xs
xsm
sm
md
lg

“มาร์ค” ย้ำคดี “สนธิ” ต้องยึด กม.รู้ทันปัดทิ้งโยงคดีการเมือง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
นายกรัฐมนตรี เตรียมนำปัญหาราคาน้ำมันแพงเข้าสู่ที่ประชุม ครม.สัปดาห์หน้า ตั้งเป้าดีเซลต้องไม่เกินลิตรละ 30 บาท ย้ำ พนักงานสอบสวนคดีลอบยิง “สนธิ” ต้องตรงไปตรงมา แม้จะมีความพยายามโยงให้เป็นคดีการเมือง ยอมรับหนักใจปัญหาการเมือง ตัวถ่วงแก้ปัญหาปากท้องสะดุด



คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ "เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายอภิสิทธิ์"

นายกฯ เชิญคนไทยถวายความจงรักภักดี 12 สิงหา พาแม่เที่ยวกระตุ้นเศรษฐกิจ

วันนี้ (9 ส.ค.) เมื่อเวลา 09.00 น.นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จัดรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” เป็นครั้งที่ 30 ที่สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (NBT)ว่า วันที่ 12 สิงหาคม 2552 เป็นวันสำคัญอีกครั้งหนึ่งของพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน คือ วันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ อยากจะเชิญชวนพี่น้องประชาชนทุกคนใช้โอกาสนี้ในการหลอมรวมจิตใจอีกครั้งหนึ่งในการถวายความจงรักภักดีแด่ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และร่วมกันในกิจกรรมต่างๆ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่จะเป็นการเฉลิมพระเกียรติ

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า มีโอกาสไปเปิดโครงการ “มหกรรมวัฒนธรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ” ที่กระทรวงวัฒนธรรมได้จัดขึ้นที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ในงานนี้เป็นการเปิดโอกาสให้มีการแสดงที่มีศิลปินทั้งจากชาวไทย ทั้งจากต่างประเทศเข้ามาเป็นการแสดงเพื่อเฉลิมพระเกียรติ พร้อมๆ กันนั้น มีการจัดนิทรรศการหลายนิทรรศการทีเดียว ที่สำคัญที่สุด คือ งานทางด้านศิลปาชีพ ซึ่งจะทำให้พี่น้องประชาชนได้มีโอกาสเข้าไปชมความสามารถของพี่น้องประชาชนคนไทย ซึ่งผ่านการฝึกอบรมในโครงการศิลปาชีพของพระองค์ท่าน แล้วสามารถที่จะผลิตสินค้าผลิตภัณฑ์ต่างๆ มีความสวยสดงดงาม มีเอกลักษณ์ความเป็นไทยอย่างชัดเจน แล้วก็สามารถที่จะสร้างรายได้ให้กับพี่น้องประชาชนจำนวนมาก

นายกฯ กล่าวอีกว่า ได้มีโอกาสพาคุณแม่ของหลายๆ ท่านไปชมนิทรรศการศิลป์แผ่นดิน เป็นการแสดงถึงงานที่พี่น้องประชาชนผ่านการฝึกอบรมในโครงการของพระองค์ท่าน และได้ประดิษฐ์สิ่งต่างๆ งดงามมากมาย หาดูได้ยากจริงๆ และคิดว่า ไม่ว่าจะเป็นคนไทย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวต่างประเทศที่เข้ามาชมนิทรรศการล้วนแล้วแต่จะต้องทึ่งในฝีมือของคนไทย ซึ่งเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าคนไทยของเรานั้นมีฝีมือ และรอคอยเพียงแค่โอกาส และได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระนางเจ้าฯ ที่พระราชทานโอกาสอันล้ำค่านี้ให้ แล้วเป็นตัวอย่างที่ดีว่าในขณะนี้เราพูดถึงเรื่องของการใช้วัฒนธรรมเป็นทุนทางเศรษฐกิจ ตนว่าโครงการศิลปาชีพนั้นเป็นตัวอย่างอย่างดี เป็นโครงการที่บุกเบิกเรื่องนี้มาช้านานแล้ว คือว่า ได้นำเอาทักษะ วัฒนธรรม ประเพณีอันดีงาม ความสามารถของคนไทย แล้วสามารถแปลงมาเป็นทั้งมูลค่าและคุณค่า ทั้งในเรื่องของมูลค่าทางเศรษฐกิจ และคุณค่าทางวัฒนธรรม ให้ปรากฏต่อพี่น้องประชาชน และรวมทั้งชาวต่างประเทศด้วย

ส่วน โครงการ “สิงหาพาแม่เที่ยว” นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า วัตถุประสงค์ที่สำคัญ ก็คือ การที่จะให้ลูกๆ ทั้งหลาย ใช้โอกาสในวันหยุดพักผ่อน หรือวันหยุดราชการ โดยเฉพาะวันที่ 12 สิงหาคม หรือในช่วงของสุดสัปดาห์จะเป็นสัปดาห์นี้หรือจะเป็นสัปดาห์หน้าก็แล้วแต่ในการพาแม่เที่ยว อันนี้เพื่อที่จะเสริมความผูกพันกันในครอบครัว และเป็นการกระตุ้นเรื่องของการท่องเที่ยวสำหรับเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันด้วย ซึ่งเรื่องของการท่องเที่ยวนั้นถือเป็นการนำรายได้เข้าสู่ประเทศที่สำคัญ และปัจจุบันนี้เราต้องการที่จะส่งเสริมให้พี่น้องประชาชนคนไทย ใช้จ่ายอยู่ในประเทศมากยิ่งขึ้น

“12 สิงหาคมนี้ มาร่วมกันถวายความจงรักภักดี มาร่วมกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติฯ และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และมีงานของพระองค์ท่านที่ได้สร้างประโยชน์ให้กับประเทศอย่างมากมาย ก็อยากจะให้พี่น้องประชาชนทุกคนได้เข้ามาร่วมกันในโอกาสอันดีนี้” นายกฯ กล่าว

จากนั้น นายอภิสิทธิ์ ได้ตอบคำถามของ นายเชิงชาย หว่างอุ่น ที่มาเป็นพิธีกรรับเชิญในช่วงที่ 3 ของรายการ ซึ่งเป็นเทปการสัมภาษณ์บนรถไฟฟรีชั้นสามถึงการทำให้ราคาน้ำมันถูกลงว่า เราต้องยอมรับในส่วนที่เป็นต้นทุนที่มันเพิ่มขึ้นจากต่างประเทศ แต่พร้อมๆ กันไปเราก็มีการเก็บเงินเข้ากองทุนอนุรักษ์พลังงาน และภาษี ก็มีตั้งแต่ภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่มอะไรต่างๆ ทีนี้ช่วงที่น้ำมันมันลดลงไปในตลาดโลก เราก็มีการเก็บเพิ่มตรงนี้เข้ามา พอน้ำมันมันเกิน 70 เหรียญต่อบาร์เรล ในต่างประเทศ เราก็คิดว่าจากนี้ไปคงจะต้องลดภาระตรงนี้ลงมา ในรายละเอียดว่าจะลดตรงไหนอย่างไรก็สัปดาห์หน้า

“แต่ว่าในทางเทคนิคทางกฎหมาย และความรัดกุมก็จะดูแล หลักจริงๆ คือ จะดูแลที่ดีเซล เพราะว่าเป็นต้นทุนในการขนส่ง และเราไม่อยากเห็นดีเซลเกิน 30 บาท ทีนี้น้ำมันวันนี้ 70 เขาก็คาดการณ์ว่าอีก 2-3 ปีนี้อาจจะขึ้นไปถึง 80-90-100 แต่เราไม่อยากให้ข้างในเกิน 30 ปัจจุบันประมาณ 28 กว่าๆ ก็จะมีการลดตรงนี้มาส่วนหนึ่งก่อน และเตรียมไว้ ทีนี้บางคนก็มาบอกว่าก่อนหน้านี้ไปขึ้นกันนี้เพราะอะไร ก็ต้องบอกว่าก่อนหน้านี้น้ำมันลดลงไปเหลือ 34 การเก็บตรงนี้เหมือนกับสะสมอาวุธเอาไว้ พอน้ำมันแพงเราจะได้มีตัวที่มาใช้ มีตัวช่วยที่จะเข้าไปใช้ได้ ถ้าเราไม่สะสมไว้ก่อนเราก็ไม่มีกำลัง ขณะนี้เราคิดว่าทั้งในส่วนของภาษีทั้งในส่วนของกองทุนฯ เราจะมีตัวช่วยที่ใช้ได้ เวลาที่น้ำมันมันขึ้นไป 70-80-90-100” นายกฯ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ในวันพรุ่งนี้ (10 ส.ค.) เวลา 15.00 น.นายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2552 (ครั้งที่ 126) ณ ห้องประชุม 3601 ชั้น 6 อาคารรัฐสภา 3 เพื่อกำหนดมาตรการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนต่อราคาน้ำมันที่สูงขึ้น โดยมาตรการที่ออกมาจะนำเข้าสู่การพิจารณาในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ในวันอังคารที่ 11 สิงหาคมต่อไป

รายงานตัวเลขผู้ป่วยไข้หวัด09 เริ่มลดลงใน กทม.-ภูมิภาคยังสูง

นายกฯ ยังกล่าวถึงปัญหาไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ว่า ขณะนี้เรามีการรายงานตัวเลขอยู่ทุกสัปดาห์ ขณะนี้แนวโน้มที่เห็นเรากำลังติดตามอีก 1 สัปดาห์ที่จะดูว่าตัวเลขผู้เสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นแต่ละสัปดาห์เริ่มลดลง ชัดเจนหรือยัง แต่สิ่งหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นในขณะนี้ก็แน่นอนว่าปัญหาจะไปเพิ่มขึ้นในภูมิภาค และอาจจะลดลงในส่วนของกรุงเทพมหานคร สำนักงานกองทุนสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาพ (สสส.) ได้ทำเว็บไซต์ขึ้นมาเพื่อเผยแพร่ข้อมูลต่างๆ www.flu2009thailand.com เพื่อเผยแพร่ข้อมูลต่างๆ สำหรับพี่น้องประชาชนที่อยากจะรับรู้ในเรื่องนี้ ส่วนการรณรงค์จะมีการทำกันครั้งใหญ่ในการรวมพลังสู้หวัด ซึ่งจะมีทั้งระบบการรักษาพยาบาล ซึ่งขณะนี้ได้มีการปรับปรุงระบบการจ่ายยา ซึ่งน่าจะทำให้คนเข้าถึงยาได้เพิ่มขึ้น

นายกฯ กล่าวว่า แต่สิ่งที่อยากจะบอกกับพี่น้องประชาชน คือว่า หลักง่ายๆ ในการที่จะตัดสินใจว่าถ้าตัวเองเจ็บไข้ได้ป่วยแล้ว เราแนะนำว่าให้รักษาตัวอยู่กับบ้าน เมื่อไหร่สัญญาณอะไรที่บอกว่าต้องรีบไปหาหมอ ก็ใช้สูตร 1+1 ใน 5 1.ก็คือ ว่าถ้าไข้สูงไม่ลด แล้วถ้ามีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งใน 5 อย่างต่อไปนี้ เป็นสัญญาณที่ว่าน่าจะไปพบแพทย์แล้ว ข้อแรก คือ ปวดหัวมาก กินยาแล้วก็ไม่หาย ถ้าเป็นอย่างนี้และเป็นไข้สูง ก็ควรจะไปหาแพทย์ 2.เบื่ออาหารอย่างมาก ไม่อยากจะรับประทานอะไรเลย ไม่อยากจะกินอะไรเลย แม้กระทั่งน้ำไม่อยากดื่ม ถ้าเป็นอย่างนี้บวกกับไข้สูง ไปหาแพทย์ 3.เหนื่อยอ่อนเพลีย ปวดเมื่อย ถ้ามีอาการลักษณะนี้ ไข้สูง ไปหาแพทย์ 4.ไอแล้วเหนื่อย ไอแล้วรู้สึกเจ็บเฉพาะที่ เจ็บหน้าอก ถ้ามีอาการนี้ไข้สูง ไปหาแพทย์ และสุดท้าย คือ ท้องเสีย หรืออาเจียน ถ้ามีอาการนี้และมีไข้สูงก็ไปหาแพทย์เช่นเดียวกัน ถ้าทุกคนทำได้อย่างนี้ครับการบริหารจัดการในเรื่องไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ก็จะสามารถทำได้

“ขณะนี้สถานการณ์การระบาดไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทย เกิดขึ้นทั่วโลก แล้วการเสียชีวิตก็เพิ่มขึ้นในหลายประเทศ แทบจะเรียกว่า ทุกทวีปก็ว่าได้ ขณะนี้ในอเมริกาใต้ก็พุ่งสูงมาก ออสเตรเลียก็พุ่งสูงมาก แม้กระทั่งในเอเชียด้วยกันเอง ก็มีแนวโน้มสูงขึ้นในหลายประเทศ เพราะฉะนั้น ถ้าค้นคว้าหาข้อมูลซึ่งบัดนี้เราจัดให้ในรูปแบบต่างๆ และใช้สูตรอย่างที่ว่านี้ คงจะช่วยแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการเรื่องนี้ไปได้ด้วยดี” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

“มาร์ค” ย้ำผลงานรัฐบาล ชูเรียนฟรี 15 ปีเจ๋งสุด รับแก้การเมืองยากกว่าเศรษฐกิจ

นายอภิสิทธิ์ กล่าวย้ำถึงผลงานของรัฐบาลในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมาอีกครั้ง โดย นายอภิสิทธิ์ ย้ำถึงงานแต่ละด้านเหมือนที่เคยแถลงก่อนหน้านี้ที่ทำเนียบรัฐบาล ทั้งเรื่องของนโยบายเรียนฟรี 15 ปี เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเดือนละ 500 บาท โครงการการแทรกแซงราคาพืชผล โครงการต้นกล้าอาชีพ มาตรการลดภาระค่าครองชีพช่วยเหลือประชาชน 5 มาตรการ โครงการเช็คช่วยชาติ 2,000 บาท ค่าตอบแทนอสม.เดือนละ 600 บาท นอกจากนี้ ยังกล่าวย้ำถึงมาตรการช่วยเหลือเยียวยาภาคธุรกิจเอกชน แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 7 ด้าน

“เพราะฉะนั้น 6 เดือน เราทั้งช่วยคน เราดับไฟ และเราก็ได้วางรากฐานสำหรับอนาคตที่มีความเข้มแข็งมากขึ้น ผมได้ให้เห็นภาพว่าแต่ละกลุ่มคนนั้น ได้รับประโยชน์อย่างไรจากการทำงาน 6 เดือนที่ผ่านมา”นายกฯ กล่าวและย้ำถึงตัวเลขทางเศรษฐกิจว่าเราได้ผ่าน จุดต่ำสุดไปแล้วจริง ๆ แล้วขณะนี้กำลังมีแนวโน้มของการขยายตัวในอัตราที่ค่อนข้างเร่งตัวขึ้นมาพอ สมควร ถ้าเป็นภาษาอังกฤษเขาก็จะพูดว่าเป็นการฟื้นฟูแบบตัว V คือ ลงเร็วแล้วก็ขึ้นค่อนข้างเร็ว

ทั้งนี้ ในช่วงที่ 3 ของรายการซึ่งเป็นเทปบันทึกภาพที่มีนายเชิงชาย หว่างอุ่น มาเป็นพิธีกรรับเชิญ ที่เป็นการสัมภาษณ์บนรถไฟฟรีชั้นสาม ได้ถามว่า 6 เดือนแล้วรู้สึกว่าผลงานที่โดดเด่นที่สุดของรัฐบาลที่เป็นพรรคร่วมนี้อย่างไรนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในส่วนของ 6 เดือนที่ผ่านมา จุดที่ว่าเป็นจุดเด่นที่สุด ก็คือ สิ่งที่หลายคนเคยสัญญา รวมทั้งพวกตนด้วย และไม่เคยได้ทำกัน แล้วเราได้ทำสำเร็จแล้ว สำคัญที่สุดคือเรื่องเรียนฟรี เรื่องเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ และแถมเรื่อง รฟม.เข้าไป สิ่งเหล่านี้พูดกันมานาน แล้วเรามาทำในช่วงที่ความจริงเศรษฐกิจประสบวิกฤตด้วย ก็เลยเป็นเรื่องของการบรรเทาภาระค่าใช้จ่าย กับสิ่งที่กำลังวากรากฐาน คือ ต่อไปนี้คิดว่ารัฐบาลใครก็ตามเข้ามานี้ ไม่ต้องพูดกันแล้วเรื่องเรียนฟรีไม่ฟรี ต้องเดินหน้าทำตรงนี้ต่อไป

เมื่อถามว่าแล้วเรื่องไหนโดนใจชาวบ้านที่สุด นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คิดว่าเราก็คงต้องเป็นวิทยาศาสตร์ ดูจากผลสำรวจหลายอันเหลือเกิน เรื่องเรียนฟรี แต่ที่สุดก็ดีใจ เพราะว่าแสดงให้เห็นว่าพี่น้องคนไทยให้ความสำคัญกับอนาคตลูกหลาน

เมื่อถามว่า ส่วนเรื่องปัญหาจะแก้เรื่องเศรษฐกิจกับเรื่องการเมืองจะแก้อันไหนก่อนอันไหนหลังอย่างไร นายกฯ กล่าวว่า มันเลือกไม่ได้ ต้องแก้พร้อมๆ กันไป ถ้าเศรษฐกิจไม่ดีก็ซ้ำเติมปัญหาการเมือง การเมืองไม่ดีก็เป็นอุปสรรคในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เพราะเราไม่มีสิทธิหรอกที่จะมานั่งเลือกว่าวันนี้จะทำเรื่องนี้ก่อนๆ ต้องทำทุกอย่างพร้อมกัน

ถามย้ำว่า แล้วอันไหนหนักใจมากกว่ากัน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ก็หนักใจเรื่องการเมืองมากกว่า เหตผุลเพราะว่าเศรษฐกิจเป็นปัญหาที่เป็นจะเรียกว่า ปรากฏการณ์ในเชิงธรรมชาติ ในเชิงระบบของมัน เราต้องมีมาตรการในการแก้ไข การประเมิน

“แต่ว่าการเมืองนี้ก็ต้องยอมรับนะครับ ถ้าพูดตรงไปตรงมาก็ยังมีคนกลุ่มหนึ่ง เป้าหมายเขาก็คือว่าทำอย่างไรไม่ให้การเมืองมันเรียบร้อย เพราะฉะนั้นอันนี้มันก็เป็นเรื่องที่จะเรียกว่าต้องต่อสู้ก็ใช่ แต่ว่าบนหลักการที่เราพยายามจะให้เกิดความสมานฉันท์ ทำอย่างไรที่จะให้มันเบาลง” นายกฯ กล่าว

นายกฯแจงแผนปรับปรุงรถไฟไทย เล็งทำรถไฟความเร็วสูงเข้าเมืองท่องเที่ยว ย้ายสถานีขนส่งออกนอกเมือง

นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” เป็นครั้งที่ 30 ซึ่งเป็นการนำเทปบันทึกภาพที่มี นายเชิงชาย หว่างอุ่น มาเป็นพิธีกรรับเชิญ ที่เป็นการสัมภาษณ์บนรถไฟฟรีชั้นสามถึงโครงการไทยเข้มแข็งที่จะมีการพัฒนาระบบการรถไฟแห่งประเทศไทย(ร.ฟ.ท.) ว่า ตนขึ้นรถไฟครั้งสุดท้ายเมื่อตอนไปเที่ยวเมืองกาญจนบุรีกับครอบครัว อย่างไรก็ตาม ตนไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ ที่อังกฤษ 10 ปี นั่งรถไฟใต้ดินตลอด เพราะว่าเป็นการเดินทางที่เวลาแน่นอน และค่อนข้างที่สะดวก เพียงแต่ว่าพอกลับมาอยู่กรุงเทพฯ ส่วนใหญ่จะใช้รถยนต์ส่วนตัว และการเดินทางไปต่างจังหวัดมันก็ไม่รวดเร็ว นี่คือ ปัญหาที่เราก็มองเห็นมาโดยตลอด เช่นเดียวกับเรื่องของการขนส่ง บ้านเราก็ใช้รถบรรทุกใช้ถนนกันมาก ในขณะที่การขนส่งทางรางก็เป็นตัวเลขค่อนข้างน้อย จุดที่เราพอเราเข้ามาทำงานนี้ เราก็เห็นมาตลอดคือว่าคนจะพูดว่าการลงทุนในเรื่องรถไฟนี้ค่อนข้างที่จะแพง และเป็นปัญหามาโดยตลอด แต่ความจริงพอพูดไปแล้วก็มีความรู้สึกว่าเหมือนจะไม่ค่อยเป็นธรรมเหมือนกัน เพราะเวลาที่เราลงทุนถนนนี่เราก็ไม่ได้บ่นกัน ส่วนรถไฟไทยน่าจะปรับปรุงอย่างไรนั้น นายกฯ กล่าวว่า ในส่วนของสินค้าและคน ถ้าเอาในเรื่องของตัวรางก่อน ต้องบอกว่าของเรานี่ทรุดโทรมมาก บางแห่งก็ไม่ได้ปรับปรุงมาหลายสิบปี อันนี้ก็เป็นปัญหา ทำให้รับน้ำหนักได้น้อยบ้าง ความเร็วก็เรียกว่าสูงสุดยังหลักสิบกันอยู่ อันนี้เป็นปัญหาและในแง่ของคนที่จะเดินทาง ที่ขณะนี้ไทยเข้มแข็งมาทำขอเร่งเฉพาะเรื่องราง เพราะเรื่องของความสะดวกสบายซึ่งก็มีตั้งแต่เรื่องของตัวรถ ไปจนถึงเรื่องของสถานี โดยเฉพาะสถานีก็จะปรับปรุงให้มีความสะอาด สวยงาม บางแห่งก็ควรจะเป็นแหล่งท่องเที่ยว และบางแห่งอาจจะเป็นประเด็นเรื่องความปลอดภัยหรืออะไร เช่น ทางใต้ อันนี้ก็จะอยู่ในแผนของไทยเข้มแข็งทั้งหมด

เมื่อถามว่า ยังจะอนุรักษ์รถไฟชั้น 3 ที่มีเบาะแข็งๆ แบบนี้โอเพ่นแอร์หรือว่าจะติดแอร์ให้มันสะดวกสบายกว่านี้นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตัวรถจะมีการปรับปรุงด้วย แต่ว่าเหตุผลที่บอกว่าจะติดแอร์ได้หมดคงจะยังไม่ใช่ และมาตรการของรัฐบาลในการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยนี้ ก็ยังเป็นการมีรถไฟที่เราจะใช้มาบริการเพื่อสังคม เพราะฉะนั้นก็เป็นรถไฟฟรีทั้งนี้ในส่วนของตัวรางจะมีการปรับปรุงของเก่าที่ค่อนข้างจะทรุดโทรม และมีเรื่องของการจะทำให้เพิ่มการรับน้ำหนักให้ได้เพิ่มขึ้น ความเร็วก็จะให้เพิ่มขึ้น คือจากเดิมรู้สึกเร็วสูงสุดประมาณ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็จะเป็นสัก 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และจะมีเส้นทางสำคัญ ๆ ที่จะต้องทำเป็น ใช้คำว่าทางคู่ เพราะปัจจุบันยังเป็นรางเดียวอยู่ ก็จะมีปัญหาเรื่องการสับหลีกเรื่องอะไรต่างๆ ทำให้เกิดความล่าช้าด้วย ทางคู่จะทำในส่วนของฉะเชิงเทราไปที่แหลมฉะบัง และทำในส่วนของเส้นตรงนี้ขึ้นไปที่แก่งคอย ซึ่งจะทำให้รถไฟที่มาจากทางเหนือ ทางอีสานสามารถลงไปถึงแหลมฉบังได้ มีความรวดเร็วมากขึ้น และการปรับปรุงเส้นทางที่ว่าจะรับน้ำหนักมากขึ้น และความเร็วเพิ่มขึ้นก็ทำเรียกว่าเป็นระยะที่ 5 ระยะที่ 6 ซึ่งส่วนใหญ่จะไปทางอีสาน ทางบัวใหญ่ออกไป ฃ

นายกฯ กล่าววา เรื่องการเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน เพราะฉะนั้นตรงนั้นจะมีอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งกำลังไปดูในแง่ของความร่วมมือกับต่างประเทศ ทางเหนือก็ขึ้นไปออกทางเพื่อไปเชื่อมกับเชียงของ ต่อไปถึงจีน ทางอีสานขณะนี้เราทำหนองคายข้ามแม่น้ำโขงไปแล้ว ก็จะไปต่อเพิ่มเติมในส่วนที่ลาว แล้วก็มองในเส้นทางของมุกดาหาร เพราะว่าอันนี้จะไปเชื่อมโยงกับ East West Corridor คือทางตะวันออก ตะวันตก และไปที่อุบลฯ เราก็มีอยู่ และจะออกไป และมาทางที่จะไปต่อกับทางกัมพูชา ก็ตรงอรัญประเทศ ส่วนทางใต้ก็จะต้องมองการเชื่อมลงไปทางใต้ด้วย ทั้งที่สุไหงโก-ลก และที่ปาดังเบซาร์ ทั้งนี้ความปลอดภัยของเส้นทางที่ไปทางใต้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า อันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ตั้งแต่ตัวสถานีไปจนถึงเรื่องรั้วเรื่องอะไรต่าง ๆ ที่จะช่วยให้มีความมั่นใจกันมากขึ้น

เมื่อถามถึงความปลอดภัยระหว่างรถไฟกับรถยนต์ที่วิ่งตามท้องถนน ที่เกิดออุบัติเหตุบ่อย ๆ นั้นจะดูแลอย่างไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตรงนี้ก็ยังเป็นปัญหาอยู่ค่อนข้างมาก เพราะว่าเราจะสังเกตเห็นว่าจุดตัดเยอะมาก ในกรุงเทพฯ เองจุดตัดก็เป็นปัญหาหนึ่งในเรื่องของรถติด คิดว่าวันข้างหน้าเองเราจะต้องพยายามให้รถไฟวิ่งเข้ามากลางเมืองน้อยลง โครงข่ายรถไฟ รถไฟฟ้าใต้ดินมีสมบูรณ์มากขึ้น และก็สถานีหลัก ๆ ก็จะเริ่มกระจายออกไป เช่น บางซื่อ หรืออะไรต่าง ๆ

ส่วนการปรับปรุงทัศนียภาพของชุมชนข้างทางรถไฟ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในส่วนชุมชนเองก็ต้องมีการบริหารจัดการอยู่ตลอดเวลา จริง ๆ แล้วขณะนี้สิ่งที่เราพยายามก็คือว่า จะให้มีการบริหารจัดการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับตัวการทำรางส่วนหนึ่ง การวิ่งรถก็ส่วนหนึ่ง การบริหารในส่วนของทรัพย์สินอีกส่วนหนึ่ง แต่ว่าขณะนี้ก็กำลังทำงานร่วมกับสหภาพฯ อยู่ ว่าทำอย่างไรให้รูปแบบเขามั่นใจหน่อยว่าไม่ใช่เป็นเรื่องที่เราจะไปขายเอกชน อะไร ก็มีความกังวลตรงนี้ และก็เชิญมาคุยกันอยู่ขณะนี้ แต่หลักจริง ๆ ก็คือถ้าเราแยก 3 ส่วนนี้ออกจากกัน บริหารจัดการในทุกส่วนมันน่าจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น

เมื่อถามย้ำว่าชุมชนแบบนี้รถไฟผ่านประจำ ถ้าคนไม่คุ้นเคย รถไฟอาจจะมาแล้วเขาอาจจะเกิดอันตรายได้ นายกรัฐมนตรี กล่วว่า ความจริงแล้วตนก็เป็นผู้แทนราษฎร พื้นที่เดิมก็เคยมีอยู่ที่ว่าเป็นชุมชนทางรถไฟ ก็ต้องยอมรับก็เป็นเรื่องของปัญหาที่อยู่อาศัย ก็ต้องทำอย่างไรให้อยู่ร่วมกันได้ แต่ว่าไม่เป็นปัญหาซึ่งกันและกัน ทีนี้กลับมาเรื่องจุดตัด นอกเหนือจากในเมืองแล้ว ในชนบทก็เยอะ และอุบัติเหตุก็เกิดขึ้นบ่อย ส่วนหนึ่งเริ่มจากที่เรียกว่าไม่ถูกต้อง ทำกันเอง ก็เกิดขึ้นมา อันนั้นก็ส่วนหนึ่ง แต่ว่าถ้าจะถึงขั้นที่ว่าในทุกจุดตัดเราจะสามาถทำทางข้าม ทางลอดต่าง ๆ คงจะยังยากอยู่ แต่อย่างน้อยที่สุด การจะมีไม้กัน มีการเตือน อันนี้ก็มีความสำคัญ ไม่อย่างนั้นก็เกิดอุบัติเหตุ

“ไทยเข้มแข็ง กรอบของมันคือ 3 ปี แต่ว่าส่วนที่เกี่ยวข้องกับประเทศเพื่อนบ้านทั้งหมดนี้ยังอยู่ในช่วงที่ กำลังไปเจรจากับ ยกตัวอย่างเช่นจีนที่ให้ความสนใจ ที่ผมเดินทางไป เขาก็บอกว่าเขาอยากจะเข้ามา เพียงแต่ว่าต้องไปตกลงกันก่อนว่าเขาอยากจะทำเส้นไหน เขาอยากจะทำในรูปแบบไหน เช่นว่าเขาจะมาสร้างราง หรือเขาจะมาร่วมทุนกับเรา หรือว่าเขาจะมีแหล่งเงินให้ด้วยหรือเปล่า ซึ่งท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมก็จะเดินทางไปจีนอีกทีหนึ่ง ใจผมนี้นะครับถ้าเงินเราพอ เพื่อไม่อยากให้เราเปลี่ยนเป็นรางกว้างขึ้น แต่ว่าเป็นต้นทุนค่อนข้างสูง โดยจะใช้งบประมาณ 1 แสนล้านบาทเฉพาะในส่วนที่จะเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน แต่การทำทำทางคู่ เราจะปรับปรุงรางเดิม อันนั้นประมาณน่าจะสัก 4 หมื่นล้านบาท”นายกฯ กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมของแผนไทยเข้มแข็งว่า จะมีทั้งเงินงบประมาณส่วนหนึ่งที่เราสามารถจัดได้ในปี 53 - 54 -55 แต่ว่าในสถานะปัจจุบันนี้ ตรงนี้ก็ค่อนข้างจำกัดอย่างที่เราทราบอยู่ สองคือ เงินกู้ แต่เราไม่ได้กู้ต่างประเทศ เรากู้ในประเทศ ซึ่งก็มีคนที่มาซื้อพันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็งไปแล้วส่วนหนึ่ง ที่เหลือก็อาจจะกู้จากระบบธนาคารภายในประเทศตามเงื่อนไขที่มีความเหมาะสม อีกส่วนหนึ่งก็คือเป็นเรื่องของการร่วมมือเอกชน ซึ่งก็อาจจะเป็นในประเทศก็ได้ ต่างประเทศก็ได้ เพราะฉะนั้นบางเส้นทางหรือในบางกรณีนี้อาจจะมีการมาร่วมทุนกัน อาจจะมีการที่เรียกว่าเขามาก่อสร้าง แต่ว่าเขาอาจจะมีเรื่องของระบบเงินทุนหรืออะไรมาเป็นแพ็คเกจเลย อันนี้ก็เป็นเรื่องที่กำลังทำอยู่

ส่วนเรื่องการขาดทุนสะสมของการรถไฟ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การขาดทุนเป็น 3 ส่วนด้วยกัน ส่วนแรกคือเรื่องของประสิทธิภาพ ปัญหาการบริหารจัดการ ต้องยอมรับอันนี้มีอยู่ แต่ว่าอันนี้ก็ต้องเป็นเรื่องที่เราต้องทำอย่างนุ่มนวลด้วย เพราะว่าบางเรื่องก็เป็นเรื่องของสวัสดิการ หรือประโยชน์ของพนักงาน ซึ่งเขาก็ทำงานกับองค์กรมานาน เราก็ต้องดูว่าทางที่เหมาะสมที่จะแก้ปัญหาตรงนี้เป็นอย่างไร แต่นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่ง ที่ต้องให้ความเป็นธรรมกับรถไฟในเรื่องการขาดทุนก็คือว่า ส่วนที่สองก็คือ มันมีบริการบางอย่าง อย่างเช่นรถไฟฟรี หรือแม้กระทั่งการให้บริการที่เราถือว่าเป็นบริการทางสังคม ตรงนี้เราจะมาคาดคั้นให้กำไรมันไม่ได้ ก็ในเมื่อเราเป็นคนบอกให้การรถไฟเขารับภาระเอง ถือว่าเรากำลังจะช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย คนยากคนจนที่มาใช้บริการ ส่วนที่สามที่ผมบอกไปแล้วก็คือว่า คือจะมีการเปรียบเทียบครับ เวลาเราสร้างถนนนี้รัฐบาลก็ออกให้หมด ส่วนคนที่จะมาให้บริการวิ่งรถอะไรก็แค่เอารถมาวิ่ง แต่การรถไฟนี้ภาระเหมือนกับต้องสร้างถนน ดูแลถนน ปรับปรุงถนนไปด้วย วิ่งรถไปด้วย แล้วก็จะมาบอกให้กำไรทั้งหมด ผมคิดว่าอันนั้นก็เป็นเรื่องที่ยาก

นายกฯ กล่าวว่า เพราะฉะนั้นเราก็ต้องพยายามทำอย่างนี้ว่า 1. ส่วนประสิทธิภาพก็ต้องปรับปรุง แต่ว่าถ้ากังวลกันว่าจะไปกระทบในเรื่องของความเป็นธรรมหรือไม่กับพนักงาน อะไรต่าง ๆ ขณะนี้ก็ต้องเจรจากับสหภาพฯ และจะมีการแยกระบบการบริหารจัดการอย่างที่เล่าให้ฟัง เราก็คิดว่าเป็นทางออกที่ดี 2. ระบบอะไรที่เป็นการให้บริการทางสังคมนี้ เราพยายามจะทำให้เป็นลักษณะที่โปร่งใสมากขึ้น ไม่เฉพาะเรื่องการรถไฟ แม้แต่เรื่องปัญหาว่าแบงก์ปล่อยสินเชื่อ แบงก์รัฐปล่อยสินเชื่อหรือไม่ เราก็บอกว่าอันไหนที่บริการทางสังคมนี่แยกบัญชีออกมา แล้วก็ขาดทุนหรือว่าต้องหาทุนเท่าไร รัฐบาลก็จะหาไปให้ แล้วเราก็จะได้เห็นด้วยว่าภาระการสนับสนุนที่เอามาจากภาษีของประชาชนเป็น เท่าไร และสังคมก็จะได้ตัดสินใจได้ว่าตกลงตรงนี้เราจะช่วยให้คนรับบริการ แล้วเอาเงินจากผู้เสียภาษีนี่เป็นธรรมไหม นี้ก็เป็นส่วนที่เราจะต้องทำ และส่วนที่ 3. ก็อย่างที่บอกคือว่า ในการประเมินโครงการต่าง ๆ เราคงจะต้องดูว่าการคิดค่าโดยสาร เราจะทำอย่างไรว่าเป็นค่าโดยสารที่ไม่สูง จะทำให้คนไปเลือกทางเลือกอื่น จริง ๆ ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย ตอนหลังพอมีเครื่องบินที่เป็นสายการบินต้นทุนต่ำ ก็มากระทบกับบริการการรถไฟ แม้แต่ในยุโรปก็เจอปัญหานี้ แต่ว่าถ้าหากว่าเราดูว่าค่าโดยสารเหมาะสม คนอยากขึ้น และอย่างที่บอกคือบริการนี้มีผลประโยชน์ในทางสังคมด้วย ลดปัญหาเรื่องพลังงาน สิ่งแวดล้อม อะไรต่าง ๆ ก็จะต้องมากำหนดให้เหมาะสมว่าจะกำหนดตรงนั้นอย่างไร หรือถ้าเราสามารถแยกได้ว่าบางบริการจะสามารถคิดให้มันมีกำไรหรือคุ้มทุนได้

เมื่อถามว่าแล้วรัฐบาลจะทำอะไรกับการรถไฟฯ ที่เขามีการประท้วงกันเมื่อครั้งก่อน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ต้องเชิญสหภาพฯ มาคุยกันก็คือแนวคิดเบื้องต้นของเราก็คือว่าแยก 3 งานออกจากกัน ก็คืองานระบบราง งานวิ่งรถ งานพัฒนาทรัพย์สิน โดยที่เราก็บอกว่าอยากให้แยกบริษัทออกมา ทีนี้ก็มีความกังวลกันว่ารัฐบาลกำลังจะแอบคือไปขายไปอะไรต่าง ๆ ยืนยันว่าไม่ได้อยู่ในแผน เพียงแต่ต้องการที่จะแยกระบบการจัดการออกมา ทีนี้ก็รู้สึกว่าล่าสุดคุยกันก็คือว่าถ้ายังเดินไปถึงการตั้งบริษัทไม่ได้ ก็เหมือนกับแยกเป็นหน่วยธุรกิจหรือเปล่า

“อยากจะฝากไปยังพนักงานทุกท่านนะครับและสหภาพฯ ว่ารัฐบาลจะทำอะไรนี้ โดยเฉพาะผม ผมยืนยันว่าผมให้ความเป็นธรรมและเอาใจใส่กับความห่วงใยของทุกฝ่ายอยู่แล้ว ทุกเรื่องที่ผมทำมาก็จะเห็นนะครับ เจรจากับพี่น้องเกษตรกร เรื่องหนี้สินเรื่องที่ทำกิน เรื่องที่อยู่อาศัย ผมก็รับฟังนะครับ พนักงานรัฐวิสาหกิจก็เช่นเดียวกัน แต่ว่าผมอยากจะขอความกรุณาว่า จะเจรจาจะพูดคุยกันอย่างไรก็ตาม อย่าให้กระทบกับบริการของประชาชนนะครับ เหมือนกับที่ผมบอกว่าใครมีปัญหาอะไรไม่ต้องปิดถนน มายื่นหนังสือมาคุยกันได้ ปิดถนนหรือไม่ปิดถนน การแก้ปัญหาก็เหมือนกัน นี่ก็เช่นเดียวกัน อย่าให้กระทบบริการ และไม่ใช่เรื่องที่ว่าจะสไตรท์ไม่สไตรท์นะครับ ผมอยากจะเห็นว่ารถไฟวิ่งจากสถานีสุวรรณภูมิมาถึงมักกะสัน เปิดให้บริการได้ในปีนี้ เป็นผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชน เป็นหน้าตาของคนไทย เป็นหน้าตาของการรถไฟและพนักงานรถไฟ”นายกฯ กล่าว

เมื่อถามถึงรถไฟความเร็วสูงแบบญี่ปุ่นน่าจะมีในเมืองไทย นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เราก็อยากจะให้มี และก็มีเส้นทางที่เราก็ดูอยู่ทั้งกรุงเทพฯ - ปากช่อง กรุงเทพฯ - พัทยา - แหลมฉบัง กรุงเทพฯ - หัวหิน แต่ต้องไปคำนวณดูว่าสมมติทำแล้วค่าโดยสารเท่าไร ถ้าค่าโดยสารแพงมากเดี๋ยวไม่มีคนขึ้น มันก็ไม่คุ้มค่า

นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า และนอกเหนือจากในส่วนของรถไฟเองแล้ว ในแง่ของการเดินทางของพี่น้องประชาชนในส่วนของขนส่งทางบก ก็จะทำให้เรื่องของการปรับปรุงสถานีขนส่งทั่วประเทศด้วย แบบเดียวกัน ก็จะเกิดความสะดวกสบาย เกิดความสะอาด

"อภิสิทธิ์"ชินกับตำแหน่งนายก ชี้ ความคาดหวังเป็นแรงกดดันในการทำงาน

นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคุ้นเคยในการดำรงชีวิตประจำวันตำแหน่งนายกฯในรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” เป็นครั้งที่ 30 ซึ่งเป็นการนำเทปบันทึกภาพที่มีนายเชิงชาย หว่างอุ่น มาเป็นพิธีกรรับเชิญ ที่เป็นการสัมภาษณ์บนรถไฟฟรีชั้นสามว่า เอาเป็นว่าทำใจได้ก็แล้วกัน ก็คือมันอาจจะมากับยุคข้อมูลข่าวสาร ตอนที่เข้ามาตั้งใจเป็นนักการเมืองก็ไม่คิดว่าจะเป็นอย่างนี้ อันนี้ยอมรับตรง ๆ เป็นเรื่องเดียวที่คิดว่าไม่ได้ศึกษาเตรียมตัวมาก่อน และโดยนิสัยส่วนตัวก็ไม่ค่อยชอบเท่าไร ยอมรับยังมีเคอะ ๆ เขิน ๆ กันอยู่บ้าง แต่ว่าก็เข้าใจ เป็นบุคคลสาธารณะ ก็ต้องยอมรับ

เมื่อถามว่าแล้วมีคนชื่นชมเป็นหนุ่มหล่อ หน้าตาดี นักการเมืองอายุน้อยที่เป็นคนเก่งอย่างนี้รู้สึกกับคำชื่นชมแบบนี้อย่างไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คือในแง่หนึ่งก็คือเรื่องของความคาดหวัง ความคาดหวังนี้ก็มีทั้งสองด้าน ด้านหนึ่งก็เป็นกำลังใจ เพราะว่าทำให้เรามีความรู้สึกว่าแสดงว่าคนเขาก็ยังฝากความหวังไว้กับเรา แต่อีกด้านหนึ่งก็เป็นแรงกดดันเหมือนกัน บางทีเราก็รู้เลยว่าปัญหาอุปสรรคที่เราเผชิญอยู่นี้ จะทำให้สมกับคาดหวังของเขาได้ ที่เรียกว่าเต็มที่นี้คงจะเกิดขึ้นได้ยาก แต่ว่าเรื่องอื่น ๆ ก็ธรรมดา สนุกสนานเฮฮากันไป

นายกฯพร้อมช่วยขจัดปัญหาให้ตำรวจ เชื่อประชาชนห่วงปากท้องมากกว่าทักษิณ

นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” เป็นครั้งที่ 30 ซึ่งเป็นการนำเทปบันทึกภาพที่มีนายเชิงชาย หว่างอุ่น มาเป็นพิธีกรรับเชิญ ที่เป็นการสัมภาษณ์บนรถไฟฟรีชั้นสามผู้ดำเนินรายการ ถึงความขัดแย้งของสีต่างๆและเรื่องของตำรวจที่ไม่รู้จะลงตัวอย่างไรว่า ความลงตัวก็ต้องอยู่ที่ความตรงไปตรงมา ก็ย้ำกับเจ้าหน้าที่ตลอด แต่ว่าในเรื่องของกฎหมายนี้ทุกคนก็ทราบดี จะกี่คนก็เท่านั้นความเห็น เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องที่เราต้องเคารพกระบวนการ เพียงแต่ว่าตรงไหนที่เกิดความไม่เป็นธรรม ตรงไหนที่มีความไม่สบายใจว่ามีการเข้าไปแทรกแซง มีการทำอะไรที่ไม่ถูกไม่ต้องในการใช้อำนาจ ตนก็มีหน้าที่คอยติดตาม หรือว่าถ้าคดีไหนมีอุปสรรคปัญหาที่จะต้องขัดขวาง มาเป็นปัญหามาขัดขวาง เราก็จะต้องมาช่วยกันดูว่าทำอย่างไรที่จะขจัดปัญหาอุปสรรคเหล่านั้นไปให้ได้

เมื่อถามว่าปัญหาเสื้อแดง ปัญหาคุณทักษิณ ปัญหาเรื่องของคดีคุณสนธิ อะไรพวกนี้ คิดว่าจะอย่างไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องคดีความตรงนี้ก็พยายามที่จะให้อุปสรรคหมดไป หลายส่วนเกิดจากความไม่มั่นใจ ความไม่แน่ใจ ความกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้น เป็นเรื่องภายใน ซึ่งขณะนี้คิดว่าก็เข้าไปแก้ปัญหา แล้วก็พูดคุยกับผู้ที่เกี่ยวข้อง ส่วนปัญหาของเสื้อแดง อดีตนายกฯ ตราบเท่าที่เขาเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบของกฎหมาย ในทางการเมือง การแข่งขันก็ว่ากันไป แต่ในส่วนใดก็ตามที่เป็นเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย ทำให้กฎหมายศักดิ์สิทธิ์ ตนก็เดินหน้าทำต่อ มีอุปสรรคอยู่แน่นอน แต่คิดว่าแนวทางที่ตรงไปตรงมาตรงนี้จะเป็นที่เข้าใจของประชาชนส่วนใหญ่ และมั่นใจว่าประชาชนส่วนใหญ่เข้าใจ แม้ปัญหาตรงนี้ยังไม่หมดไป แต่ก็คงจะไม่เป็นอุปสรรคในการทำงานของเราเพื่อประโยชน์ของประชาชน เพราะช่วงนี้ประชาชนกังวลมากที่สุดก็คือค่าครองชีพ

สำหรับคดีบอบยิงนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประธิปไตย ที่มีความพยามยามโยงให้เป็นเรื่องคดีการเมือง มีความเห็นจากหลายฝ่ายก็ได้กำชับให้ทีมพนักงานสอบสวนเคร่งครัดให้ยึดกฏหมายเป็นหลัก และให้ดำเนินคดีอย่างตรงให้ตรงไปตรงมา เช่นเดียวกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง หรือการโฟนอินเข้ามาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีว่า การเคลื่อนไหวสามารถดำเนินการได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้กรอบกฏหมาย
กำลังโหลดความคิดเห็น