xs
xsm
sm
md
lg

“ป๊อด” ดิ้นพึ่งศาลปกครอง ตามรอยหายนะ “โอ๋ สืบ 6”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พัชรวาท วงษ์สุวรรณ
“เรื่องมันฟ้อง” โดย กรงเล็บ

เห็นข่าวว่า พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. เตรียมจะเดินรอยตาม พ.ต.อ.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ หรือ ฤทธิรงค์ เทพจันดา หรือที่รู้จักกันดีในนาม

“โอ๋ สืบ 6”


ด้วยการยื่นฟ้องต่อ “ศาลปกครอง” โต้แย้งคำวินิจฉัยของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.แล้วไม่รู้สึกแปลกใจ

เพราะคนประเภทเดียวกันก็มักเดินตามรอยเดียวกันเสมอ เมื่อถูกชี้มูลว่าประพฤติชั่วเหมือนกัน ก็เป็นธรรมดาที่จะดิ้นรนด้วยวิธีเดียวกัน

ต้องบอกว่า ไม่ฉลาดเลย!!!


นอกจากไม่ฉลาดแล้วยังต้องบอกว่า ข้อมูลล้าหลังค่อนข้างมาก เพราะถ้าคิดจะหยิบเอาแนวทางของ “โอ๋สืบ 6” มาใช้ ก็ควรตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ชัดเจนว่า ตกลงแล้วมันได้ผล หรือกำลังพังพาบ

“โอ๋สืบ 6” ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดวินัย ฐานจงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบ ฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ฐานกระทำการหรือละเว้นกระทำการใด ๆ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ทางราชการอย่างร้ายแรง ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 มาตรา 79 (2) (5) (9)

และมีมติให้ส่งเรื่องให้ ผบ.ตร.ดำเนินการตามวินัยตามกฎหมาย ป.ป.ช.มาตรา 92 พร้อมส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดดำเนินคดีอาญาตามกฎหมาย ป.ป.ช.มาตรา 97 เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2550 จากกรณีที่ปล่อยลิ่วล้อทำร้ายร่างกายกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ไปชุมนุมขับไล่ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” ที่หน้าเซ็นทรัลเวิลด์

โดยหลังจากที่ ป.ป.ช.มีมติดังกล่าวทางผู้บัญชาการสำนักงานนิติวิทยาศาสตร์ตำรวจที่ 2 (ในฐานะผู้บังคับบัญชา) ก็ได้มีคำสั่งที่ 17/2550 ลงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2550 ลงโทษ “โอ๋ สืบ 6” ให้ออกจากราชการและมีคำสั่งที่ 165/2550 ลงวันที่ 1 ตุลาคม 2550 ปลด “โอ๋ สืบ 6” ออกจากราชการ

“โอ๋ สืบ 6” ดิ้นสุดฤทธิ์

ด้วยการยื่นขออุทธรณ์กับ คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ กตร. แต่ กตร.มีมติในการประชุมครั้งที่ 27/2550 วันที่ 30 สิงหาคม 2550 ไม่พิจารณาอุทธรณ์ในเรื่องดังกล่าว (ศาลอาญามีคำพิพากษา วันที่ 23 พ.ค. 51 จำคุก “โอ๋ สืบ 6” 2 ปี ปรับ 1 หมื่นบาท โดยโทษจำคุกให้รอลงอาญา)

ประเด็นอยู่ที่ว่าเมื่อ “โอ๋ สืบ 6” ถูกปลดออกจากราชการ ก็ยังดิ้นรนหนีความผิดต่อ ด้วยการยื่นฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งทั้งหมด โดยถ่อไปฟ้องถึง

“ศาลปกครองเชียงใหม่”


ทั้งที่ไม่ปรากฏว่ามีพื้นเพอยู่ที่จังหวัดดังกล่าว จะเป็นเพราะว่ามี “พ่อบุญธรรม” เป็นคนเชียงใหม่หรือเปล่าก็ไม่รู้?

การฟ้องคดีครั้งนั้นศาลปกครองชั้นต้น (เชียงใหม่) ได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2551 พิพากษาเพิกถอนคำสั่งสำนักงานนิติวิทยาศาสตร์ตำรวจที่ 165/2550 เรื่องลดโทษจากไล่ออกจากราชการเป็นลงโทษปลดออกจากราชการลงวันที่ 1 ตุลาคม 2550 และให้มีผลย้อนหลังไปตั้งแต่วันออกคำสั่ง

ทำให้ “โอ๋ สืบ 6” ได้กลับเข้ารับราชการตำรวจอีกครั้ง!!!

นอกจากนี้ ผลแห่งคำพิพากษาดังกล่าวแม้จะไม่รับคำขอที่ให้เพิกถอนมติ ป.ป.ช. แต่ในรายละเอียดของคำพิพากษากลับวินิจฉัยว่า มติของ ป.ป.ช.ที่ชี้มูลความผิดทางวินัยผู้ฟ้องคดี ไม่เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ และไม่มีผลบังคับให้สำนักงานนิติวิทยาศาสตร์ตำรวจและคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ ต้องพิจารณาโทษ “โอ๋ สืบ 6”

ก็เท่ากับว่า เป็นการเป็นการเพิกถอนมติของ ป.ป.ช.ไปโดยปริยาย

คำถามคือ ศาลปกครอง มีอำนาจหน้าที่ในการเพิกถอนคำสั่งของ ป.ป.ช.ด้วยหรือ เพราะคำวินิจฉัยของ ป.ป.ช.ไม่ใช่คำสั่งทางปกครอง เพียงแต่มีผลทำให้หน่วยงานต่างๆ ที่เป็นต้นสังกัดของผู้กระทำความผิดไปดำเนินการลงโทษตามมติ ป.ป.ช.เท่านั้น

ที่สำคัญคือ ถ้าคดีที่ ป.ป.ช.มีมติไปแล้วถูกยกเลิกได้โดยศาลปกครอง ดุลอำนาจในการตรวจสอบของ ป.ป.ช.ย่อมเสียไป มติ ป.ป.ช.ย่อมขาดความศักดิ์สิทธิ์

แล้วใครหน้าไหน จะให้ความยำเกรงกับองค์กรอิสระหน่วยงานนี้?

อย่างไรก็ดี ป.ป.ช.ไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป โดยได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด มี “จรัล หัตถกรรม” ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองสูงสุด เป็นตุลาการเจ้าของสำนวน ร่วมกับตุลาการศาลปกครองสูงสุดอีก 4 คน ซึ่งก็ได้มีคำพิพากษาลงวันที่ 17 กรกฎาคม 2552 กลับคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น (ศาลปกครองเชียงใหม่) และให้มีการพิพากษาคดีใหม่โดยเปลี่ยนองค์คณะพิจารณาคดีใหม่ทั้งหมด


“ศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า เมื่อคดีปรากฏเหตุว่า ข้อเท็จจริงที่ศาลปกครองชั้นต้นฟังมาไม่พอแก่การวินิจฉัยชี้ขาดคดี และศาลเห็นว่ามีเหตุอันสมควร ศาลมีอำนาจกำหนดให้ศาลปกครองชั้นต้น ซึ่งประกอบด้วยตุลาการศาลปกครองชั้นต้นอื่นที่มิใช่องค์คณะเดิม เป็นองค์คณะพิจารณาคดีนี้ใหม่ ทั้งนี้ตามข้อ 112 วรรค 1 (3) แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2543

จึงมีคำสั่งกลับคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น เป็นให้รับคำขอพิจารณาพิพากษาคดีใหม่ของผู้ร้องไว้พิจารณา และดำเนินกระบวนการพิจารณาต่อไปตามรูปคดี โดยองค์คณะใหม่ของศาลปกครองชั้นต้น”

ถ้าพิจารณาระหว่างบรรทัดจากคำสั่งของศาลปกครองสูงสุดจะเห็นว่า องค์คณะศาลปกครองเชียงใหม่ที่พิจารณาให้ “โอ๋ สืบ 6” ชนะคดี จนได้กลับไปสวมเครื่องแบบตำรวจอีกครั้ง

“น่าจะมีปัญหา”

และศาลปกครองสูงสุดก็เล็งเห็นถึงประเด็นนี้ จึงได้มีคำสั่งให้เปลี่ยนองค์คณะใหม่ทั้งหมด


ขอบคุณศาลปกครองสูงสุดที่ยังสถิตไว้ซึ่งความยุติธรรม สมกับการเป็น“ผู้พิพากษาตัดสินคดีในพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์” ไม่ให้สถาบันศาลปกครองต้องหลงแปดเปื้อนเป็นเครื่องมือของคนบางกลุ่ม ที่อ้างเอาคำตัดสินคดี ฟอกให้ตนพ้นผิด

วันนี้คำตัดสินที่มองว่าน่าจะมีปัญหาของศาลปกครองเชียงใหม่ ก็ได้รับการชำระสะสางจากตุลาการศาลปกครองสูงสุดแล้ว

แต่การที่ “พล.ต.อ.พัชรวาท” ยังพยายามจะดิ้นรนหนีความผิดของตัวเอง ด้วยการใช้แนวทางเดียวกับ “โอ๋ สืบ 6” ก็ต้องถามว่า ผ่านเหตุการณ์มามากขนาดนี้ไม่ทำให้สำนึกถึงความผิด ชอบ ชั่ว ดี บ้างเลยหรือ

หยุดการกระทำที่น่าละอายของตัวเองได้แล้ว ก่อนจะไม่มีที่ยืน!

โอ๋ สืบ6
กำลังโหลดความคิดเห็น