"ผ่าประเด็นร้อน"
ในที่สุดศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ตัดสินยกฟ้องคดีทุจริตกล้ายาง 90 ล้านต้น มูลค่า 1,440 ล้านบาท ที่มีอดีตรัฐมนตรีในรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร ถูกฟ้องร้องดำเนินคดีจำนวน 5 คน พร้อมทั้งข้าราชการและบริษัทเอกชน ครบเซ็ตรวม 44 คน
หากจะแยกพิจารณาก็ต้องโฟกัสไปที่อดีตรัฐมนตรีอันประกอบด้วย สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) วราเทพ รัตนากร อดีต รมช.คลัง ในฐานะ คชก. เนวิน ชิดชอบ อดีต รมช.เกษตรฯ ในฐานะผู้ริเริ่มโครงการ สรอรรถ กลิ่นปทุม อดีต รมว.เกษตร ฯ และ อดิศัย โพธารามิก อดีต รมว.พาณิชย์ ในฐานะ คชก.
นอกจากนี้ยังมีผู้ที่ถูกฟ้องร้องดำเนินคดี คือ กลุ่มคณะกรรมการกลั่นกรองเสนอโครงการต่อคณะรัฐมนตรีคณะที่ 2 กลุ่ม คชก. กลุ่มคณะกรรมการบริหารโครงการ (กำหนดทีโออาร์) และคณะกรรมการพิจารณาผลประกวดราคาซึ่งเป็นกลุ่มข้าราชการ และกลุ่มบริษัทเอกชนที่มี 3 ราย ประกอบด้วย บริษัท เจริญโภคภัณฑ์เมล็ดพันธุ์ จำกัด ในเครือซีพี บริษัท รีสอร์ทแลนด์ จำกัด และบริษัท เอกเจริญการเกษตร จำกัด กล่าวหาว่ามีความผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต
ประมวลกฎหมายอาญา ม.157 เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ จัดการหรือรักษาทรัพย์สินใดๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตอันเป็นการเสียหายแก่รัฐ ม.151 ผู้ใดทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จเพื่อให้ได้ไปซึ่งทรัพย์สิน อันเป็นความผิดฐานฉ้อโกง ประกอบมาตรา 83, 84 และ 86 และความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ (ฮั้วประมูล) พ.ศ.2542 มาตรา 4, 10-14 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์กรหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 11 กรณีร่วมกันทุจริตจัดซื้อต้นกล้ายางพารา 90 ล้านต้น มูลค่า 1,440 ล้านบาท ของกรมวิชาการเกษตร ดังกล่าว
หากจะย้อนอดีตกลับไปคดีดังกล่าวยืดเยื้อมาตั้งแต่ปี 2549 โดยหลังจากที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ได้ยึดอำนาจและมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) ขึ้นมาตรวขสอบการทุจริตหลายโครงการในรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร และหนึ่งในนั้นก็คือคดีทุจริตกล้ายาง ดังกล่าว และแม้ว่าจะมีการสรุปสำนวนว่ามีมูลความผิด แต่ คตส.ก็ต้องพ้นจากหน้าที่ไปก่อน และโอนสำนวนไปให้กับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ดำเนินการต่อ และนำไปสู่การฟ้องร้องดำเนินคดีจนมีข้อสรุปดังกล่าว เมื่อวานนี้( 21 ก.ย.)
อย่างไรก็ดีแม้ว่าศาลฎีกาฯจะตัดสินยกฟ้องโดยระบุว่าไม่มีความผิด ทำให้นักการเมืองเหล่านี้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ขณะเดียวกัน ในทางการเมืองนับจากนี้ไปก็น่าจับตาไม่น้อย โดยเฉพาะ “กลุ่มเนวิน” ที่จะต้องกลับเข้าสู่การแข่งขันในเชิงอำนาจได้เต็มตัวมากขึ้น แม้ว่าสำหรับ “เนวิน ชิดชอบ” ยังมี “ชนัก” ปักหลังจากการที่ยังถูกคำสั่งห้ามยุ่งเกี่ยวทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี ซึ่งยังเหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น
แต่นั่นก็ไม่ใช่เป็นอุปสรรคมากนัก เพราะสังคมรับรู้กันไปแล้วว่า เนวิน ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่ม “อำนาจใหม่” และมีบทบาทสำคัญในการจัดตั้งและขับเคลื่อนรัฐบาลชุดนี้อย่างครบวงจร เพียงแต่ว่าไม่ได้ออกมายืนข้างหน้าเท่านั้น
ที่ผ่านมาสามารถสร้างเครือข่ายอำนาจต่อเชื่อมทั้งทุน กองทัพ ตำรวจและข้าราชการพลเรือนอื่นๆ ชนิดที่เรียกว่าแผ่ขยายออกไปอย่างไพศาล กำลังแสดงบทบาทเป็น “พี่ใหญ่” มากขึ้นทุกวัน
ที่ผ่านมาเครือข่ายที่เรียกกันว่า “กลุ่มเพื่อนเนวิน” ในพรรคภูมิใจไทยได้เติบโตเข้าไปยึดกุมกระทรวงสำคัญที่เป็นหัวใจของรัฐบาล สามารถเอื้อประโยชน์ในทางการเมืองและอำนาจได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ ทั้งกระทรวงมหาดไทย คมนาคม พาณิชย์ รวมไปถึงกระทรวงกลาโหม ที่อยู่ในมือของพี่ใหญ่ “วงษ์สุวรรณ” อย่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็อยู่ในเครือข่ายเดียวกัน ซึ่งเชื่อมโยงไปถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้น้องได้สร้างทีมงานเอาไว้ โยงใยไปทั่วแล้ว
เมื่อครอบครองอำนาจทั้งกลาโหม มหาดไทย ตำรวจ กระทรวงเศรษฐกิจ อย่างพร้อมสรรพแบบนี้ไม่ว่าใครก็ตามก็ย่อมคิดเคลิ้มไปไกล และสำหรับคนอย่าง เนวิน ชิดชอบ ก็ไม่ได้ยกเว้น เพราะไม่เช่นนั้นคงจะไม่ได้ยินคำพูดที่หลุดออกมาปากในวันที่เรียกผู้สมัครนายก อบต.ในพื้นที่ไปรับนโยบายว่า อีกไม่นานจะมีคนบุรีรัมย์เป็นนายกรัฐมนตรี
ซึ่งรับรองว่าหากทอดสายไปทั่วทั้งจังหวัดบุรีรัมย์คงจะไม่ใช่ ชัย ชิดชอบ ที่เป็นบิดา เพราะทุกวันนี้ถือว่ามาถึงจุดสูงสุดแล้ว และคงไม่ใช่ โสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมแน่นอน ดังนั้นก็คงเหลือแต่ เนวิน เท่านั้น
ดังนั้นนาทีนี้สำหรับประเทศไทยอะไรก็เกิดขึ้นได้ และต่อไปทำไมเราจะมีนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ เนวิน ชิดชอบบ้างไม่ได้
เพราะดูๆ ไปแล้วสังคมนี้กำลังตกอยู่ในเงื้อมมือของนักเสี่ยงโชคทางการเมืองไปแล้วจริงๆ !!
