“ไอ้ตู่” สาระแนลุกขึ้นทำหน้าที่ ส.ส.อภิปรายในสภา ค้านตั้ง ส.ส.ร.3 อ้างไม่มีประโยชน์ แนะ ยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชน ยกกรณีเขาพระวิหาร อัด รัฐบาลขาดความชอบธรรม ยืนยัน “มาร์ค” แอบเปลี่ยนรถในกระทรวงมหาดไทยเลือด ด้าน “สาทิตย์” ปรี๊ดแตก ลุกขึ้นโต้เตรียมโชว์ภาพเด็ดตบหน้า
วันนี้ (17 ก.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าการประชุมร่วมรัฐสภา เพื่อพิจารณารายงานผลการศึกษาของคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นอภิปราย ว่า ตราบใดที่รัฐบาลยังไม่สร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในบ้านเมือง ปัญหาต่างๆ ก็ไม่จบสิ้น ความสามัคคีก็จะไม่เกิด ซึ่งตนไม่เห็นด้วยกับการจะเสียเวลาตั้ง ส.ส.ร.3 เพื่อยื้อเวลาโดยเปล่าประโยชน์ แต่ควรยุบสภามอบอำนาจให้ประชาชนทั้งประเทศเป็นผู้กำหนดทิศทางประเทศไทย ว่า จะเดินไปในทิศทางใดต่อไป จะได้ไม่ต้องมาพูดแดกดันกันในสภา ว่า ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อตัวเอง ทั้งนี้ อยากให้เคารพความคิดเห็นของประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลและจะมีการชุมนุมกันในวันที่ 19 ก.ย.นี้ด้วย
นายจตุพร ยังเรียกร้องให้ปฏิบัติกับกลุ่มคนเสื้อแดงให้มีมาตรฐานเดียวกับกลุ่มอื่นๆ ด้วย เพราะรัฐบาลชุดนี้ไม่มีความเป็นธรรม ปล่อยให้กัมพูชาสร้างถนนเข้ามายังเขาพระวิหาร เป็นการเสียอธิปไตยของชาติ มีการแทรกแซงกระบวนการตุลาการ ที่สำคัญ นายกรัฐมนตรีไม่ให้ความสำคัญกับสถาบัน เพราะไม่ได้นำเหล่าทัพเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณ แต่ดันไปพูดที่ตลาดหลักทรัพย์ แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าเคารพสถาบันได้อย่างไร
ด้าน นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อภิปรายว่า ข้อมูลที่นายจตุพร พูดเป็นเรื่องเก่า ไมมีความจริง เป็นเรื่องเท็จ ไม่ได้เป็นอย่างที่กล่าวหา เช่น กรณีเขาพระวิหาร ที่มีการกล่าวหาว่ากัมพูชาตัดถนนเรียบร้อยแล้ว รัฐบาลขายชาติ แต่ความจริงที่เกิดขึ้น ไม่ได้เป็นไปตามข้อกล่าวหา เพราะนายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงไปแล้ว ว่า สภาพในพื้นที่เป็นของชุมชน เป็นตลาด มีการมาก่อสร้างถนนและวัดจริงๆ แต่เราพยายามคืนสภาพพื้นที่จริงๆ ด้วยการเจรจา รัฐบาลจะรักษาผลประโยชน์และอธิปไตยของชาติ รัฐบาลไม่เคยขายชาติอย่างที่กล่าวอ้าง กรณีรับงาช้างเถื่อนจากบุรีรัมย์ ยืนยันว่า นายกฯได้ปฏิบัติตามระเบียบของ ป.ป.ช.โดยการคืนกลับไปแล้ว ที่สำคัญ ประเด็นรัฐบาลไม่จริงใจการปฏิรูปการเมือง โดยการซื้อเวลา ขอยืนยันว่า กระบวนการปฏิรูปการเมืองเป็นหนึ่งในนโยบายของรัฐบาล จนเกิดการประชุมในครั้งนี้ เพื่อสร้างความสามานฉันท์ แต่ที่ผ่านมา ในช่วงเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ได้มีการสร้างความวุ่นวายเสียหายในประเทศ ซึ่ง นายจตุพร ก็รวมอยู่ในกลุ่มคนที่สร้างความวุ่นวายด้วย
ส่วน พ.ร.บ.ความมั่นคง ไม่แน่ใจว่า นายจตุพร พูดในฐานะ ส.ส.หรือแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมกันแน่ การประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคง ไม่ใช่อยู่ว่ารัฐบาลจะประกาศ แต่เกิดจาการสอบถามฝ่ายข่าว ว่า จะมีการชุมนุม ทั้งหมดรู้อยู่แก่ใจว่า เพราะเป็นไปหลังประกาศ พ.ร.บ.แล้วจึงไม่มาชุมนุม ส่วนการชุมนุมวันที่ 19 ก.ย.นี้ รัฐบาลรู้ดีว่ากลุ่มผู้ชุมนุมต้องการจะทำอะไร จึงต้องประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง เพื่อป้องกันกลุ่มการเมืองฉกฉวยโอกาสเพื่อสร้างสถานการณ์ ซึ่งรัฐบาลได้ประเมินด้วยความรอบคอบแล้ว โดยในวันที่ 19 ก.ย.มีความพยายามขยายเหตุการณ์ให้บานปลายออกไป ซึ่งหากการชุมนุมได้ก่อให้เกิดเหตุวุ่นวาย พ.ร.บ.ความมั่นคง จึงเป็นเครื่องมือในการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุขึ้น
นายสาทิตย์ กล่าวว่า ส่วนการกล่าวหาสถาบันตุลาการเข้ามาเกลือกกลั้วการเมือง ความจริงรัฐบาลไม่เคยแทรกแซงกระบวนการตุลาการเลย ผิดกับในอดีตที่ทุกคนก็รู้ดี แต่ทำไมไม่ถามความคืบหน้าคดีบุกบ้าน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ หรือแม้แต่คดีของ นายจักรภพ เพ็ญแข ส่วนการถวายสัตย์ปฏิญาณในวันที่ 19 พ.ค.2552 นั้น นายกรัฐมนตรีจะมาชื้แจง แต่อยากเรียนว่า ไม่เคยมียุคไหนที่สถาบันถูกจาบจ้างเหมือนกับช่วงนี้ จนรัฐบาลต้องตามไปปิดวิทยุ และเว็บไซต์ที่จาบจ้วงสถาบัน ดังนั้น จึงไม่อยากให้เอาเรื่องเท็จมาพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ขณะที่ นายจตุพร กล่าวว่า เมื่อพูดถึงเหตุการณ์ความวุ่นวายในช่วงสงกรานต์ ทำไมรัฐบาลไม่ยอมพูดเรื่องรถแก๊สว่ามาจากไหน และยืนยันว่า นายกรัฐมนตรีไม่ได้อยู่ในรถ ที่พูดมาทั้งหมดเป็นความจริง เพราะเรามีหลักฐานชัดว่านายกฯไม่อยู่ในรถ
ส่วน นายสาทิตย์ ยืนยันว่า นายกรัฐมนตรีอยู่ในรถอย่างแน่นอน และหากใครต้องการทราบในวันที่ 18 ก.ย.นี้จะนำภาพมายืนยัน อีกครั้ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้น นายจตุพร พยายามใช้สิทธิ์ในการชี้แจง เพื่อยืนยันว่า นายกฯไม่ได้อยู่ในรถจริง และพยายามชี้แจงถูกกล่าวหาร่วมการชุมนุมเหตุการณ์สงกรานต์ แต่ปรากฏว่า นายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา ไม่อนุญาตให้ชี้แจง และขอให้ทุกฝ่ายได้ยุติ เพราะเกรงจะเกิดภาพความไม่สมานฉันท์ในสภา