“นายกฯ” ย้ำจุดยืนเป็นนักการเมืองต้องอยู่ภายใต้กติกาบ้านเมือง วอน “แม้ว” กลับสู่กระบวนการตามกติกา มองสภาพแล้วอยู่อย่างลำบากจึงไม่หยุดเคลื่อนไหว เมินบิ๊กเซอร์ไพรส์ เผยวันนี้มีงานต้องเร่งหาข้อมูลคดี “สนธิ” เพิ่มเติม ยอมรับปัญหาแบ่งฝ่ายในวงราชการยังมี วอนอย่าเอามาเกี่ยวพันหน้าที่ “อัศวิน” ดอดพบนายกฯ อ้างรายงานคดีปล้นรถขนทอง ปัดตอบถกคดีลอบยิง “สนธิ” โบ้ยสื่อถามนายกฯเอง
วันนี้ (26 ก.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พูดในรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีจะมีความสุขถ้ามี “ดวงตาเห็นธรรม” ว่าคงไม่ต้องขยายความอะไรอีก คิดว่าถ้าจะให้ตนสื่อสารถึง พ.ต.ท.ทักษิณ เนื่องในวันคล้ายวันเกิด ตนก็พูดได้เท่านี้ เมื่อถามว่าอยากฝากอะไรถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะที่เป็นนักการเมืองด้วยกัน นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนได้ย้ำ และเห็นเป็นวันเกิดท่าน แต่จุดยืนที่ตนมีอยู่คือเป็นนักการเมืองก็ต้องอยู่ภายใต้กติกาของบ้านเมือง ดังนั้นจึงอยากให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาแล้วเข้าสู่กระบวนการต่างๆ ตามกติกา
ผู้สื่อข่าวถามว่า การเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในขณะนี้ฟ้องว่า พ.ต.ท.ทักษิณยังไม่หยุด เกรงหรือไม่ว่าจะก่อให้เกิดปัญหาเหมือนกับช่วงที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เป็นความเคลื่อนไหวที่บ่งบอกชัดเจนว่าไม่หยุด เมื่อวานนี้ (25 ก.ค.) พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ให้สัมภาษณ์คล้ายๆ กับขอโทษตนเรื่องที่แย่งซีน ความจริงไม่มีความจำเป็น เพราะตนคิดว่าหลายคนก็คงไม่อยากจะได้ซีน ถ้าต้องเป็นอย่างท่าน ดังนั้น เป็นเรื่องที่ตนเข้าใจว่าท่านเองก็ต้องพยายามที่จะเคลื่อนไหว เพราะสภาพที่เป็นอยู่คงมีความลำบาก แต่ตนก็ต้องยืนยันว่าทั้งหลายทั้งปวง ซึ่งรัฐบาลทำนั้น ไม่ได้เป็นเรื่องส่วนตัวกับท่าน แต่เป็นเรื่องของการรักษากฎหมาย
เมื่อถามว่า เดาได้หรือไม่ว่าวันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณจะทำเซอร์ไพรส์อะไร นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า บอกตรงๆ ว่าตนไม่ได้คิดเรื่องเหล่านี้ เช้าขึ้นมาตนก็เตรียมเอาข้อมูลให้ประชาชนในการออกรายการ และช่วงวันนี้ตนก็มีเรื่องที่จะต้องไปหาข้อมูลเพิ่มเติม หลังจากที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง รายงานเกี่ยวกับปัญหาคดีการลอบยิงนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และช่วงบ่ายตนก็จะไปเตะฟุตบอลกับคณะทูต ส่วนคนอื่นจะทำอะไรก็เป็นสิทธิเสรีภาพถ้าไม่ผิดกฎหมาย
เมื่อถามว่าการเคลื่อนไหวส่งผลต่อการแตกแยกในสังคมรุนแรงมากขึ้นรัฐบาลจะดำเนินการอย่างไร นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เราก็พยายามที่จะให้อยู่บนความพอดี คือ เราต้องยอมรับสิทธิเสรีภาพของการเคลื่อนไหวของทุกๆคน ซึ่งอาจจะมีความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างได้ แต่พฤติกรรมที่เข้าข่ายลักษณะการยุยงให้เกิดความรุนแรง ความแตกแยก เราก็ดำเนินการตามกฎหมาย ดังนั้นจะเห็นว่าเรื่องวิทยุชุมชนเราก็ให้ กทช.เข้าไปกำกับดูแล หากเป็นรื่องการวิพากษ์วิจารณ์การเมืองตามปกติก็ทำได้ แต่ถ้าเข้าสู่จุดที่เป็นการปลุกระดมให้เกิดความรุนแรง ผิดกฎหมาย เราก็ไม่ให้ทำ
เมื่อถามว่าคิดว่าบทเรียนที่ผ่านมารัฐบาลสามารถเก็บเกี่ยวและป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำได้อีกหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนต้องทำอย่างนั้น ต้องไม่ให้เกิดขึ้น เพราะทุกครั้งที่เกิดขึ้นก็กระทบกับประโยชน์ของประชาชน ตนก็อยากจะบอกกับผู้ที่เคลื่อนไหวทั้งหลายว่า ไม่ว่าจะมีเป้าหมายส่วนตัวหรือเป้าหมายของกลุ่มอย่างไร อยากให้เห็นแก่ประโยชน์ของส่วนรวม และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชน ตัวอย่างที่เห็นมาเวลาเกิดเหตุการณ์วุ่นวายทางการเมืองทุกครั้ง ก็กระทบกับเศรษฐกิจและปากท้องของประชาชนทุกคน
ผู้สื่อข่าวถามว่า คิดว่าตอนนี้อำนาจรัฐมีเอกภาพและเพียงพอที่จะแก้ปัญหาได้หรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ตนคิดว่าอำนาจรัฐที่ใช้อยู่มีเพียงพอ แต่ต้องยอมรับว่าปรากฏการณ์ของความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วง 3-4 ปี ทำให้คนที่ใช้อำนาจรัฐ ที่เป็นกลไกต่างๆ มีความสับสนพอสมควร และตนเคยยอมรับชัดเจนว่าก่อนหน้าเหตุการณ์ที่พัทยาและช่วงสงกรานต์ ความสับสนและความไม่มั่นใจตรงนี้เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาขึ้น ถ้าให้ตนประเมินตอนนี้ก็ดีขึ้นมามาก แต่ต้องปรับปรุงต่อไปยังไม่ลงตัวเสียทีเดียว ซึ่งสิ่งที่ต้องปรับปรุงคือความลังเลในบางเรื่อง ในการบริหารจัดการ และความไม่มั่นใจ ซึ่งตนก็เห็นใจ เพราะเป็นความไม่มั่นใจว่าความพอดีระหว่างการที่จะต้องให้โอกาสในการเคลื่อนไหว เรื่องสิทธิเสรีภาพ กับการที่จะต้องไม่ให้ลุกลามไปกระทบกับความมั่นคงกับประเทศ เส้นแบ่งอยู่ตรงไหน ซึ่งตนก็เข้าใจว่าไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะเวลาเป็นเจ้าหน้าที่ในระดับปฏิบัติ เขาก็จะต้องประเมิน ทำให้เจ้าหน้าที่มีความกังวล
เมื่อถามว่าปัญหาการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายในแวดวงราชการเป็นอุปสรรคของรัฐบาลหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนได้ให้ความมั่นใจว่าข้าราชการก็เหมือนกับคนอื่นๆ ย่อมมีความคิดในทางการเมือง มีความชอบไม่ชอบ สนับสนุนหรือไม่สนับสนุนใครเป็นการส่วนตัว แต่สิ่งที่ตนพยายามบอกกับทุกส่วนราชการคือการทำหน้าที่ในฐานะข้าราชการต้องถอดสิ่งเหล่านั้นออก แล้วปฏิบัติหน้าที่ของตัวเอง ซึ่งหลายคนก็ทำได้ดีขึ้น แต่จะบอกว่าทำได้ทุกคนหรือยัง ก็ต้องตอบว่ายัง แต่ก็ต้องทำให้มากขึ้น ของอย่างนี้ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนได้ใน 1-2 วัน หรือแม้แต่ครึ่งปี แต่ถ้ารัฐบาลแสดงให้เห็นว่าการเป็นฝ่ายของผู้มีอำนาจ ไม่เอาอำนาจนั้นเข้าไปใช้ราชการเพื่อเป็นเครื่องมือทางการเมืองก็น่าจะดีขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 11.00 น. พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ช่วยผู้บัญชการตำรวจแห่งชาติ ได้เดินทางมาเข้าพบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการเข้าพบประมาณ 30 นาที พล.ต.ท.อัศวิน กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า เป็นการมารายงานคดีปล้นรถขนทองคำที่ จ.สมุทรปราการ เมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการกระทำที่อุกอาจ เมื่อถามว่ามีการพูดถึงคดีลอบยิงนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ด้วยหรือไม่ พล.ต.ท.อัศวิน กล่าวว่า ให้ไปถามนายกฯ