เรื่องมันฟ้อง โดย กรงเล็บ
เหลืออีกแค่ 3 วัน ก็ถึง 21 กันยายน วันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนัดอ่านคำพิพากษาคดีทุจริตจัดซื้อกล้ายางพารา 90 ล้านต้นของกรมวิชาการเกษตร
หลังจากมีการเลื่อนอ่านคำพิพากษามาจากเมื่อ 17 ส.ค.52
ครั้งนั้น นายอดิศัย โพธารามิค อดีต รมว.พาณิชย์ในรัฐบาลไทยรักไทย 1 ในจำเลยคนสำคัญ ไม่มาปรากฏตัว เนื่องจากบินไปรักษาอาการป่วยที่สหรัฐอเมริกา
แต่กลับแจ้งต่อศาลก่อนอ่านคำพิพากษาเพียงไม่กี่ชั่วโมงทั้งที่ได้เดินทางออกนอกประเทศนานแล้ว และรับรู้การนัดอ่านคำพิพากษาล่วงหน้านานนับเดือน
จนทำให้ศาลมีการออกหมายจับเพื่อให้เดินทางมารับฟังคำตัดสินของศาล และริบเงินประกันไป 1 ล้านบาท
นับแต่วันนั้นจนถึงปัจจุบัน ก็ไม่ปรากฏข่าวความเคลื่อนไหวของอดิศัย
และการประสานงานของตำรวจไทยกับตำรวจสากลที่สหรัฐอเมริกา เพื่อให้จับกุมตัวอดิศัย มาฟังคำตัดสินของศาลแต่อย่างใด
ก็พอคาดเดาได้ว่าถึงเหตุที่ยังไม่มีความเคลื่อนไหวดังกล่าว อาจเป็นเพราะตำรวจเห็นว่า อดิศัยเป็นถึงอดีตรัฐมนตรี เป็นเศรษฐีใหญ่ของวงการธุรกิจโทรคมนาคม
อีกทั้งอาจเห็นใจที่สุขภาพไม่ดีถึงกลับต้องบินไปรักษาตัวที่ต่างประเทศ จึงไม่อยากเร่งรัดตามหมายจับของศาลฎีกาฯ
จึงเชื่อได้ว่า วันจันทร์ที่ 21 กันยายนนี้ มีแนวโน้มสูงยิ่งที่อาจไม่ได้เห็นเงาและตัวจริงของ “อดิศัย”
เพราะจากการตรวจสอบกับ “ศิริศักดิ์ ติยะพรรณ” อธิบดีอัยการฝายคดีต่างประเทศ สำนักงานอัยการสูงสุด ในความคืบหน้าการติดตามตัว “อดิศัย” และข้อกฎหมาย
จึงทำให้ทราบว่าขณะนี้อัยการต่างประเทศ ยังไม่ได้รับการประสานหรือหนังสือใดๆมาจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อขอให้ประสานกับทางสหรัฐอเมริกาในการขอให้ช่วยนำตัวอดิศัยกลับมายังประเทศไทยตามสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน
สาเหตุคงเป็นเพราะการออกหมายจับดังกล่าวเป็นการออกหมายจับเพื่อให้นำตัวมาฟังคำตัดสินของศาลในวันที่ 21 ก.ย.นี้ ไม่ใช่หมายจับ เพื่อให้ตัวมาลงโทษ
ตอนนี้ก็อาจมีการรอคำตัดสินของศาลฎีกาฯในวันดังกล่าวก่อน ซึ่งหากมีคำตัดสินออกมาว่านายอดิศัยไม่มีความผิด หมายจับดังกล่าวก็ต้องยกเลิกไป
ก็จะคล้ายกับกรณีของคุณหญิงพจมาน ดามาพงษ์ที่ก่อนหน้านี้ ไม่ได้มาฟังการอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ในคดีทุจริตที่ดินวันแรก แล้วศาลออกหมายจับ
แต่เมื่อต่อมาศาลอ่านคำพิพากษาแล้วคุณหญิงพจมานไม่มีความผิด ทำให้หมายจับในครั้งแรกก็ต้องยกเลิกไป คุณหญิงพจมานก็สามารถเดินทางกลับประเทศไทยได้
ทุกอย่างก็ต้องรอวันที่ 21 ก.ย.นี้ โดยเฉพาะกับกรณีของคุณอดิศัย
จึงเห็นได้ว่า กรณีของอดิศัย แม้เจ้าตัวจะเจ็บป่วยจริง แต่ก็น่าจะรู้กระบวนการทางกฎหมายอันนี้เป็นอย่างดี เพราะมีตัวอย่างให้เห็นในกรณีของคุณหญิงพจมาน เลยเสี่ยงที่จะไม่เดินทางมาฟังคำตัดสินของศาลฎีกาในวันที่ 17 สิงหาคมที่ผ่านมา
ยอมให้มีการริบเงินประกันซึ่งเงิน 1 ล้านบาท สำหรับอดิศัยแล้วถือว่าน้อยนิดมาก เมื่อเทียบกับความมั่นใจในหลายๆอย่างสำหรับชีวิตของเจ้าตัว
แต่ที่น่าจับตามากกว่านั้น ก็คือ ไม่ใช่แค่อดิศัยคนเดียวที่จะไม่โผล่มาฟังคำพิพากษา แต่หลายต่อหลายคนที่มีส่วนสำคัญในการวางแผนออกโครงการจัดซื้อกล้ายางพาราฉาวครั้งนี้
อาจเกิดความหวาดกลัว หรือไม่แน่ใจว่า ตัวเองจะรอดพ้นความผิดหรือไม่? ก็คงจะไม่เดินทางมาฟังคำตัดสินของศาลพร้อมๆ กับอดิศัยในวันนั้นด้วย เพื่อเตรียมตั้งหลัก
“หลบหนีคดี”
หลังศาลอ่านคำพิพากษาเสร็จสิ้นในช่วงสายวันที่ 21 กันยายน เนื่องจากในการอ่านคำพิพากษาครั้งนี้ อย่างไรเสียองค์คณะตุลาการก็จะต้องมีการอ่านคำพิพากษาอยู่แล้ว ซึ่งหากมีใครคนใดคนหนึ่งถูกตัดสินว่า
มีความผิด จะต้องถูกควบคุมตัวไปกินข้าวแดงที่เรือนจำทันทีและแม้รัฐธรรมนูญจะเปิดโอกาสให้มีการยื่นอุทธรณ์ได้ภายใน 30 วัน
แต่อย่างไรเสีย ก็จะต้องถูกควบคุมตัวใน “คุก”เอาไว้ก่อน
อีกทั้งตามกระบวนการพิจารณาอุทธรณ์ก็เขียนไว้ชัดเจนว่าต้องเป็นหลักฐานใหม่และมีความสำคัญต่อรูปคดี องค์คณะฯถึงจะรับพิจารณา
ดังนั้น อาจมี “พวกหัวหมอแต่ใจมด” บางคนที่คิดกระทำการหลบหนีไม่มาฟังคำตัดสินของศาลก็ได้ในวันนั้น เพื่อเตรียมเปลี่ยนสถานะตัวเองเป็นพวก
“คนไทยอพยพ”หนีคดีไปต่างประเทศ
ตามรอย นช.ทักษิณ ชินวัตร และ วัฒนา อัศวเหม ทั้งที่เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเพราะหากคิดว่าตัวเองมีความบริสุทธิ์ ไม่ได้กระทำผิดตามคำฟ้อง ก็น่าจะเดินทางไปรับฟังการอ่านคำพิพากษาให้หมดทุกคน
เพราะศาลย่อมให้ความยุติธรรมกับผู้บริสุทธิ์แน่นอน