"ฝั่งขวาเจ้าพระยา"
โดย โชกุน
ต่อไปนี้ คนญี่ปุ่น ถ้ามีลูก รัฐบาลจะจ่ายเงินให้เดือนละ 275 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 10,000 บาท ต่อคน
นี่คือ หนึ่งในคำมั่นที่นายยูกิโอะ ฮาโตยามา ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของญี่ปุ่น สัญญาว่าจะให้ตอนหาเสียง เพื่อเป็นแรงจูงใจให้คนญี่ปุ่นมีลูกกันมากๆ เพราะว่าสังคมญี่ปุ่นกำลังก้าวเข้าสู่ สังคมของคนชราภาพ ซึ่งจะเป็นภาระในเรื่องการเลี้ยงดู ในอนาคต และทำให้ขาดแคลนคนรุ่นใหม่ที่จะเป็นกำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
นายฮาโตยามา ยังมีนโยบายเพิ่มสวัสดิการของประชาชนอีกหลายอย่าง เช่น เพิ่มงบประมาณด้านการรักษาพยาบาล ให้ความช่วยเหลือเด็กๆมากขึ้น และอุดหนุนชาวนาชาวไร่
เป็นนโยบายประชานิยมแบบ “ ประชาชนต้องมาก่อน” ในเวอร์ชั่นของนักการเมืองวัย 62 ปี จากเกาะฮอกไกโดคนนี้
พรรคเสรีนิยมประชาธิปไตย หรือ แอลดีพี ครองอำนาจมายาวนาน ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จัดเป็นพรรคการเมืองที่มีแนวคิดอนุรักษ์นิยม เป็นพรรคของกลุ่มทุนใหญ่ มีนโยบายเอื้อประโยชน์ สนับสนุนกลุ่มธุรกิจ อุตสาหกรรม โดยมีระบบราชการเป็น ผู้นำ ประเทศตัวจริง เพราะเป็นผู้วางแผน และขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนา
โครงสร้างความสัมพันธ์แบบสามเส้า คือ พรรคแอลดีพี - กลุ่มทุนใหญ่ และระบบราชการ เป็นโมเดล กู้ชาติ หลังแพ้สงคราม ที่ประสบความสำเร็จ ญี่ปุ่นก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจหมายเลข 2 ของโลก ด้วยยุทธศาสตร์ที่พึ่งการส่งออกเป็นเครื่องจักรหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
เมื่อเกิดวิกฤติฟองสบู่ ในทศวรรษ 1990 โครงสร้างความสัมพันธ์แบบนี้ ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เพราะเป็นโครงสร้างแบบอุปถัมภ์ รัฐบาลไม่กล้าผ่าตัด – ยกเครื่อง ระบบการเงินที่มีหนี้เสียสูงมาก เพราะเป็นเครือข่าย ผลประโยชน์เดียวกัน ได้แต่ซุกปัญหาไว้ใต้พรม อัดฉีดเงินเข้าไป โดยหวังว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ก็ไม่เป็นผล
เศรษฐกิจญี่ปุ่น จึงอยู่ในสภาพซบเซามากว่า สิบปีแล้ว อัตราการว่างงานสูงเกินกว่า 5 % คนไร้บ้าน ที่อาศัยนอนตามสวนสาธารณะ สถานีขนส่ง ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน เป็นภาพที่พบเห็นได้ทั่วไป เมื่อเกิดวิกฤติการเงินโลก รอบใหม่ปีที่แล้ว ปัญหายิ่งเลวร้าย ญี่ปุ่นอยู่ได้เพราะการส่งออก แต่วิกฤตที่เกิดขึ้น ทำให้การส่งออกไปสหรัฐฯ ยุโรป และจีน หายไปเกือบครึ่งหนึ่ง
ปัญหาเหล่านี้ ทำให้ประชาชน เบื่อหน่าย พรรคแอลดีพี. และให้โอกาสกับพรรคประชาธิปไตย หรือ ดีพีเจ ของนายฮาโตยามา ด้วยชัยชนะ ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม คว้าเก้าอี้ในสภาล่างมาได้ 308 ที่นั่งจาก ทั้งหมด 480 ที่นั่ง ถือเป็นการเปลี่ยนขั้วอำนาจครั้งประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
พรรคดีพีเจ ยังครองเสียงข้างมากในสภาสูง จากการเลือกตั้งในเดือนกรกฎาคม ปี 2007 ทำให้ครองอำนาจได้อย่างเด็ดขาด
นายฮาโตยามา ประกาศว่า ชัยชนะของดีพีเจ คือ การสิ้นสุดของระบบการเมืองแบบเก่า ที่ ระบบราชการเป็นผู้บริหารประเทศตัวจริง ต่อไปนี้ จะต้องเอา ประชาชน เป็นศูนย์กลาง
ตระกูลฮาโตยามา เป็นตระกูลนักการเมือง เก่าแก่ของญี่ปุ่น เล่นการเมืองกันมา 4 ชั่วอายุคน ทวดของเขาเคยเป็นประธานสภาไดเอท ในสมัยเมจิ ปู่เคยเป็นนายกรัฐมนตรีคือ นายไอชิโร ฮาโตยามา ส่วนพ่อ เคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ซึ่งมีบทบาทในการรื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตกับรัสเซียในปี 1951 และเป็นการปูทางให้ญี่ปุ่นเข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติในเวลาต่อมา
แม่ของนายกฯญี่ปุ่นคนใหม่ คือ ยาซูโกะ เป็นลูกสาวของผู้ก่อตั้งบริษัทยางรถยนต์ บริดจ์สโตน เธอมีฉายาว่า “ก๊อดมาเธอร์” ในวงการการเมืองญี่ปุ่น เพราะเป็นสปอนเซอร์ ให้การสนับสนุนพรรคการเมืองในญี่ปุ่น รวมทั้ง ให้เงินนับพันๆล้านเยนกับลูกชาย เพื่อตั้งพรรคดีพีเจ เมื่อปี 1996 ด้วย
ถึงอย่างไร การเมืองญี่ปุ่น ก็ยังอยู่ใต้การครอบงำของทุนอยู่ดี แม้จะเป็นทุนของแม่ ประชาชนอาจจะมาก่อน แต่นักธุรกิจ มาได้ตลอดเวลา ยินดีต้อนรับเสมอ
นายฮาโตยามา ซึ่งจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยโตเกียว และสแตนฟอร์ด ก็เติบโตมาจากพรรคแอลดีพี เมื่อพรรคแตก ในปี 1993 เขาลาออกไปตั้งพรรคการเมืองใหม่ชื่อ New Party Sakigake และเข้าร่วมในรัฐบาลผสมของนายโฮโซกาวา แต่อยู่ได้เพียง 8 เดือนก็ล่ม เพราะข้อหารับเงินจากกลุ่มทุน พรรคแอลดีพี ได้กลับมามีอำนาจอีกครั้ง
นายฮาโตยามา กับน้องชาย ขอเงินแม่ไปตั้งพรรค ดีพีเจ ในปี 1996 แต่ต่อมาน้องชายก็กลับไปอยู่กับพรรคแอลดีพี เพราะเห็นว่า ดีพีเจ. เป็นซ้ายเกินไป ดีพีเจ. ควบรวมกับพรรคฝ่ายค้านอื่นๆในปี 1998 จนมีขนาดใหญ่ขึ้น นายฮาโตยามาได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรค และหัวหน้าฝ่ายค้านในสภาฯระหว่างปี 1999- 2002 ก่อนจะลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อข่าวลือว่า จะมีการรวมกับพรรคเสรีนิยม
เขาได้รับการเลือกตั้งจากพรรค ให้เป็นหัวหน้าพรรคดีพีเจ อีกครั้ง เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคมปีนี้ หลังจากนั้น นายทาโร อาโซะ นายกรัฐมนตรีก็ประกาศยุบสภาในวันที่ 21 กรกฎาคม
ในฐานะคนหน้าใหม่ เป็นธรรมดาที่นายฮาโตยามา จะถูกวิจารณ์ว่า ไม่มีประสบการณ์ในการบริหารประเทศมาก่อน เขาจึงถูกจับตามองว่า จะสามารถเปลี่ยนญี่ปุ่นให้ดีกว่า ตอนที่พรรคแอลดีพี.มีอำนาจหรือไม่