คกก.สอบไต่สวนหุ้น 44 ส.ส.ขอขยายเวลาสอบอีก 15 วัน “สดศรี” คาดเป็นการขอครั้งสุดท้าย เชื่อไม่ใช่เป็นประวิงเวลา แต่เพื่อความรอบคอบ ระบุผลดีเปิดโอกาสให้ “วิสุทธิ์” ได้ศึกษาก่อนร่วมวินิจฉัยเชื่อไม่มี 2 มาตรฐาน เตรียมปฏิรูปองค์กร อาจสับเปลี่ยนหน้าที่เพื่อความคล่องตัว
วันนี้ (28 ก.ค) นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวถึงการพิจารณาสมาชิกภาพของ 44 ส.ส.ที่อาจกระทำการเข้าข่ายต้องห้ามมาตรา 48 ประกอบ มาตรา 265 (2) (4) ของรัฐธรรมนูญ เนื่องจากถือหุ้นในกิจการสื่อและหุ้นในบริษัทที่รับสัมปทานรัฐ ว่า ในการประชุม กกต.วันเดียวกันนี้ คณะกรรมการไต่สวนจะเสนอขอขยายเวลาการสอบสวนออกไปอีก 15 วัน เนื่องจากยังมีหุ้นของบริษัทหลายตัวที่ไม่ตรงกับหุ้นที่ กกต.เคยวินิจฉัยไปก่อนหน้านี้ คณะกรรมการจึงต้องการรอเอกสารจากตลาดหลักทรัพย์ก่อน ทั้งนี้คิดว่าการขอขยายเวลาครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งสุดท้าย
นอกจากนี้ ยังต้องให้เวลากับ นายวิสุทธิ์ โพธิแท่น ที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่ง กกต.ได้อ่านรายละเอียดก่อน เพราะนายวิสุทธิ์จะต้องร่วมวินิจฉัยด้วย เมื่อเข้ามาทำหน้าที่ กกต.ก็ต้องมีส่วนร่วมในงานของ กกต.ทุกส่วน ซึ่งคิดว่าจะไม่เป็นปัญหา เพราะโดยปกตินายวิสุทธิ์มีนักกฎหมายคอยช่วยในการให้ความเห็นอยู่แล้ว คาดว่าคงไม่มี 2 มาตรฐานเกิดขึ้น
“การขอขยายเวลาแล้วขยายเวลาอีก ไม่ได้เป็นการประวิงเวลา แต่ในคณะกรรมการไต่สวนมีกรรมการบางคนอาจไม่ชำนาญเรื่องหุ้น อีกทั้งข้อมูลของ 44 ส.ส.ก็มีเป็นจำนวนมาก ดังนั้น คงต้องให้เวลาในการพิจารณารายละเอียดเพื่อความรอบคอบ อีกทั้งคณะกรรมการควรจะแยกประเภทของหุ้น ว่า ส.ส.คนไหนถือหุ้นของบริษัทอะไร ลักษณะไหน ให้ชัดเจนเหมือนอย่างที่กกต.ได้เคยพิจารณากลุ่มของ ส.ว.และ ส.ส.ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ไปแล้ว เพื่อที่เมื่อชัดเจนแล้วก็จะได้ไม่ต้องกลับไปทำใหม่ กกต.ก็จะได้พิจารณามีมติ”
นางสดศรี ยังกล่าวถึงการแบ่งงานของ กกต.หลังนายวิสุทธิ์เข้าปฏิบัติหน้าที่ว่า นายวิสุทธิ์ เป็นคนที่มีประสบการณ์สูง มีความละเอียดลออ น่าจะช่วยงาน กกต.ได้เป็นอย่างดี เพราะงาน กกต.จะต้องอาศัยทั้งหลักรัฐศาสตร์ และนิติศาสตร์ ในการพิจารณา ซึ่งเรื่องหน้าที่รับผิดชอบ กกต.ทั้งหมดคงจะพูดคุยกัน โดยอาจจะเปิดโอกาสให้นายวิสุทธิ์เลือกว่าจะดูแลงานด้านไหน หรืออาจเข้าดูแลงานด้านกิจการการมีส่วนร่วม ที่ขณะนี้ว่างอยู่แล้วก็เป็นได้ ซึ่งส่วนตัวไม่มีปัญหาในการทำงานร่วมกัน เพราะเราทำงานด้วยความสามัคคีอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม สำหรับงานด้านกิจการพรรคการเมืองที่ตนเองดูแลอยู่นั้น ขณะนี้กำลังเป็นประเด็นร้อนแต่หลังจากนี้ เมื่องานต่างๆลงตัวก็อาจจะขอไปดูงานส่วนอื่นแทน แต่สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับที่ประชุม กกต.ว่าจะมีความเห็นว่าอย่างไร
“ส่วนตัวเคยมีความคิด ว่า กกต.ทั้ง 5 คนน่าจะผลัดเปลี่ยนงานกันได้ เพราะงานที่หนักขณะนี้คืองานด้านสืบสวนสอบสวน อาจจะมีการเปลี่ยนงานกันในวันข้างหน้า ส่วนงานด้านบริหารสำนักงานที่ ประธาน กกต.ดูแลอยู่นั้น อาจมีการหารือกันว่าจะให้ประธาน กกต. เปลี่ยนมาดูด้านอื่นหรือไม่ เพราะไม่ใช่อยู่กันไปเรื่อยๆ แบบนี้ อาจผลัดเปลี่ยนงานกันไปได้ แต่สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับที่ประชุมจะเห็นอย่างไร”
เมื่อถามว่า ในส่วนตำแหน่งของประธาน กกต.นั้น จะสลับสับเปลี่ยนหรือไม่ นางสดศรี กล่าวว่า ตำแหน่งประธานนั้น จะต้องอาศัยทั้งหลักรัฐศาสตร์ และนิติศาสตร์ในการพิจารณา หากนายอภิชาต รู้สึกเบื่อ จะเปลี่ยนให้คนอื่นทำก็ได้ ซึ่งก็ต้องแล้วแต่เจตจำนงของนายอภิชาตเอง กกต.คนอื่นคงไม่มีความเห็นว่า นายอภิชาต จะต้องเปลี่ยนตำแหน่งหรือไม่ ส่วนตัวไม่เคยมีความคิดเป็นประธาน กกต.เพราะอยู่อย่างนี้ก็สบายอยู่แล้ว