รองนายกฯด้านความมั่นคง ย้ำจำเป็นออก กม.ความมั่นคง รับมือชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดง 30 สิงหาฯ หวั่นซ้ำรอยพัทยา-เมษาฯ จลาจล-ทำผู้นำอาเซียนฯ ผวาไม่กล้ามาประชุมหัวหินตุลาฯฯนี้ ถลกหนังพฤติกรรมเสื้อแดง ส่งสัญญาณก่อเหตุรุนแรง ขณะที่ “วรพงษ์” ขู่แกนนำเคลื่อนขบวนปิดทำเนียบ ถอนประกันแน่
วันนี้ (28 ส.ค.) นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์รักษาความสงบเรียบร้อย พร้อมด้วย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ได้ร่วมกันแถลงข่าวถึงการประชุมกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน โดยมีการถ่ายทอดสดผ่านสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5
นายสุเทพ กล่าวว่า ขอชี้แจงเรื่องที่รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เพื่อป้องกันเหตุอันไม่พึงปรารถนา มันมีเหตุผล มันมีความจำเป็นที่รัฐบาลต้องดำเนินการอย่างนี้ เพราะได้เป็นที่ปรากฏชัดแล้วว่า การชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงที่พัทยา จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 10-11 เม.ย.และการก่อเหตุในลักษณะจลาจลในกรุงเทพมหานคร ช่วงวันที่ 12-14 เม.ย.นั้น ไม่ใช่การชุมนุมโดยสงบ เพื่อแสดงออกตามวิถีทางประชาธิปไตยอย่างที่ปฏิบัติ เป็นสากลในประเทศต่างๆ แต่เป็นการสร้างสถานการณ์ความวุ่นวายที่ส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน และกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ
นายสุเทพ กล่าวต่อว่า การประกาศชุมนุมวันที่ 30 ส.ค.ของคนกลุ่มนี้ที่เรียกว่า เป็นกลุ่มคนเสื้อแดง หรือ นปช.รัฐบาลได้ประเมินว่า อาจจะทำให้สถานการณ์ทางการเมืองตั้งแต่วันที่ 30 ส.ค.เป็นต้นไป เกิดความวุ่นวายในทางการเมืองขึ้นได้ เพราะบุคคลกลุ่มนี้ได้ประกาศปลุกระดมมวลชนให้เข้าร่วมการประท้วงและปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล รวมทั้งสถานที่สำคัญอื่นๆ โดยอ้างว่า ต้องการกดดันให้นายกฯยุบสภา ลาออก ดังที่เป็นข่าวปรากฎในสื่อมวลชนมาอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลเห็นว่า หากปล่อยให้มีการกระทำเช่นนี้เกิดขึ้น จะส่งผลกระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดิน กระทบต่อความเรียบร้อยของประเทศ ที่สำคัญจะกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้นำประเทศต่างๆ ที่กำลังจะเดินทางมาร่วมประชุมสุดยอดอาเซียนที่ไทยเป็นเจ้าภาพในช่วงเดือนตุลาคม
“รัฐบาลกังวลใจว่า อาจจะมีการสร้างสถานการณ์ที่รุนแรง กลายเป็นการก่อการความไม่สงบกระทบต่อภายในราชอาณาจักร ซึ่งจะส่งผลเสียหายใหญ่โตกับประเทศได้ ที่รัฐบาลประเมินเช่นนี้ เพราะได้สังเกตเห็นว่า กลุ่มคนเสื้อแดงได้ก่อเหตุความรุนแรง โดยจงใจบ่อยๆ ในระยะหลังๆ เช่น ที่จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 22 ส.ค.ที่มีการขว้างระเบิดปิงปองใส่คนกลุ่มอื่น รวมทั้งการะดมมวลชนที่จะต่อต้านการแสดงคอนเสริต์ของกลุ่มอื่น รัฐบาลมีหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง และเห็นว่า การใช้กฎหมายโดยปกติ ไม่เพียงพอที่จะป้องกันแก้ไขปัญหานี้ได้ เพราะเราเห็นแล้วว่า ในการที่คนกลุ่มนี้ได้ก่อเหตุขึ้นมาในครั้งก่อนๆ ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยกฎหมายปกติ รัฐบาลจึงจำเป็นต้องใช้อำนาจตามพรบ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เพื่อให้มีเครื่องมือที่เหมาะสม มีอำนาตพิเศษที่ทำให้สามารถควบคุมสถานการณ์รักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่ต้องประกาศไว้ก่อน เพราะรัฐบาลจำเป็นต้องเตรียมการไว้ล่วงหน้า ไม่ต้องการเสี่ยงต่อเหตุการณ์รุนแรงที่ฝ่ายผู้ชุมนุมอาจก่อให้เกิดขึ้น เพราะหากเกิดความรุนแรงขึ้น จะกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศอย่างหนักหน่วง ซึ่งขณะนี้สภาวะเศรษฐกิจของประเทศเริ่มฟื้นตัว หากเหตุการณ์บ้านเมืองสงบเรียบร้อยดี ทำให้การฟื้นตัวเศรษฐกิจของประเทศเป็นไปโดยรวดเร็ว ฉะนั้นรัฐบาลไม่อาจจะเสี่ยงรอจนเกิดเหตุรุนแรงขึ้น แล้วค่อนมาดำเนินการแก้ไข จำเป็นต้องเตรียมการต่างๆ ทั้งหลายเอาไว้ล่วงหน้าเพื่อเป็นการป้องกัน” นายสุเทพ กล่าว
รองนายกฯ กล่าวต่อว่า คณะรัฐมนตรีในการประชุมวันอังคารที่ 25 ส.ค.ที่ผ่านมา จึงได้มีมติประกาศเขตพื้นที่ เขตดุสิต กรุงเทพมหานครให้เป็นพื้นที่ตามพรบ.ความมั่นคงฯ การประกาศพื้นที่เหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงนี้มีผล ตั้งแต่วัที่ 29 ส.ค.-1 ก.ย.2552 เมื่อพ้นระยะเวลาที่ประกาศไปแล้วจะพิจารณาข้อเท็จจริงของสถานการณ์ ประเมินผลการดำเนินการ รายงานต่อ ครม.ให้ทราบ และรายงานต่อรัฐสภาต่อไป หลังจากที่มีการประกาศพื้นที่เหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงในเขตพื้นที่ดังกล่าว รัฐบาลได้ประกาศข้อกำหนดเพื่อเป็นการป้องกัน ควบคุม แก้ไขเหตุการณ์ในพื้นที่เขตดุสิต ช่วงระยะเวลา 29 ส.ค.-1 ก.ย.สาระสำคัญในข้อกำหนดมีหลายอย่าง เช่น การห้ามเข้าพื้นที่อาคารสถานที่ การห้ามนำเอาอาวุธออกนอกเคหสถาน การควบคุมการใช้เส้นทางคมนาคม การใช้ยานพาหนะในบางเส้นทาง การควบคุมเครื่องมือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในบางประเภท ซึ่งทั้งหมดมีเป้าหมายเพื่อป้องกันไม่ให้มีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้น
นายสุเทพ กล่าวต่อว่า นอกจากนั้น ได้ประกาศให้เจ้าพนักงานรักษาความสงบมีอำนาจตามกฎหมายทั้งหมด 13 ฉบับ เช่น กฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมอาวุธ กฎหมายการควบคุมการจราจร กฎหมายอาญา กฎหมายแพ่งที่เกี่ยวเนื่องอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งรัฐบาลได้กำชับให้ใช้กฎหมายเหล่านี้เท่าที่จำเป็นและไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่พี่น้องประชาชนเกินเหตุสมควร กอ.รมน.ซึ่งมีนายกฯ เป็นประธานได้ประชุม โดยมีมติอนุมัติให้จัดตั้งศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย โดยมีตนในฐานะรองนายกฯฝ่ายความมั่นคงเป็น ผอ.ศูนย์ และ รมว.กลาโหม เป็นรอง ผอ.ศูนย์ ทั้งนี้ กอ.รมน.มีมติมอบอำนาจให้ ผอ.ศูนย์ มีอำนาจแต่งตั้งเจ้าพนักงาน กอ.รมน.ตามมาตรา 17 ใน พ.ร.บ.ความมั่นคง ให้ ผอ.ศูนย์มีอำนาจจัดการ กำกับ ติดตาม บังคับบัญชาเจ้าพนักงาน กอ.รมน.เหล่านั้น และให้ออกข้อกำหนดเพิ่มเติมตามความจำเป็น และความเหมาะสมของสถานการณ์ได้
รองนายกฯ กล่าวต่อว่า เจตนารมณ์ของศูนย์รักษาความสงบ และตนในฐานะ ผอ.ศูนย์ ข้อที่ 1.คือ เราจะปฏิบัติภารกิจนี้โดยยึดกฎหมาย ยึดหลักการของประชาธิปไตยอย่างเคร่งครัด 2.ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผู้ปฏิบัติหลักในการใช้กฎหมาย เจ้าหน้าที่ฝ่ายอื่นเป็นผู้กำหนด 3.การปฏิบัติจะระวังไม่ให้เป็นการสร้างเงื่อนไข จนเป็นเหตุให้สถานการณ์ขยายตัวรุนแรงเพิ่มขึ้น 4.มาตรการต่างๆ ที่จะใช้จะกระทำจากเบาไปหาหนักตามหลักสากล เคารพในสิทธิมนุษยชน จะกำชับเจ้าหน้าที่ให้ใช้ความอดกลั้น อดทนให้ถึงที่สุด ไม่ใช้ความรุนแรงจนเป็นเหตุให้เกิดการเสียชีวิต ทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน ขอย้ำว่าเจตนารมณ์นี้เป็นเจตนารมณ์ที่นายกฯ ในฐานะ ผอ.กอ.รมน.และคณะกรรมการได้มอบและย้ำต่อศูนย์ คือ ต้องดูแลให้เกิดความเดือดร้อนกับพี่น้องประชาชนให้น้อยที่สุด ด้วยความเคารพในสิทธิของพี่น้องประชาชน 5.ศูนย์นี้มุ่งมั่นผลลัพธ์สุดท้าย คือ ความสงบเรียบร้อยของพี่น้องประชาชน ความมั่นคงของรัฐ ฉะนั้น ขอถือโอกาสนี้เรียนให้สื่อมวลชน และประชาชนได้เข้าใจเหตุผลความจำเป็น และสิ่งที่ศูนย์ดำเนินการในระหว่างวันที่ 29 ส.ค.-1 ก.ย.นี้
ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่มาประกาศพื้นที่ความมั่นคงในเขตเมืองหลวง ซึ่งยังไม่เคยมีในประเทศไหนทำกัน ซึ่งมีการวิตก ว่า ความโกลาหลสำหรับประชาชนที่ไม่เข้าใจรัฐบาลจะดูแลอย่างไร ซึ่งอาจจะมีการฟ้องร้องตามมาภายหลังหากมีการละเมิดสิทธิ นายสุเทพ กล่าวว่า รัฐบาลเคารพในสิทธิของประชาชน สุจริตชนทั้งหลายยังสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติไม่มีอะไรที่กระทบกระเทือน อาจจะรำคาญบางเวลาเจอด่าน โดนจะตรวจเฉพาะคนที่พกอาวุธ เพื่อป้องกันไม่ให้เขาเอาเข้ามาก่อเหตุร้ายที่จะเป้นอันตรายต่อความสงบเรียบร้อย รัฐบาลพร้อมที่จะรับผิดชอบในความเสียหายใดที่จะเกิดขึ้นทุกประการ ยืนยันย้ำว่า เราเคารพในสิทธิของพี่น้องประชาชนและจะไม่ทำอะไรล่วงล้ำ ต่อสิทธิของประชาชน
ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่ออกมาระบุว่า กลุ่มคนเสื้อแดงทำผิดกฎหมาย ทำไมไม่จัดการตามกฎหมาย เพื่อตัดไฟแต่ต้นลม นายสุเทพ กล่าวว่า สิ่งที่เจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมายและรัฐบาลปฏิบัติอยู่ ทุกวันคือเมื่อคนกระทำความผิดและมีพยานหลักฐานชัดเจน ก็ต้องจับกุมดำเนินคดี แต่ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นที่พัทยา กทม.ในช่วงสงกรานต์ เห็นแล้วว่าเมื่อเกิดเหตุร้ายแล้วการเข้าไปแก้ไขสถานการณ์เวลานั้น ถึงแม้จะนำความสงบเรียบร้อยมาสู่บ้านเมืองในที่สุด แต่ภาพพจน์ความเสียหายต่อประเทศไทย ความเชื่อมั่นของชาวต่างประเทศ เสียหายหมด คราวนี้จึงเน้นในเรื่องมาตรการป้องกันระวังตั้งแต่ต้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า เส้นทางคมนาคมประชาชนยังสามารถสัญจรได้ตามปกติหรือไม่ และกลุ่มผู้ชุมนุมสามารถเดินทางเข้ามาชุมนุมได้ตามปกติหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า รัฐบาลเคารพในสิทธิของประชาชนและผู้ชุมนุม หากท่านมาชุมนุมกันโดยสงบไม่ไปล่วงล้ำสิทธิของประชาชนคนอื่นที่ใช้ชีวิตตามปกติ รัฐบาลก็ไม่ขัดข้องอะไร แม้ประกาศเขตพื้นที่ดุสิตทั้งเขตเป็นเขตพื้นที่อันจะมีสถานการณ์กระทบต่อความมั่นคง แต่ท่านสามารถมาชุมนุมได้ ตราบใดที่ไม่ทำอะไรที่ผิดกฎหมาย แต่ที่เราได้ออกประกาศว่า ถนนบางสายบางเส้นทางไม่ให้ไปทำการชุมนุม เช่น ถนนลูกหลวงที่อยู่ริมคลอง ตั้งแต่สะพานมัฆวาน ถึงสะพานเทวกรรม ถนนนครปฐมสั้นๆ ไม่กี่ร้อยเมตรที่อยู่หน้าประตูทำเนียบรัฐบาล ถนนราชดำเนินใน ที่เป็นส่วนช่องทางเดินที่ชิดรั้วทำเนียบที่ต้องประกาศอย่างนี้เพราะ การชุมนุมครั้งนี้ก่อนของกลุ่มคนเหล่านี้ เขาปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลไม่ให้นายกฯเข้าไปทำงานได้ ไม่ให้ครม.เข้าประชุม ไม่ให้แขกบ้าน แขกเมืองมาเยี่ยมนายกฯเข้าทำเนียบได้ คราวนี้เราเห็นว่า ถ้าทำอย่างนั้นอีกบ้านเมืองจะเสียหาย เราถึงไม่ยอม แต่พี่น้องประชาชนสามรถสัญจรไปมาบนถนนเหล่านี้ได้ตามปกติ ไม่ผิดกฎหมายอะไรสำหรับประชาชนทั่วไป แต่สำหรับการที่จะไปชุมนุมโดยมีเจตนาปิดล้อม ทำไม่ได้โดยเด็ดขาดผิดกฎหมายนี้ทันที ยืนยันว่าไม่ปิดเส้นทางจราจร แต่ในวันอาทิตย์ที่มีการชุมนุมเจ้าหน้าที่อาจจะพิจารณาว่า เส้นทางนั้นจะต้องปิดคือ ถนนลูกหลวง ถนนราชดำเนินใน นครปฐม ตรงนี้ต้องปิด
เมื่อถามว่า กรณีที่อ้างอดีตความวุ่นวาย รายงานข่าวสถานการณ์ปัจจุบันมีปัจจัยอะไรที่เป็นความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงที่สุ่มเสี่ยงต่อภัยความมั่นคง นายสุเทพ กล่าวว่า สื่อมวลชนชัดเจนกว่าตน เป็นคนนำเสนอข่าวที่กลุ่มเสื้อแดงประกาศปลุกระดมผู้คนให้มาปิดล้อมทำเนียบ ทำการประท้วง และบอกวัตถุให้เสร็จว่าจะกดดันให้รัฐบาลยุบสภา หรือลาออก ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงอำนาจทางการเมืองโดยวิถีทางที่ไมได้บัญญัติไว้ในระบอบประชาธิปไตยแต่ประกาศใดทั้งสิ้น การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลเปลี่ยนแปลงได้โดยวิถีทางประชาธิปไตย ซึ่งมีอยู่ในรัฐธรรมนูญแต่ไม่ใช่การใช้กำลังบังคับ ส่วนรายงานข่าวอย่างอื่นรัฐบาลระมัดระวังที่จะไม่พูดจาให้รู้สึกว่า เป็นการกล่าวหาหรือเป็นการท้าทาย
ผู้สื่อข่าวถามว่า สภาพการเมืองวันนี้ค่อยข้างจะปั่นป่วนและก่อหน้านี้มีปัญหากัน ระหว่างฝ่ายบริหาร ฝ่ายตำรวจและกองทัพในการแก้ไขสถานการณ์ครั้งนี้ ทั้ง 3 ฝ่ายจะสามารถสร้างความเป็นเอกภาพเหมือนในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาได้หรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า การที่เราตั้งศูนย์นี้ขึ้นมาเป็นการบูรณาการกำลังของทุกฝ่ายเข้ามาทำงานด้วยกัน ขอให้มั่นใจในประสิทธิภาพ พวกเราตระหนักในภาระหน้าที่ของแต่ละฝ่ายที่จะดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง เพื่อไม่ให้พี่น้องประชาชนได้รับความกระทบกระเทือน ประเทศชาติขาดทุนไปมากกว่านี้
เมื่อถามว่า หากกลุ่มผู้ชุมนุมเคลื่อนมาทำเนียบรัฐบาล หรือ สถานที่ราชการสำคัญทางรัฐบาลจะทำอย่างไร พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ในฐานะผู้ช่วยผอ.ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) กล่าวว่า การปฏิบัติจะมีขั้นตั้งแต่การป้องกัน ไปสู่ขั้นการปฏิบัติขณะนี้อยู่ในขั้นการป้องกัน ซึ่งการสร้างความเข้าใจกับประชาชนให้หันมาพูดคุยกันในลักษณะสร้างสรรค์ให้เกิดประโยชน์กับประเทศชาติมากกว่าที่จะห่ำหันกัน ในฐานะคนไทยด้วยกัน มันไม่จบไม่สิ้นนั้นคือมาตรการตัวอย่างการป้องกัน ขอร้องให้สื่อพูดก็เป็นส่วนหนึ่ง การที่จะให้สถานีต่างๆ สร้างความเข้าใจกับประชาชนเพื่อขอร้องให้ประชาชนที่จะมาขอให้ชุมนุมโดยสันติ ตรงนี้ก็เป็นมาตรการป้องกัน เราจะทำทุกอย่าง โดยไม่ใช่ความรุนแรงยึดหลักกฎหมาย หากอยู่บนหลักประชาธิปไตยก็ทำได้ จะเสนออะไรก็ทำได้ หากสถานการณ์ลุกลามบานปลายฝ่ายปฏิบัติก็จะสั่งการภายใต้แผนที่มีไว้ โดยใช้มาตรการจากเบาไปหาหนัก เพราะเราถือว่าประชาชนทุกคนเป็นคนไทยด้วยกัน ขอย้ำว่า การปฏิบัติการทั้งสิ้นทั้งหมด เจ้าหน้าที่ทหารไม่ใช่อาวุธเลย ไม่ว่าจะเป็นระเบิดกระสุน หรืออาวุธอะไรทั้งสิ้นไม่มี จะเป็นอุปกรณ์มาตรฐานของการปราจลาจลเท่านั้น ยกเว้นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำงานปกติ ไม่ว่าจะนอกเขตหรือในเขตดุสิต ตนไม่ทราบ ว่า เค้าจะมีอาวุธหรือไม่อย่างไร แต่เค้าจะตรวจเพื่อป้องกันมือที่สามไม่ให้บุกเข้ามา เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าจะไม่มีใครเอาอาวุธหรือระเบิดมาขว้าง ขอยืนยันย้ำว่า เจ้าหน้าที่ไม่มีการใช้อาวุธ แต่จะใช้อุปกรณ์ ตามมาตรฐานหลักสากลที่ใช้ปราบจลาจล
ด้าน นายสุเทพ กล่าวต่อว่า ด้วยความบริสุทธิ์ใจของผู้ปฏิบัติงานจะอนุญาตให้สื่อมวลชนอยู่กับเราตลอดเวลา สถานีวิทยุและโทรทัศน์ทั้งหลายจะอนุญาตให้มาตั้งสถานีถ่ายทอดได้ในเขตทำเนียบรัฐบาล และ ตนพร้อมที่จะชี้แจงทุกท่าน ทุกวันทุกเวลา ที่มีคำถามและทีมงานของเรา ทั้ง พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ทบ.และ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมที่จะอำนวยความสะดวก ในการให้ข่าวสารทุกเวลา ยืนยันว่า ทำด้วยความเปิดเผยโปร่งใส และสุจริตใจ ที่เห็นกับประโยชน์ของชาติบ้านเมืองเป็นหลัก