ทำไม จึงยากเย็นเหลือเกิน สำหรับ การแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ( ผบ.ตร.) คนใหม่
เลื่อนมาแล้วครั้งหนึ่ง เมือวันที่ 20 สิงหาคม เพราะคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติบางคน ตั้งแง่ ว่า ควรจะให้รองฯทั้ง 9 คนได้แสดงวิสัยทัศน์ด้วย ไม่ใช่ เสนอแต่ พลตำรวจเอกปทีป ตันประเสริฐ จเรตำรวจ เข้ามาเพียงคนเดียว ทั้งๆที่เป็นอำนาจตามกฎหมายของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน กตช. ที่จะเสนอชื่อ ผู้ที่เหมาะสมเพียงคนเดียว ให้ กตช. เห็นชอบ
นายอภิสิทธิ์จึงต้องถอย ตามบุคลิกที่ไม่ต้องการจะแตกหัก ถ้าไม่จำเป็น และไม่ต้องการตกหลุมฝ่ายที่ต้องการดันพลตำรวจเอกจุมพล มั่นหมาย ขึ้นมาชิงตำแหน่ง โดยให้ ก.ต.ช. ลงคะแนนโหวต เลื่อนการแต่งตั้ง ก.ต.ช. คนใหม่ออกไป
ท่ามกลางข่าวลือ ข่าวปล่อยว่า มี “ข้อมูลใหม่” ที่ ก.ต.ช. ปฏิเสธไม่ได้ ท่ามกลางการเสียดสี เย้ยหยัน จากสื่อมวลชนว่า ไม่มีภาวะผู้นำ ไม่เด็ดขาด เป็นเด็กดื้อ เอาแต่ใจตัวเอง ไม่ฟังผู้ใหญ่ในพรรค เชื่อแต่แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ฯลฯ
นายอภิสิทธิ์ ใช้เวลาหลังจากวันนั้น ตรวจสอบ “ข้อมูลใหม่” ว่ามีจริงหรือไม่ ทำความเข้าใจกับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ที่มีข่าวว่า ต้องการให้ พลตำรวจเอกจุมพล ขึ้นเป็น ผบ.ตร. เพราะเชื่อข้อมูลใหม่เหมือนกัน แล้วก็เรียกประชุม ก.ต.ช. อีกครั้ง เมื่อวานนี้ เพื่อเสนอชื่อ ผบ.ตร.คนใหม่
แต่แล้วก็ต้องเลื่อนออกไปอีก หลังจากใช้เวลาประชุมไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เหตุผลของการเลื่อนตามที่นายอภิสิทธิ์แถลงด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ก็คือ เพื่อต้องการให้มีเอกภาพ เพื่อประสิทธิภาพ เพื่อความเรียบร้อย
ก.ต.ช. คนไหนแตกแถว ใครไม่เป็นเอกภาพกับใคร หรือว่า นายอภิสิทธิ์ ต้องการให้มติเห็นชอบ ให้ พลตำรวจเอกปทีป เป็น ผบ.ตร. ออกมาเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 ไม่ใช่ 5 ต่อ 4 หรือ 6 ต่อ 3 สุดจะคาดเดาได้
การแต่งตั้ง ผบ.ตร.ครั้งนี้ มีความสำคัญกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เพราะเป็นการเริ่มต้นจัดระเบียบตำรวจกันใหม่ หลังจากที่ถูกตัดต่อให้กลายเป็น กลไกรับใช้ระบอบทักษิณ มานานถึง ห้าหกปี ใครจะมาเป็น ผบ.ตร.คนใหม่ เป็นเงื่อนไขที่จะกำหนดว่า นโยบาย สมานฉันท์ และการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ ของนายอภิสิทธิ์ จะเป็นจริงหรือไม่
เพราะตำรวจคือ ผู้ใช้กฎหมาย ที่ใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด ถ้าตำรวจทำหน้าที่ของตนอย่างตรงไปตรงมา พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างแท้จริง สังคมก็จะสงบสุข แต่ถ้าตำรวจรับใช้นักการเมือง ทำทุกอย่างเพื่อแลกกับตำแหน่ง และผลประโยชน์ อย่างที่ผ่านมา บ้านเมืองก็จะเป็นอยู่อย่างที่เป็นในตอนนี้ เพราะตำรวจไม่รักษากฎหมายเสียเอง
ผบ.ตร. คนใหม่ จะเป็นใคร ยังมีความสำคัญต่อ ชะตากรรมของ นช.ทักษิณ ชินวัตร ด้วย เพราะเป็นขุมกำลังสุดท้ายที่เหลืออยู่ เขาจึงต้องดิ้นรนอย่างเต็มที่ เพื่อให้คนของตัว ขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ให้ได้
ใครจะมาเป็น ผบ.ตร.คนใหม่ จึงมีความสำคัญต่อบ้านเมืองยิ่ง พลตำรวจเอกปทีป อาจจะไม่ใช่ตัวเลือกผู้ที่เหมาะสมที่สุด แต่ ก็ “เหมาะสมกับสถานการณ์” ตามสเปกของนายอภิสิทธิ์ เพราะหลุดจา กพลตำรวจเอกปทีปไปแล้ว ผู้ที่อยุ่ในข่ายก็มีแต่ พี่เมียของ นช. ทักษิณ คือ พลตำรวจเอก เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ และเพื่อนคือ พลตำรวจเอกจุมพล กับ พลตำรวจเอกวงกต มณีรินทร์
การแต่งตั้ง ผบ.ตร. คนใหม่ครั้งนี้ จึงยากเย็นเหลือเกิน เพราะเป็นการช่วงชิงกันระหว่าง ฝ่ายที่ต้องการนำความสงบสุขมาสู่สังคม กับฝ่ายที่กำลังดื้นรนเฮือกสุดท้าย
นายอภิสิทธิ์ ไม่ได้ต้องการผลักดันให้ พลตำรวจเอกปทีป เป็น ผบ.ตร. เพื่อพิสูจน์ภาวะผู้นำของตน เพราะเรื่องนี้ ได้พิสูจน์มาแล้ว แต่เป็นการตัดสินใจเพื่อบ้านเมืองในวันข้างหน้า เราจึงต้องให้กำลังใจกับนายอภิสิทธิ์ ให้ นายอภิสิทธิ์ สู้ๆ อย่ายอมแพ้
สำหรับตำแหน่ง ผบ.ตร. คนใหม่นั้น ถ้ายังไม่ได้ตัวภายในวันที่ 30 กันยายนนี้ ก็เลื่อนไปเรื่อยๆ เพราะสามารถตั้งคนที่นายอภิสิทธิ์ เห็นว่า เหมาะสม เป็นผู้รักษาการ ที่มีอำนาจเหมือน ผบ. ตร.ทุกอย่าง
ไม่มีใครเดือดร้อนหรอก ถ้ายังไม่มี ผบ.ตร.คนใหม่ จะมีก็แต่พวกวิ่งเต้นซื้อตำแหน่ง ที่วางมัดจำ จ่ายเงินล่วงหน้าไปแล้ว ไม่รู้จะได้เงินคืนหรือเปล่า