทำให้สังคมสงสัยว่า ศาลปกครองมีอำนาจเพิกถอนคำสั่งที่เกี่ยวโยงมาจากมติ ป.ป.ช.หรือเปล่า?) อันนี้ก็มีปัญหา เราก็ยังศึกษาจุดนี้กันอยู่ จะต้องหาข้อสรุปต่อไปว่าศาลปกครองจะมีอำนาจเพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้หรือไม่ เพราะ รธน.บอกไว้ว่า การวินิจฉัยขององค์กรอิสระเนี่ย ศาลปกครองไม่มีอำนาจ แต่ศาลปกครองก็อ้างทำนองว่า เมื่อมันไม่ชอบด้วยกระบวนการ ก็สามารถจะก้าวล่วงเข้ามาได้ อันนี้ก็เป็นปัญหาหนึ่งที่เราจะต้องหาข้อสรุปกันต่อไป”
คำชี้แจงของ ป.ป.ช.กรณีโอ๋ สืบ 6 คงไม่เพียงสะท้อนถึงพฤติกรรมของ ส.ส.พรรคเพื่อไทยได้อย่างหนึ่งว่า ชอบพูดความจริงไม่หมด เพื่อให้คนอื่นเสียหาย แต่ยังต้องตั้งคำถามและหาคำตอบด้วยว่า ศาลปกครองมีอำนาจก้าวก่าย แทรกแซง หรือวินิจฉัยเพิกถอนมติของ ป.ป.ช.ที่ชี้มูลความผิดนักการเมืองและข้าราชการหรือไม่?