กกต.ยอมรับผลสอบอนุฯ ไต่สวนเหตุ 44 ส.ส.ถือครองหุ้นมีความชัดเจนและใช้หลักการเดียวกับการลงมติ 13 ส.ส.ปชป.ไปก่อนหน้านี้ เตรียมตั้งอนุ กก.สอบ ปธ.วุฒิฯ กรณีดึงเรื่องการสิ้นสภาพ 16 ส.ว.ถือครองหุ้นส่งศาล รธน.
วันนี้ (2 ก.ย.) ก่อนการประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ กกต.กล่าวถึงการพิจารณาการถือครองหุ้นของ 44 ส.ส.ว่า หลังจากการที่ กกต.ให้คณะอนุกรรมการไต่สวนไปดำเนินการจัดแยกกลุ่มบริษัทที่คณะอนุกรรมการไต่สวน 44 ส.ส.ส่งมาแล้วเห็นว่ายังมีบริษัทที่มีปัญหาความเห็นไม่ตรงกับ กกต.ที่เคยพิจารณาลงมติการถือครองหุ้นของ 16 ส.ว.และ 13 ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ไปแล้ว ซึ่งมีอยู่ 18 บริษัท ทางคณะอนุกรรมการไต่สวนชุดนี้เห็นว่า มีบริษัทที่เข้าลักษณะต้องห้ามเพิ่มเติมอีก 11 บริษัท ซึ่งใน 11 บริษัทนี้มีบางบริษัทที่ กกต.ได้ยกคำร้องไปแล้ว ดังนั้น หาก กกต.ยึดมาตรฐานเดิม ก็จะมีบริษัทต้องห้ามประมาณ 20 บริษัท ซึ่งทาง กกต.จึงได้ให้ไปจัดแยกประเภท โดยยึดหลักที่กกต.เคยพิจารณาไปแล้ว ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 1 ก.ย.ที่ผ่านมาทางคณะอนุกรรมการไต่สวน ได้มอบสำนวนที่ได้มีการจัดแยกประเภทบริษัทใหม่เสนอให้กับประธานกกต.แล้ว ซึ่งก็ได้แจกจ่ายให้กับ กกต.นำไปศึกษา แต่นายสมชัย จึงประเสริฐ และนางสดศรี สัตยธรรม กกต.ทั้ง 2 คนเพิ่งเดินทางกลับมาจากดูงานการเลือกตั้ง ที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อคืนที่ผ่านมา จึงยังไม่ได้รับสำนวนนำไปศึกษา ดังนั้น ตนจึงยังไม่สามารถยืนยันได้ว่า วันนี้จะลงมติได้ตามที่ได้นัดไว้หรือไม่ เบื้องต้นเท่าที่เห็นสำนวนแล้วพบว่ามีความชัดเจนมากขึ้น
ส่วนกรณีนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา ยื่นคำร้องให้ตรวจสอบนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ที่ยังไม่ยอมส่งเรื่องการพิจารณา 16 ส.ว.ขาดคุณสมบัติให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า เรื่องดังกล่าวต้องเป็นไปตามมาตรา 91 วรรค 3 ที่ระบุว่า ในกรณีที่ กกต.เห็นว่าสมาชิกภาพของ ส.ส.หรือ ส.ว.คนใดคนหนึ่งมีเหตุสิ้นสุดลง ต้องส่งเรื่องไปยังประธานสภาที่ผู้นั้นเป็นสมาชิก และให้ประธานแห่งสภานั้นส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย แต่มาถึงขณะนี้ยังไม่มีการดำเนินการ แถมยังมีการประชุมให้ยุติเรื่องรอให้ศาลปกครองมีคำสั่งออกมาเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งก่อน ซึ่งนายเรืองไกรเห็นว่าเป็นการดำเนินการที่ผิดขั้นตอน จึงยื่นเรื่องร้องเรียนมาที่ กกต. ซึ่งตนจะนำเรื่องดังกล่าวเข้าที่ประชุม เพื่อให้ กกต.ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนขึ้นมาตรวจสบว่า เรื่องดังกล่าวอยู่ในอำนาจหน้าที่ที่ กกต.สามารถดำเนินการได้หรือไม่ หรือจะดำเนินการวิธีใด
