xs
xsm
sm
md
lg

เคาะข่าวริมโขง : หนุน “มวลชนผู้รักชาติ” ทวงคืนพื้นที่รอบพระวิหาร

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เคาะข่าวริมโขง : หนุน “มวลชนผู้รักชาติ” ทวงคืนพื้นที่รอบพระวิหาร หลังนักการเมืองชั่วท้องถิ่น รับคำสั่งตัวการใหญ่จัดตั้งม็อบเถื่อนจงใจรุมทำร้าย ติง "สุทิน" ไม่ควรต่อว่า "วีระ" ในที่สาธารณะ เชื่อทราบช้อมูลไม่รอบด้าน จึงเข้าใจผิด ขณะที่ "วีระ" นิ่งไม่ตอบโต้ แต่ยกเหตุผลอธิบาย เหตุที่ "ลุงจำลอง" ไม่ไปด้วย เพราะไม่ว่าง โดยส่งคนสันติอโศกเป็นตัวแทน

คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ “เคาะข่าวริมโขง”

รายการ “เคาะข่าวริมโขง” ออกอากาศทาง “อีสานทีวี” ช่วงเวลา 18.30-20.30 น.วันจันทร์ที่ 21 กันยายน มี น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก นายชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย และนายประพันธ์ คูณมี เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยวันนี้ได้มีการนำประเด็นข่าวที่ร้อนแรงที่สุด ซึ่งถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์ กรณีที่สื่อมวลชนพยายามประโคมข่าวกล่าวหาว่าแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยปล่อยลอยแพ นายวีระ สมความคิด นำมวลชนไปทวงคืนพื้นที่ 4.6 ตร.กม.รอบปราสาทเขาพระวิหาร

รวมทั้ง 3 พิธีกร ยังหยิบยกกรณีการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา โดยสังเกตว่าเป็นการเคลื่อนไหวที่ไร้พลังและเริ่มแผ่วลงเรื่อยๆ ไม่ว่าจะพละกำลังของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หรือจะเป็นแกนนำคนเสื้อแดง ที่มีความคิดเห็นไม่ลงรอยกันในเรื่องของการเคลื่อนไหว

โดยช่วงแรก น.ส.อัญชะลี ได้หยิบยกประเด็นร้อนแรงวันนี้มาร่วมพูดคุย เพื่อเติมปัญญาให้ชาวอีสานและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่พ่อแม่พี่น้องพันธมิตรฯ ทั่วประเทศ ที่เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ หลังจากที่สื่อมวลชนหลายแขนงพยายามประโคมข่าวกล่าวหาให้เกิดความเข้าใจผิดว่า ทางแกนนำพันธมิตรฯ ปล่อยลอยแพ นายวีระ สมความคิด ให้สู้อย่างเด็ดเดี่ยว เพื่อทวงคืนพื้นที่ 4.6 ตร.กม.รอบประสาทเขาพระวิหาร ซึ่งกรณีนี้ นายประพันธ์กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวต้องดูกันที่เจตนา โดยจุดยืนในการเคลื่อนไหวครั้งนี้ นายวีระและมวลชน ต้องการไปทวงคืนพื้นที่ของประเทศไทย ที่ถูกกัมพูชารุกล้ำอาณาธิปไตย ตนถือว่าคนกลุ่มนี้ ไม่ได้ทำเพื่อตนเอง แต่ทำเพื่อชาติบ้านเมือง ดังนั้น ตนขอยืนยันว่าปัญหาที่เกิดขึ้น เกิดจากเจ้าหน้าที่รัฐไปทำให้เกิดความเข้าใจผิด การที่นายวีระและมวลชนเดินทางไปยังพื้นที่ดังกล่าว ไม่ได้ต้องการจะให้เกิดความรุนแรง ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ต้นตอมาจากมีนักการเมืองระดับประเทศและระดับท้องถิ่น จัดตั้งม็อบมาดักทำร้าย นายวีระและคณะ โดยนอกเหนือจากนั้น ทางด้านสื่อมวลชน ยังนำเสนอความจริงไม่รอบด้าน พากันหยิบยก กล่าวหาว่าแกนนำพันธมิตรฯ แตกคอกับนายวีระ เพราะไม่เห็นด้วยกับแนวทางเคลื่อนไหวดังกล่าว

นายประพันธ์กล่าวต่อว่า เรื่องทั้งหมด หากจะโทษต้องโทษรัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐ โดยรัฐบาลบกพร่องที่ไม่ยอมจัดการแก้ไขปัญหานี้ด้วยความเด็ดขาด ยืนกรานจะเจรจากับทางกัมพูชาอย่างเดียว แม้วิธีการเจรจาจะไม่ใช่สิ่งผิด แต่ไม่มีประเทศไหนในโลกที่เอาดินแดนประเทศตัวเองไปตกลงกับประเทศอื่น เพื่อแบ่งผลประโยชน์ให้ ไม่หนำซ้ำได้แอบสอดไส้วาระการประชุมที่ไปเจรจากับทางการกัมพูชาขอความเห็นชอบจากรัฐสภา ซึ่งถ้าหากผ่านไปได้ ก็เท่ากับทั้งสองประเทศจะมีการเจรจาตกลงกัน โดยที่ไทยมีแนวโน้มว่าจะเสียเปรียบ ซึ่งทั้งหมดนี้ ทำไมรัฐบาลและนายอภิสิทธิ์ ไม่มองในมุมกลับกันบ้างว่าถ้ารัฐบาลไม่นิ่งเฉยต่อเรื่องดังกล่าว นายวีระและมวลชนคงไม่จำเป้นต้องเดินทางไปทวงคืนพื้นที่ดังกล่าวด้วยตัวเอง ดังนั้น ขอยืนยันว่า ที่มีกล่าวหาว่า นายวีระ ดื้อดึงจนส่งผลให้เกิดความรุนแรงและมีประชาชนได้บาดรับเจ็บ ตนอยากให้ทุกฝ่ายให้ความเป็นธรรมต่อ นายวีระ เรื่องนี้ด้วย เพราะการเดินทางไปถือเป็นความเสียสละ ไม่ใช่ความคลั่งชาติ หรือดื้อรั้นไม่ฟังเหตุผลแต่อย่างใด ก่อนหน้าที่จะไป ก็มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงล่วงหน้าแล้ว ซึ่งกระบวนการทุกอย่างผ่านการไต่ตรองมาอย่างรอบคอบ

“การที่รัฐบาลนิ่งเฉย ไม่แสดงท่าทีอะไรออกมา ถือว่าไม่มั่นใจในดินแดนประเทศตัวเองหรือ ถึงต้องไปเจรจากับกัมพูชาทั้งที่เป็นดินแดนของไทย ซึ่งถ้าหากยืนยันที่จะยึดวิธีการเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาต้องมีการกำหนดกรอบระยะเวลาที่ชัดเจนว่าเจรจาไปถึงเมื่อไหร่ เพื่อให้รู้เวลาสิ้นสุด ก่อนที่จะดำเนินการขั้นต่อไป หากการเจรจาไม่เป็นผล แต่เรื่องนี้ สำหรับผมคิดว่า ไม่จำเป็นต้องเจรจา เพราะพื้นที่ดังกล่าวไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อน ไม่ได้เป็นข้อพิพาท เพราะเป็นสิทธิ์ขาดอยู่ที่ประเทศไทย อยู่ที่ว่าจะดำเนินการหรือไม่เท่านั้นเอง” นายประพันธ์กล่าว

นายประพันธ์กล่าวต่อว่า การกระทำของรัฐบาล และเจ้าหน้าที่รัฐ รวมทั้งสื่อมวลชนหลายสำนัก ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในวงกว้าง ดังนั้น ตนจึงขอย้ำจุดประสงค์ของนายวีระและมวลชนผู้รักชาติที่เดินทางไปปกป้องแผ่นดินบ้านเกิดว่า พวกเขาเหล่านั้น ต้องการไปประกาศให้คนไทยทุกคนตื่นตัวมาร่วมกันแสดงจุดยืน ทวงคืนพื้นที่ที่เป็นของคนไทย เนื่องจากเวลานี้ พิสูจน์ชัดเจนแล้วว่า พื้นที่ดังกล่าวถูกกัมพูชารุกล้ำดินแดนจริง โดยทางออกเวลานี้ทางรัฐบาลต้องพูดความจริงกับประชาชน ให้รู้ว่าเกิดอะไรมาบ้าง และจะเกิดเหตุการณ์ใดต่อไป โดยตนเชื่อว่าหากรัฐบาลแสดงท่าทีแข็งกร้าวกับกัมพูชา ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็ต้องถูกขับไล่ให้พ้นพื้นที่ของเจ้าของตัวจริง

“รัฐบาลต้องกล้าออกมาพูดความจริงว่ามีนายทหารไปสร้างตึกแถวบนเขาให้เขมรไปเช่าอยู่ ทำให้เกิดปัญหาผูกพัน เมื่อรัฐบาลจะเข้าไปจัดการเรื่องดังกล่าวก็ไม่สามารถทำได้ เพราะถูกเจ้าหน้าที่รัฐที่มีผลประโยชน์อยู่ในพื้นที่ 4.6 ตร.กม.ขัดขวาง เนื่องจากกลัวเสียรายได้ของตนเอง โดยเจ้าหน้าที่รัฐเหล่านี้ไม่มีสิทธิ์ ไปแสวงหาผลประโยชน์ในพื้นที่ดังกล่าว เพราะเป็นของคนไทยทั้งประเทศ ประกอบกับศาลโลกตัดสินใจยกปราสาทเขาพระวิหาร ให้กัมพูชาเท่านั้น แต่ไม่ได้ยกพื้นที่รอบๆ 4.6 ตร.กม. ให้กัมพูชาด้วย” นายประพันธ์กล่าว

นายประพันธ์กล่าวต่อว่า ตนไม่อยากให้คนไทยคิดว่าพื้นที่ 4.6 ตร.กม.เป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่เห็นจำเป้นต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อรักษาพื้นที่ดังกล่าว โดยตนอยากกล่าวว่า เรื่องดินแดนเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศถือว่าพื้นที่ทุกตารางนิ้วเป็นของคนไทยโดยชอบธรรม แต่สาเหตุที่ทำให้เกิดความรุนแรงในการลงพื้นที่ครั้งนี้ มีการจัดตั้งกองกำลังมาดักทำร้าย ทั้งที่คนเหล่านี้ ทำเพื่อชาติบ้านเมือง

นายชัชวาลย์กล่าวต่อว่า รัฐบาลควรกล้าออกมาพูดความจริงว่า ใครคือนักการเมืองไทยที่ไปทำตัวสนิทสนมกับสมเด็จฯ ฮุนเซน เพื่อกอบโกยผลประโยชน์ โดยเอาสมบัติชาติเป็นตัวประกัน โดยรัฐบาลกล้าพูดหรือไม่ว่า การกระทำดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองระดับประเทศหรือระดับท้องถิ่น กล้าออกมายืนยันหรือไม่ เพราะเรื่องดังกล่าว ทำให้ผู้คนมากมายเข้าใจพันธมิตรฯ และท่าทีของนายวีระผิด ซึ่งตนอยากเปรียบเทียบให้เห็นอย่างชัดเจน ระหว่างการเคลื่อนไหวกับกลุ่มคนเสื้อแดงและกลุ่มของนายวีระและคณะ ว่า การเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ และนายวีระ ไม่ได้ทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว แต่การกระทำของคนเสื้อแดงปรากฏชัดเจนว่า สู้เพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้เดียว

น.ส.อัญชะลี ยกกรณี นายสุทิน วรรณบวร นักข่าวอาวุโสจากสำนักข่าวเอพี ออกมาท้วงติงการที่นายวีระนำมวลชนไปทวงคืนพื้นที่ 4.6 ตร.กม.ว่าไม่เหมาะสม โดยประเด็นนี้ นายชัชวาลย์กล่าวว่า ตนคิดว่าเรื่องนี้ถ้ามองด้วยใจเป็นธรรมไม่มีฝ่ายใดผิดหรือถูก ตัวนายสุทินก็ทำหน้าที่ในฐานะสื่อมวลชน วิพากษ์วิจารณ์เรื่องต่างๆ อย่างตรงไปตรงมา ส่วนจะถูกหรือผิดก็แล้วแต่วิจารณญาณผู้ฟังว่าจะเชื่อหรือไม่ ส่วนท่าทีนายวีระตนต้องขอชื่นชมในความเป็นผู้ใหญ่ที่มีความสุขุม ไม่เดือดเนื้อร้อนใจกับท้วงติงของนายสุทิน โดยนายวีระตอบไปด้วยเหตุผลว่าเพราะเหตุใดถึงนำมวลชนไปเคลื่อนไหวดังกล่าว ดังนั้น ตนอยากขอยืนยันว่า สิ่งที่นายวีระและมวลชนผู้รักชาติกระทำไป ถือเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่คนไทยพึ่งกระทำ ทั้งๆ ที่ไปร่วมทวงคืนพื้นที่แล้ว อาจต้องพบเจอกับอันตรายแต่ทุกคนก็ถือว่าไปด้วยใจ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ตนก็คิดว่า ทั้งนายวีระและนายสุทิน ล้วนเป็นผู้หวังดีกับชาติบ้านเมืองทั้งสิ้น ซึ่งเรื่องนี้เชื่อว่าหากทั้งสองฝ่ายได้มีการคุยด้วยเหตุและผล จะสามารถเข้าใจกันและกันได้

นายประพันธ์กล่าวเสริมประเด็นนี้ว่า ในมุมนายสุทินถือเป็นการวิพากษ์วิจารณ์แบบสื่อมวลชน ก็อาจมีบางข้อมูลที่ผิดและถูก แต่เหนือสิ่งอื่นใดที่ผ่านมานายสุทินถือเป็นแนวร่วมที่ดีมาโดยตลอด ดังนั้น ถ้าหากเห็นว่าสิ่งใดควรปรับปรุงหรืออยากจะแนะนำตักเตือนอะไรก็ไม่ควรไปพูดเผยแพร่ผ่านสื่อ ควรมาพูดกันเป็นการส่วนตัวมากกว่า แต่ตนก็รู้สึกชื่นชมท่าทีนายวีระ ที่นิ่งมากหลังจากถูกนายสุทินวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งถ้าเป็นคนอื่นอาจจะโกรธที่ถูกพาดพิงแรงๆ แต่นายวีระได้อธิบายถึงเหตุผลว่าสิ่งที่ทำไปทั้งหมด ระมัดระวังไม่ให้เกิดอันตรายที่สุดแล้ว ทั้งนี้ ตนเห็นว่า ฝ่ายที่นายสุทินจะไปว่ากล่าวน่าจะเป็นรัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐที่เพิกเฉยปล่อยให้ม็อบจัดตั้งมาดักทำร้าย นายวีระและมวลชนผู้รักชาติ โดยสิ่งที่ฝากไว้ คือ ไม่อยากให้นายวีระและมวลชนที่เคลื่อนไหวย่อท้อต่ออุปสรรค สมควรจะยืนหยัดต่อสู้ต่อไป ให้ทุกๆ คนได้เห็นว่า สิ่งที่กระทำไปนั้นเป็นสิ่งที่สมควรที่สุด รวมทั้งต้องแสดงจุดยืนให้รัฐบาลรู้ว่า การแก้ไขปัญหาด้วยการเจรจา ถือว่าเป็นการเรื่องที่ไม่ถูกต้อง และสมควรจะตัดสินเด็ดขาดเรื่องนี้ได้แล้ว หรือไม่ก็ต้องอธิบายว่า ในเมื่อบอกว่าประเทศไทยไม่เสียพื้นที่ 4.6 ตร.กม.ให้แก่กัมพูชา ฉะนั้นก็ต้องบอกเหตุผลได้ว่า เพราะอะไรถึงปล่อยให้มีการสร้างชุมนุม ตัดผ่านถนน และยึดพื้นที่ดังกล่าว

นายประพันธ์กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังต้องโทษสื่อมวลชนที่ประโคมข่าวไม่เป็นความจริง ไปมองว่าคนไทยตีกันเอง ถือเว่ามือไม่พายเอาเท้าราน้ำ แทนที่จะช่วยกันเคลื่อนไหวปกป้องพื้นที่ดังกล่าว แต่ทำไมถึงใส่ร้ายไปกล่าวหาคนทำเพื่อชาติบ้านเช่นนี้ ความจริงน่าจะเปิดโปงผู้ที่ฮุบผลประโยชน์คนทั้งประเทศ รวมทั้งผู้ที่ทำให้ประเทศไทยเสียดินแดนไปเมื่อครั้งที่แล้วด้วย

นายชัชวาลย์กล่าวต่อว่า ตนขอแนะนำให้นายวีระและมวลชนผู้รักชาติไม่ต้องสนใจการนำเสนอข่าวของสื่อเทียม เพราะพวกนี้พยายามจะเบี่ยงเบนประเด็น เอาเรื่องเล็กมากลบเกลื่อนเรื่องใหญ่ ดังนั้น คนไทยไม่ควรไปหลงเชื่อและวิพากษ์วิจารณ์แบบผิดๆ

น.ส.อัญชะลี กล่าวว่า การที่สื่อยักษ์ใหญ่อย่าง มติชน ประโคมข่าวหาว่าแกนนำพันธมิตรฯ และนายวีระแตกคอกัน ตนขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง ทาง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง 1 ในแกนนำพันธมิตรฯ ไม่เคยลอยแพนายวีระ ไม่เช่นนั้นคงไม่ส่งคนสนิทที่อยู่สันติอโศกไปช่วยหรือ ดังนั้นจังขอให้ตัดประเด็นนี้ออกไป

ต่อมาได้มีการพูดประเด็นต่อเนื่อง ถึงการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โฟนอินมาพาดพิงถึงพันธมิตรฯ ที่ไปทวงคืนเขาพระวิหาร ว่า เป็นม็อบมีเส้น โดยกรณีนี้ นายชัชวาลย์กล่าวว่า กลุ่มคนเสื้อแดง อ้างถึงครบรอบ 3 ปีของการปฏิวัติจึงออกมาชุมนุมกัน โดยวันนั้นพิสูจน์ชัดเจนแล้วว่า หาก พ.ต.ท.ทักษิณ และคนในพรรคเพื่อไทย ไม่เคลื่อนไหว เกณฑ์ผู้คนมาร่วมชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงก็จะมากันจำนวนไม่มาก นอกจากนี้ ที่ตนสังเกต คือ ชุมนุมบ่อยมากเกินไป และแต่ละครั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ก็โฟนอินมาพูดเรื่องเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมา คนเลยเริ่มเบื่อ ชอบโฟนอินมาต่อว่ากระบวนการยุติธรรมหรือไม่ก็จะให้ความหวังลมๆแล้งๆว่าจะกลับประเทศ

นายประพันธ์กล่าวเสริมว่า เหตุที่เมื่อวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา กลุ่มคนเสื้อแดงไม่มีการก่อเหตุความรุนแรง เนื่องจาก พฤติกรรมเริ่มแผ่ว แกนนำคนเสื้อแดงไม่มีประสิทธิภาพ จะเห็นได้ว่า กลุ่มคนเสื้อแดงมาชุมนุมกัน ก็ตั้งหน้าตั้งตาจะรอคอยเวลา พ.ต.ท.ทักษิณ โฟนอิน เพื่อจะได้รับเงินค่าจ้างแล้วแยกย้ายกลับบ้าน โดยในส่วน พ.ต.ท.ทักษิณ เองก็เริ่มรู้ตัวแล้วว่าการต่อสู้โดยใช้คนเสื้อแดงเป็นเครื่องมือ ไม่มีทางทำให้ตนได้กลับประเทศ ดังนั้น จึงคิดแแผนใหม่ เปิดหน้าว่าพร้อมเจรจา เพื่อหาทางลงให้กับตัวเอง

นายชัชวาลย์ กล่าวเสริมว่า เวลานี้นับว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยิ่งขยับตัวลำบาก เพราะนอกจากแกนนำคนเสื้อแดงและลิ่วล้อเริ่มอ่อนแรงลงแล้ว ทหารและตำรวจในประเทศก็ไม่กล้าเสี่ยงช่วยเหลือ เพราะกลัวโดนหางเลขไปด้วยหลังจาก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด พล.ต.อ.พัชรวาท ทำให้เจ้าหน้าที่ไม่กล้าปฏิบัติหน้าที่สนับสนุนการกระทำ พ.ต.ท.ทักษิณ สักเท่าไหร่
กำลังโหลดความคิดเห็น