xs
xsm
sm
md
lg

ขรก.หัวไบรต์เฮ!! ต่ออายุหลังเกษียณ เลขาฯ สภาพัฒน์ซูเปอร์แมน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ครม.ไฟเขียวกฎ ก.พ.ให้คนอายุ 60 ปีบริบูรณ์ ระดับเชี่ยวชาญ-อาวุโสทักษะพิเศษ ทำงานต่อ มีผลต่อราชการทั่วประเทศปีหน้า เลขาฯ สภาพัฒน์-ปลัด สธ.เข้าข่าย “ซูเปอร์แมน” เด็ก “กรณ์” ผงาด!! คุมกรมศุลฯ

วันนี้ (8 ก.ย.) นพ.ภูมินทร์ ลีธีระประเสริฐ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ครม.อนุมัติร่างกฎ ก.พ.ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญ ซึ่งมีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์รับราชการต่อไป พ.ศ.... โดยสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ได้พิจารณาเห็นชอบในหลักเกณฑ์และวิธิการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญ ซึ่งมีอายุครบ 60 ปี บริบูรณ์รับราชกาiต่อไปแล้วเมื่อวันที่ 27 เม.ย.52 และนำร่างกฎ ก.พ.ซึ่งออกตามหลักเกณฑ์และวิธีการดังกล่าว อ.ก.พ.วิสามัญเกี่ยวกับกฎหมายและระเบียบข้าราชการพิจารณาแล้ว

ทั้งนี้ สาระสำคัญของร่างกฎ ก.พ.ประกอบด้วย 1.กำหนดให้ข้าราชการพลเรือนสามัญซึ่งมีอายุ 60 ปีบริบูรณ์ และดำรงตำแหน่งตามกำหนดรับราชการต่อไปได้ 2.กำหนดระยะเวลาการให้รับข้าราชการต่อไป และหากครบกำหนดระยะเวลาดังกล่าว ให้สั่งให้ผู้นั้นพ้นจากตำแหน่งโดยกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการ หากความจำเป็นที่ให้ผู้นั้นรับราชการต่อไปหมดลงก่อนครบกำหนดระยะเวลา จะสั่งให้ผู้นั้นพ้นจากข้าราชการตามกฎหมายว่าด้วย บำเหน็จบำนาญก็ได้ แต่ต้องแจ้งให้ผู้นั้นทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน

3.กำหนดรายะเอียดข้อมูล ซึ่งส่วนราชการต้องจัดทำในกรณีมีความจำเป็นที่จะให้ข้าราชการพลเรือนสามัญซึ่งจะมีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ รับราชการต่อไปเมื่อสิ้นปีงบประมาณ 4.กำหนดหลักเกณฑ์ของข้าราชการพลเรือนสามัญซึ่งมีอายุครบ 60 ปี บริบูรณ์ที่จะได้รับราชการต่อไปได้

5.กำหนดผู้มีอำนาจพิจารณาการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับราชการต่อไป กรณีตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับเชี่ยวชาญ หรือระดับผู้ทรงคุณวุฒิให้ ก.พ.กระทรวงเป็นผู้พิจารณา ส่วนกรณีตำแหน่งประเภททั่วไป ระดับอาวุโส หรือระดับทักษะพิเศษ ให้ อ.ก.พ.กรมเป็นผู้พิจารณา โดยให้ส่วนราชการดำเนินการเรื่องดังกล่าวภายในเดือนมีนาคมของปีงบประมาณ ที่ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้นั้นจะมีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ และให้ อ.ก.พ.กระทรวงหรือ อ.ก.พ.กรมพิจารณาข้อเสนอของส่วนราชการให้เสร็จสิ้นภายในเดือนมิถุนายนของปีงบประมาณนั้น ซึ่งมีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ในปีงบประมาณ 2552

6.กำหนดให้ผู้มีอำนาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 มีคำสั่งให้ข้าราชการพลเรือนสามัญ ผู้ได้รับความเห็นชอบจาก อ.ก.พ.กระทรวง หรือ อ.ก.พ.กรม แล้วแต่กรณีให้รับราชการต่อได้ และให้ส่งสำเนาคำสั่งให้สำนักงาน ก.พ.และกรมบัญชีกลางทราบเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้กรณีการสั่งให้รับราชการต่อไปเป็นครั้งแรกให้มีคำสั่งภายในวันที่ 30 กันยายน ของปีงบประมาณที่ผู้นั้นมีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ และ7.กำหนดให้ข้าราชการพลเรือนสามัญ ซึ่งได้รับราชการต่อไปตามกฎ ก.พ.นี้จะต้องดำรงตำแหน่งและปฏิบัติหน้าที่เฉพาะตำแหน่งที่ได้รับราชการต่อไปเท่านั้น

รายงานข่าวแจ้งว่า หลังจากที่กฎ ก.พ.ดังกล่าว ประกาศใช้จะครอบคลุมไปถึงข้าราชการประเภทวิชาการ ระดับเชี่ยวชาญ หรือระดับผู้ทรงคุณวุฒิ และประเภททั่วไป ระดับอาวุโส หรือระดับทักษะพิเศษ ซึ่งตำแหน่งดังกล่าว ส่วนใหญ่ ครอบคลุมระดับ ปลัดกระทรวง รองปลัดกระทรวง เลขาธิการ หรือผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นต้น

ขณะเดียวกัน เมื่อดูอายุราชการของผู้ที่คาดว่าจะได้ทำงานต่อไป เช่น นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการสภาพัฒน์ หรือ นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น

แหล่งข่าวระบุว่า ข้าราชการที่เข้าข่ายจะได้ต่ออายุการทำงานจาก 60 ปีส่วนใหญ่ เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถในด้านนั้นๆ อย่างมาก เหมือนกับผู้ที่มีความรอบรู้ในชั้นสูงมากๆ หรือคล้ายๆกับเป็นซุปเปอร์แมนในเรื่องนั้นๆ หรือ เป็นคนที่หัว Bright เฉียบแหลม ฉลาดในเรื่องนั้น

ด้าน นายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกฯ กล่าวว่า ครม.เห็นชอบกระทรวงการคลังเสนอ โดยแต่งตั้งให้นายนริศ ชัยสูตร ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงการคลัง นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) มาเป็นอธิบดีกรมศุลกากร แทนนายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ ที่เกษียณอายุราชการ นายอารีพงศ์ ภู่ชะอุ่ม ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) มาเป็นอธิบดีกรมสรรพสามิต แทนนางสิรินุช พิศลยบุตร ที่เกษียณอายุราชการ

แต่งตั้งนายพงษ์ภาณุ เศวตรรุนทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมบัญชีกลาง แทนนายปิยพันธ์ นิมมานเหมินท์ ที่เกษียณอายุราชการ น.ส.สุภา ปิยะกิตติ รองปลัดกระทรวงการคลัง มาเป็น ผู้อำนวยการ สคร. นายสาธิต รังคะสิริ รองปลัดกระทรวงการคลัง มาเป็น ผู้อำนวยการ สศค. และนางเสาวนีย์ กมลบุตร ผู้ตรวจราชการกระทรวง มาเป็นรองปลัดกระทรวง สำหรับในส่วนของกรมสรรพากร และกรมธนารักษ์นั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลง

รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับนายสมชัยซึ่งขึ้นมาดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมศุลกากรนั้น มีความสนิทสนมกับนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง มากกว่านายนริศ ชัยสูตร ซึ่งก็มีแคนดิเดตที่จะนั่งตำแหน่งดังกล่าว แต่นายนริศนั้นมีความสนิทสนามกับนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลังมากกว่า จึงได้เลื่อนจากผู้ตรวจกระทรวฯ มานั่งรองปลัดฯ แทนที่จะได้มานั่งกรมที่กำกับเรื่องภาษีอย่างกรมศุลกากร
กำลังโหลดความคิดเห็น