xs
xsm
sm
md
lg

“มาร์ค” อวยพร “แซยิดแม้ว” ขอให้ “ดวงตาเห็นธรรม” เย้ยบิ๊กเซอร์ไพรส์แค่ร้องหาความอบอุ่นทางจิต

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“อภิสิทธิ์” ฝากขอบคุณชาวไทยที่ร่วมเป็นเจ้าภาพจัดประชุม รมต.อาเซียนสำเร็จลุล่วง ยอมรับยังไม่พอใจผลงานบริหารรอบ 6 เดือน ทั้งปัญหาเศรษฐกิจ และการเมือง ที่ยังคงมีความพยายามดึงสถาบันเบื้องสูงมาแปดเปื้อนการเมือง ฝากอวยพร “นช.แม้ว” ขอให้ “ดวงตาเห็นธรรม” เมินบิ๊กเซอร์ไพรส์แค่เรียกหาความอบอุ่นทางจิต

คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์”



วันนี้ (26 ก.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวผ่านรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์ ทางสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ กล่าวถึงการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนและประเทศคู่เจรจาที่จังหวัดภูเก็ตเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า สัปดาห์ที่ผ่านมาประเทศไทยได้ทำหน้าที่สำคัญในการเป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนและเวทีความมั่นคงในภูมิภาค ซึ่งนอกเหนือจากการเป็นเจ้าภาพแล้ว ประเทศไทยยังคงทำหน้าที่เป็นประธานของอาเซียนด้วย โดยในการจัดการประชุมที่ภูเก็ตที่มีขึ้นครั้งนี้ นอกเหนือจากประเทศในกลุ่มอาเซียน ประเทศซึ่งเป็นคู่เจรจาสำคัญๆ ซึ่งมีทั้งจีน ญี่ปุ่น เกาหลี สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย อินเดีย และอีกหลายประเทศแล้ว ก็ยังมีประเทศอื่น ๆ เข้ามาร่วมในการประชุมเวทีความมั่นคงด้วย

"ผมอยากขอบคุณพี่น้องประชาชนชาวภูเก็ตและพี่น้องประชาชนคนไทย ซึ่งได้ทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพที่ดี ทำให้การประชุมนั้นผ่านพ้นไปด้วยความเรียบร้อย ซึ่งมีส่วนสำคัญอย่างมากในการที่จะสร้างความเชื่อมั่นในแง่ของภาพลักษณ์ของประเทศไทย และโดยเฉพาะสำหรับพี่น้องชาวภูเก็ตเอง ก็น่าจะเป็นข่าวดีในแง่ของการที่จะกระตุ้นการท่องเที่ยวให้เกิดความเชื่อมั่น และมีนักท่องเที่ยวเข้ามามากขึ้น หลังจากที่เราประสบกับปัญหาการสะดุดลงตั้งแต่เดือนเมษายน โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่พัทยา นอกจากนั้นคงต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย ทั้งกระทรวงการต่างประเทศ ทั้งในส่วนของฝ่ายรักษาความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัยความมั่นคงทั้งหลายที่ได้ทำงานกันอย่างหนักตลอด 1 สัปดาห์ และทำให้การประชุมผ่านพ้นไปด้วยดี ในแง่ของความราบรื่นของการจัดการ"นายกฯ กล่าว

นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนั้นเนื้อหาสาระของการประชุมเองก็มีความคืบหน้าไปมาก การประชุมครั้งนี้มีเป้าหมายสำคัญคือในการเดินหน้าที่จะไปสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ซึ่งก็มีความคืบหน้าในเรื่องของการที่จะมีการจัดตั้งกลไกเกี่ยวกับเรื่องของสิทธิมนุษยชน กลไกที่จะเป็นกลไกที่ระงับข้อพิพาทในกรณีที่เกิดขึ้นระหว่างประเทศสมาชิกด้วยกัน และในส่วนของเวทีความมั่นคงในภูมิภาคเอง แม้ว่าปัญหาเรื่องยาก ๆ อย่างเช่นเรื่องเกาหลีเหนือ เรื่องพม่า เราก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะให้ทุกฝ่ายมีความเห็นพ้องต้องกัน แต่ว่าอย่างไรก็ตาม การที่เราได้จัดเวทีนี้ขึ้นมาทำให้หลายประเทศที่เกี่ยวข้องกับปัญหาทั้งหลายเหล่านี้ ได้มีโอกาสมาแลกเปลี่ยนพูดคุยกัน ซึ่งเป็นสิ่งซึ่งไม่ได้มีโอกาสมาก่อนหน้านี้

ประธานอาเซียน กล่าวด้วยว่า สิ่งที่เป็นเสียงสะท้อนที่ดีคือว่าในระหว่างการประชุมหรือว่าก่อนและหลังการประชุมนั้น ตนได้มีโอกาสพบกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสหรัฐอเมริกาและทั้งรัสเซีย ซึ่งทั้งสองประเทศได้แสดงความพึงพอใจต่อบทบาทของประเทศไทยในการดำเนินการในการจัดการประชุม หรือการทำหน้าที่เป็นประธานในครั้งนี้ แล้วยังได้มายืนยันในเรื่องของการกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคี

"อย่างสหรัฐฯ ท่าทีที่ท่านรัฐมนตรีต่างประเทศ นางฮิลลารี คลินตัน ได้แสดงออกตลอดระยะเวลาที่อยู่ในประเทศไทยชัดเจนมากว่า ทางสหรัฐอเมริกานั้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลก็กำลังให้ความสำคัญกับภูมิภาคเอเชียอย่างเต็มที่ และคาดหวังประเทศไทยในฐานะที่เป็นพันธมิตรหรือเป็นมิตรประเทศมายาวนานกว่า 175 ปี ที่จะกระชับความร่วมมือทางด้านต่าง ๆ ด้วย และในส่วนของความสัมพันธ์กับสหรัฐฯนั้น"นายกฯ กล่าว

นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ปลายเดือนนี้(กรกฎาคม)ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ก็เดินทางไปที่สหรัฐอเมริกา เนื่องจากฟิลิปปินส์เป็นผู้ประสานงานในส่วนของอาเซียนกับสหรัฐอเมริกาด้วย ซึ่งประธานาธิบดีฟิลิปปินส์โทรศัพท์มาหาตนก็ได้พูดคุยกัน ได้แสดงความพึงพอใจกับบทบาทของเราในการประชุมที่ภูเก็ต แล้วได้สอบถามความคิดเห็น ซึ่งตนได้ให้ความเห็นและสรุปเรื่องราวต่างๆ ที่ได้มีการพูดคุยกัน เพื่อประโยชน์ในการที่ทางฟิลิปปินส์เองจะนำไปใช้ในการพูดคุยกับสหรัฐฯ และจะผลักดันความร่วมมือของอาเซียนกับสหรัฐฯ ต่อไปด้วย ซึ่งตรงนี้คิดว่าจะเป็นผลดีอย่างมาก ทั้งในส่วนของประเทศไทย ทั้งในส่วนของอาเซียนโดยรวม

นายกฯ กล่าวอีกว่า การพบปะกับท่านรมว.ต่างประเทศของรัสเซีย มีการพูดถึงการกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคี ซึ่งกลไกต่างๆ ที่จะทำงานเร่งรัดผลักดันให้เกิดการค้าการลงทุนระหว่างกันมากขึ้น ในฐานะที่รัสเซียก็เป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่และกำลังเติบโต ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่จะเป็นประโยชน์กับธุรกิจไทย กับประชาชนคนไทยไม่น้อย การดำเนินงานทางด้านการต่างประเทศตรงนี้ คิดว่ากำลังมีส่วนสำคัญในการที่จะทำให้ความเชื่อมั่นและในเรื่องของการท่องเที่ยว สามารถฟื้นตัวได้เร็วขึ้น

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการทำงานของรัฐบาลในช่วง6 เดือนที่ผ่านมาก่อนที่จะมีการแถลงอย่างเป็นทางการในวันที่ 3 สิงหาคมซึ่งตรงกับวันคล้ายวันเกิดของนายอภิสิทธิ์ว่า ตนคิดว่าดีที่สุดก็คือลองนึกย้อนกลับไปประมาณปลายปีที่แล้ว ที่บ้านเมืองก็เรียกว่ายุ่งเหยิงวุ่นวายพอสมควร และก็ขณะเดียวกันเราก็กำลังตกใจกันว่าเศรษฐกิจโลกเข้ามากระแทกเศรษฐกิจไทยแรง ตนเข้ามานี้ 2 สิ่งที่อยู่ในใจคนคืออยากเห็นบ้านเมืองสงบ และอยากเห็นเศรษฐกิจสามารถที่จะฟื้นตัวได้

"ในแง่ว่าบ้านเมืองสงบนี้แน่นอน 6 เดือนผ่านมาก็ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ แต่ในขณะนี้ก็คงจะรู้สึกได้ว่าบ้านเมืองเราก็กลับเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น แต่ว่าผมไม่ได้ประมาทและก็ติดตามสถานการณ์ความเคลื่อนไหวต่างๆ ที่รู้ว่ายังมีปมความขัดแย้งต่างๆ อยู่ ก็จะเดินหน้าค่อยๆ คลี่คลายไป"นายกฯ กล่าว

นายอภิสิทธิ์ ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล กล่าวถึงผลงานด้านเศรษฐกิจถึงสัญญาณที่ดีของเศรษฐกิจประเทศไทยว่า สัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนกับหลายๆ ฝ่าย ทั้งในส่วนของผู้แทนขององค์กรระหว่างประเทศ ทั้งในส่วนของการที่ตนได้เชิญประชุมหัวหน้าส่วนราชการและหน่วยงานสำคัญๆ ทางด้านเศรษฐกิจ คือได้มีการประชุมร่วมกับทางกระทรวงการคลัง ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) และมาดูตัวเลขทางเศรษฐกิจ

"ผมคิดว่าเราเริ่มเห็นแนวโน้มที่ดี คือนอกเหนือจากเศรษฐกิจโลกเองมีแนวโน้มที่จะมีความเข้มแข็งเติบโตขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ปรากฏว่าเรามาไล่ดูตัวเลขเศรษฐกิจที่เป็นตัวเลขรายเดือน สิ่งที่น่าดีใจคือพบว่าหลังจากที่ตัวเลขทางเศรษฐกิจ ถ้าเทียบเดือนต่อเดือนมีลักษณะของการติดลบมาต่อเนื่อง หลังจากที่เกิดวิกฤตตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว มาในเดือนมิถุนายนนี้ปรากฏว่าตัวเลขต่างๆ ถ้าเทียบกับเดือนพฤษภาคมเริ่มเป็นบวก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของดัชนีการบริโภค ไม่ว่าจะเป็นดัชนีทางด้านการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการส่งออกเอง ถ้าเทียบเดือนต่อเดือนก็กลับมาเป็นบวก"นายกฯ กล่าว

หัวหน้าทีมเศรษฐกิจรัฐบาล กล่าวด้วยว่า นอกจากนั้นการสำรวจความเชื่อมั่นทั้งของผู้บริโภค ทั้งของธุรกิจ ก็มีแนวโน้มที่จะขยับตัวสูงขึ้นในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมานี้ เพราะฉะนั้นคิดว่าขณะนี้เราเริ่มเห็นสัญญาณของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งก็ดูจากทั้งเรื่องของตัวเลขการเติบโตต่างๆ ที่ได้พูดมาแล้ว การใช้กำลังการผลิต ซึ่งตรงนี้เป็นผลดีกับเรื่องของการสร้างงานด้วย เพราะว่าก่อนหน้านี้คงจำกันได้ว่าเราวิตกกังวลกันมากว่าตัวเลขการจ้างงานหรือปัญหาการว่างงานจะเป็นปัญหาที่รุนแรงมาก แต่ว่าในขณะนี้ถ้าหากว่าเรามองเห็นชัดเจนว่าเศรษฐกิจไม่น่าที่จะตกต่ำไปมากกว่านี้ และเริ่มที่จะทรงตัวหรือเริ่มขยับตัวขึ้น ก็จะทำให้แรงกดดันในเรื่องของปัญหาการจ้างงานลดลงไป

"ทั้งหลายทั้งปวงนี้ยืนยันว่าสิ่งที่ผมได้เคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่า เศรษฐกิจที่จะติดลบ 3 ไตรมาสแรก น่าจะกลับมาเป็นบวกได้ในไตรมาสที่ 4 ขณะนี้การประมาณการของหน่วยงานต่างๆ ก็ยังเป็นไปตามแนวทางนี้ จริงอยู่ ในช่วงกลางสัปดาห์มีการบอกว่าธปท.นั้นปรับลดตัวเลขเศรษฐกิจทั้งปีลง แต่ว่าท่านผู้ว่าการฯ ได้คุยกับผมว่า ปัจจัยที่ปรับลง เพราะว่าในไตรมาสแรกเศรษฐกิจติดลบมากกว่าที่ธปท.เคยคาดการณ์ไว้ แต่ว่าถ้าดูตัวเลขในแง่ของเดือนมิถุนายนแล้วก็ยังมีความมั่นใจว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจจะค่อย ๆ ลดลงโดยลำดับ และจะกลับมาเป็นบวกได้ในไตรมาสที่ 4"นายกฯ กล่าว

นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า เมื่อพูดถึงเรื่องของเศรษฐกิจและการว่างงานแล้ว เลยถือโอกาสรายงานเรื่องของโครงการสำคัญของรัฐบาลโครงการหนึ่งที่ได้ดำเนินการมาประมาณ 4 เดือนแล้ว คือเรื่องของโครงการต้นกล้าอาชีพ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการที่รัฐบาลจะใช้ในการรับมือกับเรื่องของปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ และปัญหาการว่างงาน ทั้งนี้มีผู้ที่สนใจเข้ามาสู่โครงการต้นกล้าอาชีพประมาณ 4 แสนคน และใน 4 แสนคนขณะนี้ได้ดำเนินการจัดการฝึกอบรม ทั้งที่ฝึกไปแล้ว ทั้งที่ทำอยู่ ประมาณเกือบ 2 แสนคนแล้ว แบ่งเป็นในส่วนของโครงการต้นกล้าอาชีพที่ประชาชนเข้ามา และอยากจะแสดงความสนใจ อยากจะฝึกในเรื่องต่าง ๆ เกือบแสนคน อีก 8 หมื่นคนจะเป็นโครงการพิเศษ เช่น หน่วยงานต่างๆ มีความต้องการในเรื่องของคนที่จะเข้ามาทำงานให้ เช่น การคืนครูให้นักเรียน ที่เราทำการฝึกอบรม และสร้างเจ้าหน้าที่ธุรการกระจายไปตามโรงเรียนต่าง ๆ หรือจะเป็นในเรื่องของการที่จะมีการทำการสำรวจขึ้นทะเบียนเกษตรกร ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำลังจะต้องดำเนินการอยู่ เพื่อรองรับในเรื่องของนโยบายการประกันราคาหรือประกันรายได้ในเรื่องข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง และนอกจากนั้นยังมีอีกเกือบ 2 หมื่นคนที่เข้ามาในโครงการนี้ภายใต้ข้อตกลงระหว่างรัฐบาลกับภาคเอกชนเองว่า ถ้าเข้ามารับการฝึกอบรมแล้ว ทางภาคเอกชนจะชะลอการเลิกจ้าง

นายกฯ กล่าวว่า เพราะฉะนั้น เกือบ 2 แสนคนเข้ามาสู่โครงการนี้แล้ว ที่น่าสนใจคือว่าเมื่อได้รับการฝึกอบรมแล้ว 70 เปอร์เซ็นต์โดยประมาณของคนที่ผ่านการฝึกอบรมมีงานทำแล้ว จะเป็นการไปรับจ้างหรือการประกอบอาชีพอิสระ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าโครงการที่รัฐบาลดำเนินการน่าจะสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจในการที่จะแก้ไขปัญหาในเรื่องของการว่างงาน
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า นอกจากเรื่องของการที่บอกว่ามีงานทำแล้ว สิ่งหนึ่งที่เป็นเป้าหมายของต้นกล้าอาชีพคือเราส่งเสริมให้คนที่ผ่านโครงการกลับไปทำเรื่องของวิสาหกิจชุมชน ซึ่งมีตัวอย่างเยอะ อาทิ ระยองฝึกเรื่องของชำร่วย โคราชทำเรื่องของการซ่อมกระเป๋า กางเกงยีนส์ เพ้นท์เสื้อยืดที่ปทุมธานี แม้กระทั่งปาท่องโก๋ที่ชัยภูมิ

"โครงการต้นกล้าอาชีพก็ยังเดินหน้าต่อ นอกเหนือจากเป็นการชะลอการเลิกจ้าง นอกเหนือจากเป็นการสร้างงานแล้ว เรากำลังจะพยายามสนับสนุนให้เกิดวิสาหกิจชุมชน ให้คนกลับไปถิ่น และเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคของชุมชน ในภาคของพื้นที่ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย อันนี้เป็นเรื่องของความคืบหน้าทางเศรษฐกิจ ซึ่งผมคิดว่าเป็นแนวโน้มที่ดี"นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายกฯ กล่าวว่า อย่างไรก็ตามปัญหาในเรื่องของเศรษฐกิจก็ยังมีอยู่ และในหลายส่วนๆ ก็ยังต้องการได้รับความช่วยเหลือ เช่น ในส่วนของภาคเกษตร ซึ่งรัฐบาลได้มีมติไปแล้วว่า ต่อไปนี้ระบบการสนับสนุนในเรื่องของเกษตรกรของพืชหลัก คือ ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง นั้นจะเปลี่ยนแปลงจากระบบการแทรกแซงราคาเดิม มาเป็นระบบที่เกษตรกรทุกคนจะได้ประโยชน์ คือพูดง่ายๆ ไม่ได้มีว่าต่อไปนี้จะมีการจำนำเพียงเท่านั้นเท่านี้ กี่ล้านตัน และปรากฏว่าพอถึงโควตาก็มีเกษตรกรซึ่งไม่ได้ประโยชน์จากโครงการ ต่อไปนี้เรากำลังจะเปิดโอกาตั้งแต่เดือนสิงหาคมในส่วนของข้าว ที่จะให้เกษตรกรนั้นมาขึ้นทะเบียน และทุกคนที่ขึ้นทะเบียนจะได้ประโยชน์จากโครงการในการแทรกแซงของภาครัฐ ในเรื่องของโครงการประกันราคา ซึ่งจะมีการทยอยอธิบายรายละเอียดในเรื่องนี้ และคงจะต้องใช้เวลา อาจจะต้องมีรายการพิเศษสักวันหนึ่งที่พูดคุยกันถึงเรื่องนี้ต่อไป

นายกฯ กล่าวอีกว่า ยังมีเกษตรกรบางกลุ่มขณะนี้ประสบกับความเดือดร้อน นั่นคือเกษตรกรชาวสวนลำไย ที่จริงแล้วก่อนหน้านี้ราคาลำไยไปได้ค่อนข้างดี แต่ปรากฏว่าขณะนี้ผลผลิตลำไยออกมาค่อนข้างเร็วและค่อนข้างมาก โดยเฉพาะที่เป็นลำไยสดร่วง อันนี้เลยเป็นปัญหาที่กระทบกับในเรื่องของการตลาด ซึ่งครม.ได้มีมติแล้วในส่วนของกระทรวงการคลังไปเร่งรัดในเรื่องของการอำนวยสินเชื่อให้มีคนเข้าไปซื้อลำไย และในส่วนของกระทรวงเกษตรฯ จะมีเรื่องของการที่จะไปช่วยพิจารณาว่า สหกรณ์หลายสหกรณ์ซึ่งเคยมีปัญหาจากการแทรกแซงในอดีตมีปัญหาหนี้เสีย จะมีวิธีการดูแลผ่อนผันได้อย่างไรให้สามารถเข้ามาร่วมโครงการในการแทรกแซงเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่เป็นชาวสวนลำไย อันนี้เป็นเรื่องหนึ่งซึ่งรัฐบาลยังติดตามอย่างใกล้ชิด

นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า สัปดาห์ที่ผ่านมานายกอร์ปศักดิ์ สภาวะสุ รองนายกฯด้านเศรษฐกิจ นายกรณ์ จาติกวณิชย์ รมว.คลัง ได้เชิญธนาคารรัฐต่าง ๆ มา แล้วเริ่มกำหนดเป้าหมายในเรื่องการปล่อยสินเชื่อ เพราะว่าตอนนี้พอเศรษฐกิจเริ่มทรงหรือว่าตัวเลขต่างๆ เริ่มเป็นบวกมากขึ้น ความกังวลวิตกกังวลเรื่องหนี้เสียจะลดลง เพราะฉะนั้นการเร่งเป้าหมายตรงนี้ก็จะทำได้มากขึ้น เรื่องที่สองคือเรื่องของค่าเงิน ซึ่งเราก็บ่นกันว่าแข็งจนทำให้กระทบการส่งออกหรือไม่
"ก็ต้องยอมรับว่าขณะนี้ 6เดือนผ่านไป การเกินดุลการค้ามันเกินดุลเยอะมาก เพราะว่าส่งออกลด แต่ว่านำเข้าลดมากกว่า ก็เลยทำให้มีแรงกดดันให้ค่าเงินแข็ง ซึ่งตรงนี้ก็ได้มีการทำความเข้าใจกันพูดคุยกับทางกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว ว่าการบริหารจัดการในเรื่องของเงินโดยเฉพาะเรื่องของเงินกู้ต่าง ๆ นี้ก็จะใช้วิธีการซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันค่าเงินไม่ให้แข็งขึ้น เช่น ขณะนี้กำลังไล่ดูครับว่าหลายโครงการซึ่งจะต้องกู้เงินต่างประเทศเข้ามาก็เปลี่ยน กู้ในประเทศ เพราะมีเงินในประเทศอยู่เยอะ แล้วก็ค่อยไปแลก หรือว่าถ้ากู้ต่างประเทศเข้ามาก็มาพักไว้ก่อน เพื่อที่จะเป็นแนวทางในการที่จะลดแรงกดดันต่อค่าเงิน"นายอภิสิทธิ์ กล่าว

นายกฯ กล่าวว่า ฉะนั้นภาพรวมเรื่องเศรษฐกิจ-การเมือง ก็เป็นไปในแนวทางซึ่งเราได้วางไว้ แต่จะบอกว่าพอใจไหม บอกพอใจไม่ได้ ตนจะไม่พอใจจนกว่าเศรษฐกิจกลับมาเป็นบวก จะไม่พอใจจนกว่าเรามีความสบายใจว่าความขัดแย้งทางการเมืองได้คำตอบสุดท้ายแล้ว ซึ่งยังไม่ได้ เราก็อยู่ในช่วงของการพิจารณารายงานของคณะกรรมการของสภาฯ มา

"ขณะเดียวกันก็ต้องบอกว่าแม้ว่ามีวิกฤตสองเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ 6 เดือนที่ผ่านมาเราก็ทำอีกหลายเรื่อง ซึ่งคนพูดกันมานานว่าอยากให้ทำ หลายคนบอกจะทำแต่ก็ไม่ได้ทำ เช่น เรื่องเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เช่น เรื่องของการเรียนฟรี เช่น เรื่องของการที่จะให้ขวัญกำลังใจ อสม. อย่างนี้เป็นต้น พูดกันมานานแต่ไม่ได้ทำ ตอนนี้ทำแล้ว นอกจากนั้นที่สำคัญก็คือว่า การปูทางไปสู่การปรับโครงสร้างของเศรษฐกิจสังคมในระยะยาว ก็ไม่ได้มีการ พูดง่าย ๆ ว่าลืมไป ปฏิรูปการศึกษาก็เดิน ปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ทำเรื่องของเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ Creative Economy ก็ทำ กำลังทำระบบสวัสดิการ ระบบการออม แก้ปัญหาเรื่องที่ทำกิน ด้วยการเอาระบบใหม่เข้ามา และก็ที่อยู่อาศัยที่เราไปลงพื้นที่กัน พวกนี้ก็เดินหมด"นายกฯ กล่าว

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า มีคนบอกว่าเห็นข่าวตนไปเปิดงาน-ปาฐกถาเยอะ ที่จริงอยากจะบอกว่าตนทำงานแต่ละวันนี้ ไม่ได้ไปละเลยเรื่องอื่น ยืนยันได้เลยว่าการประชุม การสั่งการ การติดตามข้อมูลยืนยันได้ว่าทำไม่น้อยกว่าผู้นำท่านอื่นๆ แน่นอน เพียงแต่ว่าคนที่ติดตามตนทำงานทราบว่าตนเริ่มทำงานเช้า เพราะฉะนั้นการที่ไปงานเปิดงาน ในอดีตอาจจะ 1 งาน ก็ทำให้ได้สัก 2 แต่ว่าเช้าก็ประชุมได้ บ่ายก็ประชุมได้ ช่วงกลางวันก็เชิญผู้เกี่ยวข้องมา ทำได้ตลอดเวลา และยังมีแรงที่จะทำอยู่ ก็ตั้งใจจะทำ

"ผมยกตัวอย่างว่า กรรมการที่ในอดีตนายกรัฐมนตรีไม่เข้ามาดูแลด้วยตัวเอง ผมเข้ามาดูเยอะ เช่น ผู้สูงอายุ คนพิการ เด็กเยาวชน กรรมการบางกรรมการไม่ประชุมมา 2 ปี ผมก็ต้องมารื้อฟื้น เช่น กรรมการโรคเอดส์ เพิ่งประชุมกันไปนี้ เพราะว่า 2 ปีที่ผ่านมาสถานการณ์เรื่องเอดส์ของเราก็แย่ลง เพราะฉะนั้นตรงนี้ก็จำเป็นจะต้องเข้าไปดูแลแก้ไข เพราะฉะนั้นก็อยากจะให้ความมั่นใจว่าผมทุ่มเททำงานเต็มที่ แต่ว่าปัญหานี้ผมเชื่อว่าพี่น้องประชาชนเข้าใจอยู่แล้วว่า สถานการณ์หนักหน่วงพอสมควร ผมก็จะเดินหน้าทำอย่างเต็มที่ต่อไป และก็ยินดีรับฟังเสียงสะท้อนต่าง ๆ เพื่อที่จะปรับปรุงการทำงาน"นายอภิสิทธิ์ กล่าว

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงกรณีคนเสื้อแดงจัดวันเกิดให้อดีตนายกที่หนีคดีว่า ตนกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ อายุห่างกันเยอะเป็น 10 กว่าปี อย่างไรก็ตามสำหรับพร 3 ข้อในวันเกิดของตัวเองที่กำลังจะถึงในวันที่ 3 สิงหาคมนี้ ตนก็คงเหมือนกับทุก ๆ คน 3 ข้อนี้ก็ต้องบอกก่อนว่า 1. ตัวเองก่อน ขอให้ตัวเองมีสุขภาพแข็งแรง 2. ก็ครอบครัว ครอบครัวนี้เราก็อยากให้ครอบครัวเรามีสุขภาพแข็งแรง มีความสุข เป็นครอบครัวที่อบอุ่น และ 3. คือประเทศชาติ ให้สงบ ให้เจริญ 3 ข้อนี้ตนว่าทุกคนน่าจะเหมือนกันมั้ง

เมื่อผู้ดำเนินรายการรับเชิญถามว่า 3 ข้อนี้พอแล้วหรือ นายกฯ กล่าวว่า "ครับ" เมื่อถามว่า ต้องอวยพรท่านนายกฯ ทักษิณด้วยไหม นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า "ผมก็ไม่มีอะไรนะครับ ท่านก็มีการฉลองจัดงานอะไรต่างๆ ก็เป็นเรื่องปกติ ผมก็คิดว่าท่านก็คงเหมือนคนอื่นมั้งครับ ก็คงอยากจะมีความสุข ถ้าผมสื่อสารได้ผมก็อยากจะบอกว่า ถ้าหากว่าท่านใช้คำว่า"ดวงตาเห็นธรรม" ก็คงจะมีความสุขมากขึ้น"นายกฯ กล่าว

เมื่อถามถึงความสุขในบั้นปลายหลังจากไม่ได้เป็นนายกฯ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนว่าความสุขผมไม่ได้อยู่ที่ว่ามีตำแหน่งอะไรอันนี้พูดจากใจจริง เพราะฉะนั้นตนถึงค่อนข้างจะสบายใจว่า ทำงานหน้าที่เป็น ส.ส. เป็นฝ่ายค้าน เป็นฝ่ายรัฐบาล ก็มีความสุขมาตลอด เพราะตนมีความสนุกกับสิ่งที่เป็นความรับผิดชอบ เป็นหน้าที่ ชอบทำงาน แล้วก็ทำงานบนอุดมการณ์สำนึกของตัวเอง ไม่ทำอะไรที่ฝืนสิ่งเหล่านี้ เพราะฉะนั้นก็จะมีความสุข และตนก็มีครอบครัวที่ให้ความเข้าใจเป็นอย่างดี และก็มีความสุขอยู่ด้วยกัน ตนว่าชีวิตก็มีความสุขอยู่แล้ว

"และคนเรานี้ก็ต้องเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เพราะฉะนั้นจะมาถามว่าบั้นปลายอะไร บั้นต้น ไม่หรอกครับ ชีวิตต่อเนื่อง และคนเราก็ต้องเปลี่ยนแปลงหน้าที่บทบาทไปตลอดเวลา ผมก็ไม่ได้ไปกังวลไปคิดอะไรในเรื่องพวกนี้ เพราะว่าแต่ละวันใช้ชีวิตก็ใช้ตามแนวทางที่ใช้มา ก็มีความสุขดีตลอดเวลา"นายกฯ กล่าว

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า จริง ๆ แล้วถ้าเราทำหน้าที่ของเรา หน้าที่ของเราไม่ใช่เป็นหน้าที่ในเรื่องการงานอย่างเดียว เรามีความรับผิดชอบในฐานะหัวหน้าครอบครัว ในฐานะพ่อ ในฐานะสามี ในฐานะอะไรต่าง ๆ ในฐานะลูก เราก็ต้องทำทุกหน้าที่ให้ดีที่สุด แล้วถ้าเราทำแล้วมีความรักความเข้าใจให้กันและกัน นั่นคือความสุข

ในช่วงที่ 3 ได้มีการบันทึกเทปนายกฯ ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมตามโครงการไทยเข้มแข็ง ในชุมนุมบ้านมั่นคง ที่ชุมชนบางบัว เขตบางเขน โดยมีชาวบ้านออกมาให้การต้อนรับตลอดเส้นทางริมฝั่งคลอง




กำลังโหลดความคิดเห็น