1. “ธานี”เครียดคดีสนธิเจอตอ ด้าน “สุเทพ”อุ้ม “ผบ.ตร.”เต็มที่ ขณะที่ “อภิสิทธิ์”ยังอ้ำอึ้ง ไม่กล้าปลด!
ความคืบหน้าคดียิงนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ หลังพนักงานสอบสวนชุดคลี่คลายคดีที่มี พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รอง ผบ.ตร.) กำกับดูแล ได้ออกหมายจับผู้ต้องหา 2 ราย คือ จ.ส.อ.ปัญญา ศรีเหรา ทหารสังกัดหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ(นสศ.) จ.ลพบุรี ช่วยราชการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน(กอ.รมน.)ภาค 4 และ ส.ต.ท.วรวุฒิ มุ่งสันติ ตำรวจสังกัดศูนย์ข่าว กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด(บช.ปส.) แต่ยังไม่ได้ตัวผู้ต้องหาแต่อย่างใด ขณะที่ พล.ต.อ.ธานี เผยว่า มีตำรวจบางคนเป็นไส้ศึก ทำให้ข้อมูลในคดีรั่วไหล แถมมีการข่มขู่พนักงานสอบสวนชุดคลี่คลายคดี ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ บอกว่า ถ้าผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติหรือเจ้าหน้าที่รัฐเป็นอุปสรรค ก็ให้ พล.ต.อ.ธานีบอกได้ รัฐบาลจะจัดการให้ ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 19 ก.ค. นายอภิสิทธิ์ พูดถึงการคลี่คลายคดีนายสนธิว่า พล.ต.อ.ธานีรายงานความคืบหน้าคดีให้ทราบเป็นระยะๆ พร้อมมั่นใจทำคดีต่อได้ “ผมเชื่อความตรงไปตรงมาของคุณธานี จึงไม่หนักใจในคดีของคุณสนธิ ใครทำก็ต้องรับผลตามนั้น ทุกคดีต้องไม่มีสีสำหรับผม” นายอภิสิทธิ์ ยังส่งสัญญาณด้วยว่า ทราบแล้วว่าผู้อยู่เบื้องหลังยิงถล่มนายสนธิคือใคร โดยผู้สื่อข่าวถามว่า พล.ต.อ.ธานีทราบใช่หรือไม่ว่าใครอยู่เบื้องหลัง นายอภิสิทธิ์ บอกว่า “ท่านก็ต้องทราบ และการเชื่อมโยงก็มี แต่ต้องมีพยานหลักฐาน” ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า ถ้า พล.ต.อ.ธานีทราบ ก็ต้องรายงาน แสดงว่านายกฯ ต้องทราบเหมือนกัน นายอภิสิทธิ์ บอกว่า “ผมพยายามหาข้อมูลด้วยตัวเองบ้าง แต่มันไม่ใช่เรื่องที่จะพูดกับสาธารณะ เดี๋ยวจะกลายเป็นชี้นำไป” นายอภิสิทธิ์ ยังพูดถึงกรณีที่มีข่าวว่า พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) ได้สั่งย้ายตำรวจที่เข้ามาร่วมคลี่คลายคดียิงนายสนธิ(พ.ต.อ.วิวัฒน์ คำชำนาญ ผู้กำกับการ 6 กองบังคับการตำรวจน้ำ) ด้วยว่า มีนายตำรวจที่ถูกยืมตัวมาช่วยคลี่คลายคดีแล้วถูกส่งตัวกลับไป เมื่อมีความต้องการให้อยู่ตรงนี้ต่อ ก็เลยดึงตัวกลับมา ด้าน พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ช่วย ผบ.ตร. ได้ออกมาปฏิเสธข่าวกรณีมีคนสงสัยว่าตนเป็นไส้ศึกในชุดคลี่คลายคดียิงนายสนธิ เนื่องจากที่ผ่านมาหยุดการสอบสวนไป โดยยืนยันว่า “ไม่ได้หยุด เรื่องไส้ศึกนั้นก็ไม่ทราบ เรารู้แค่ไหนก็พูดไปแค่นั้น” พล.ต.ท.อัศวิน ยังคุยด้วยว่า “ที่ผ่านมา กว่าจะมีการออกหมายจับได้นั้น ส่วนหนึ่งเกิดจากการทำงานในชุดของผม ชุดของผมทำงาน ไม่เคยถูกข่มขู่ ไม่มีการสั่งเบรกจากใคร” ขณะที่ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร. พูดถึงการคลี่คลายคดีนายสนธิ(20 ก.ค.)ว่า ยังไม่ได้เสนอขอออกหมายจับใครเพิ่มเติม เพราะพยานหลักฐานยังไม่เพียงพอ และว่า คดีนี้มีคนลงมือหลายคน คนยิงมีรถ 2 คัน และยังมีที่อื่นอีก ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนชุดคลี่คลายคดียิงนายสนธิ ได้มีหนังสือไปยัง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)เมื่อวันที่ 20 ก.ค.เพื่อขอตรวจสอบรถยนต์ ทะเบียน สษ 1785 กรุงเทพมหานคร เพราะสืบสวนทราบว่าเป็นรถที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดในคดียิงนายสนธิ พร้อมขอสอบปากคำเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการใช้รถคันดังกล่าว ด้าน พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย รองอธิบดีดีเอสไอ บอกว่า จากการตรวจสอบรถคันดังกล่าว เป็นรถที่ใช้ปฏิบัติราชการในดีเอสไอจริง แต่อยู่ระหว่างตรวจสอบรายละเอียดการใช้งานของสำนักงานเทคโนโลยีและศูนย์ข้อมูลการตรวจสอบ เมื่อแล้วเสร็จจะส่งข้อมูลให้พนักงานสอบสวนต่อไป ด้านนายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม บอกว่า ตำรวจต้องการทราบข้อมูลเพียงว่า ส.ต.ท.วรวุฒิ มุ่งสันติ ตำรวจสังกัดศูนย์ข่าว กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด(บช.ปส.) ที่เคยช่วยงานดีเอสไอ หรือดีเอสไอคนใดบ้างที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับรถยนต์คันดังกล่าว เพราะต้องการขยายผลว่า ผู้ต้องหานำรถคันดังกล่าวไปร่วมวางแผนสังหารนายสนธิหรือไม่ โดยมีรายงานว่า ดีเอสไอเตรียมตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง พ.อ.สุรศักดิ์ ณ ลำปาง ผู้บัญชาการสำนักงานเทคโนโลยีและการตรวจสอบเรื่องการเบิกใช้รถยนต์คันดังกล่าว เพราะมีหลักฐานปรากฏว่า ส.ต.ท.วรวุฒิ เซ็นชื่อเพื่อใช้รถคันดังกล่าว 2 ครั้ง และ พ.อ.สุรศักดิ์เป็นผู้ลงนามอนุมัติ ทั้งที่ตามระเบียบแล้ว ต้องทำเรื่องขออธิบดีหรือรองอธิบดีดีเอสไอ ก่อนนำรถออกไปใช้ นอกจากนี้ยังพบว่า รถคันดังกล่าวถูกเบิกใช้งานประจำ โดยแจ้งว่า มีภารกิจต่อเนื่อง และจะส่งเพียงเอกสารมายังเจ้าหน้าที่ทุก 15 วันว่ารถยังต้องใช้งานในภารกิจ ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง พูดถึงกรณีมีข่าวว่า ตำรวจเตรียมนำตัว พ.อ.สุนัย ประภูชะเนย์ หัวหน้าฝ่ายเสนาธิการประจำรองเสนาธิการ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า มาสอบหลังตกเป็นผู้ต้องสงสัยอีกคนในคดียิงนายสนธิว่า ให้ว่าไปตามพยานหลักฐาน ทั้งนี้ มีรายงานว่า พ.อ.สุนัย มีความสนิทสนมเป็นพิเศษกับ น.ส.รัศมี เมฆชัย เจ้าของรถกระบะโตโยต้า วีโก้ สีเปลือกมังคุด ทะเบียน บธ 1474 ลพบุรี ซึ่งเป็นรถต้องสงสัยก่อเหตุยิงนายสนธิ และเป็นคนชักจูงให้ น.ส.รัศมี เข้ามาทำงานในหน่วยบัญชาการศูนย์สงครามพิเศษ ขณะที่ พ.อ.จิตตสักก์ เจริญสมบัติ โฆษกกระทรวงกลาโหม พูดถึงกรณีที่ พ.อ.สุนัย ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดียิงนายสนธิว่า “เพิ่งทราบข่าวว่าทางตำรวจทำเรื่องขอตัว พ.อ.สุนัยมาแล้ว แต่ไม่ทราบรายละเอียด ยืนยันว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและผู้บัญชาการเหล่าทัพที่รับผิดชอบจะไม่ปกป้อง และให้ดำเนินการไปตามกฎหมาย” ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ เผยหลัง พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร.เข้ารายงานความคืบหน้าของคดียิงนายสนธิเมื่อวันที่ 22 ก.ค.ว่า ในภาพรวม พล.ต.อ.ธานี ระบุว่า ยังมีอุปสรรคหลายจุด ก็มาพูดคุยและสอบถามไปหลายเรื่อง จะมีการดำเนินการ ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่าคดีมีอิทธิพลเข้ามาเกี่ยวข้องพอสมควร นายอภิสิทธิ์ บอกว่า “ก็มีผู้เกี่ยวข้อง ก็อย่างที่ทราบกันอยู่ว่าอยู่ในราชการด้วย ...สำหรับผมมีหน้าที่ต้องทำให้คดีนี้มีความก้าวหน้า และเรียบร้อยอย่างตรงไปตรงมา และคาดว่าจะใช้เวลาอีกไม่นาน ซึ่ง พล.ต.อ.ธานีบอกว่า น่าจะทำคดีได้ก่อนเกษียณ” นายอภิสิทธิ์ พูดถึงการแก้อุปสรรคการทำคดีนายสนธิในวันต่อมา(23 ก.ค.)ว่า ได้พูดคุยกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงแล้ว ผู้สื่อข่าวถามว่า นายสุเทพให้สัมภาษณ์ยืนยันไม่เห็นด้วยที่จะเปลี่ยนตัว พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.ซึ่งดูเหมือนจะเป็นอุปสรรคต่อการทำงานของ พล.ต.อ.ธานี นายอภิสิทธิ์ บอกว่า ต้องรอฟังการรายงานจากนายสุเทพว่ามีแนวทางแก้ไขอย่างไร ด้านนายสุเทพ ส่งสัญญาณในวันเดียวกัน(23 ก.ค.)ว่า จะไม่มีการเปลี่ยนตัว ผบ.ตร. “ไม่ทราบจะเปลี่ยนเพราะอะไร ที่ผ่านมายังไม่เคยได้ยินว่า ผบ.ตร.เป็นอุปสรรคในการทำงาน แต่ถ้าเป็นเรื่องจริง ต้องว่ากันไปตามกฎเกณฑ์ กติกา แต่ทั้งหมดเป็นเพียงกระแสข่าว อย่าไปจินตนาการเอง” ขณะที่ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.ยืนยันอีกครั้งว่า ไม่ได้ลงไปยุ่งเกี่ยวในรายละเอียดการสืบสวนสอบสวนคดียิงนายสนธิ เพราะมอบหมายให้ พล.ต.อ.ธานีเป็นผู้ดำเนินการให้เสร็จเรียบร้อย ผู้สื่อข่าวถามว่า หนักใจหรือไม่ที่ผู้ใต้บังคับบัญชาไม่ค่อยสบายใจเกี่ยวกับการทำงานและเข้าหารือกับนายกฯ โดยตรงบ่อยครั้ง พล.ต.อ.พัชรวาท บอกว่า “ความจริงถ้ามีอุปสรรคในการทำงาน ต้องรายงานให้ตนทราบก่อน เพราะตนในฐานะผู้บังคับบัญชาจะได้ช่วยแก้ไข” เมื่อถามว่า ที่ผ่านมา พล.ต.อ.ธานี รายงานอะไรบ้างหรือไม่ พล.ต.อ.พัชรวาท บอกว่า ไม่ได้รายงาน ด้าน พล.ต.อ.ธานี ยืนยันว่า “ไม่ได้มีความขัดแย้งกับ พล.ต.อ.พัชรวาท ผมรายงานความคืบหน้าของคดีลอบสังหารนายสนธิเป็นลายลักษณ์อักษรทุก 15 วัน ไม่อย่างนั้น พล.ต.อ.พัชรวาทจะกำชับเร่งรัดคดีได้อย่างไร” เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อวันที่ 24 ก.ค.มีข่าวลือสะพัดว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ จะปลด พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. จากนั้นเวลาประมาณ 11.30น. พล.ต.อ.พัชรวาทได้เข้าหารือกับนายอภิสิทธิ์ ระหว่างที่นายอภิสิทธิ์เดินทางไปบันทึกเทปโทรทัศน์ที่สถานีโทรทัศน์ช่อง 5 หลังจากนั้นนายอภิสิทธิ์ พูดถึงกระแสข่าวปลด พล.ต.อ.พัชรวาทว่า ยังไม่ได้รับรายงานจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ผู้สื่อข่าวถามว่า หากนายสุเทพรายงานมาอย่างไร จะตัดสินใจตามนั้นใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ บอกว่า “ไม่ครับ ผมมีหน้าที่พิจารณาด้วยตัวเอง เมื่อนายสุเทพตรวจสอบมาแล้วมีความเห็นอย่างไร จะนำข้อมูลที่มีอยู่มาประกอบการตัดสินใจ” ทั้งนี้ ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน(24 ก.ค.) พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร.ได้ถือซองเอกสารเข้าพบนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ที่ทำเนียบรัฐบาล ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด โดยเข้าพบแค่ 5 นาที และกลับออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเช่นเดิมโดยไม่ยอมตอบคำถามผู้สื่อข่าวแต่อย่างใด ขณะที่นายสุเทพเผยในเวลาต่อมาว่า ได้ขอให้ผู้มีส่วนรับผิดชอบคดียิงนายสนธิ 4 คนรายงานว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกับการสอบสวนคดี มีปัญหาอุปสรรคอย่างไร ได้แก่ พล.ต.อ.พัชรวาท ,พล.ต.อ.ธานี ,พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล แต่เนื่องจากเป็นรายงานลับ จึงไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่ได้ทำสำเนารายงานเก็บไว้ พร้อมทำบันทึกเสนอนายกฯ รวมทั้งรายงานให้ทราบว่าตนได้ตัดสินใจดำเนินการเรื่องนี้อย่างไร “ส่วนที่ผมตัดสินใจไปแล้ว นายกฯ ต้องตัดสินใจซ้ำอีกหรือไม่ นายกฯ สามารถใช้อำนาจได้ทุกอย่างอยู่แล้ว ผมเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา เมื่อนายกฯ ได้รับรายงานจากผม ก็ต้องไปพิจารณาว่าจะเห็นชอบหรือไม่” ผู้สื่อข่าวถามว่า มีข่าวว่า พยายามโอบอุ้ม พล.ต.อ.พัชรวาท นายสุเทพ บอกว่า ตนไม่สามารถบริหารราชการไปตามกระแสข่าวที่ไม่ชัดเจนได้ เพราะต้องทำตามระเบียบและกฎหมาย กรณีมีเรื่องร้องเรียนการปฏิบัติงานของ พล.ต.อ.พัชรวาท ตนต้องตรวจสอบทุกอย่าง หากมีผลออกมาอย่างไร จะดำเนินการในสิ่งที่เห็นว่าถูกต้อง ด้านพรรคเพื่อไทย(นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรค) เตรียมยื่นเรื่องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ตรวจสอบว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ต้องพ้นจากตำแหน่งหรือไม่ในวันที่ 27 ก.ค.นี้ โดยอ้างว่า นายอภิสิทธิ์กระทำการขัด รธน.ด้วยการแทรกแซงคดียิงนายสนธิ เพราะเรียก พล.ต.อ.ธานี หัวหน้าพนักงานสอบสวนมาพบบ่อยครั้ง
2. “พระวัดใหญ่”เทศนาติง “เสื้อแดง”ดึงพระยุ่งการเมือง ด้าน “นิด้า”จี้ “ทักษิณ”สั่งลิ่วล้อหยุดขออภัยโทษ!
ความเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังกลุ่มเสื้อแดงในนามคนรักเชียงใหม่ 51 ได้พกอาวุธทั้งปืน-ระเบิดปิงปองและประทัดยักษ์ต้อนรับนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีคลัง ที่เดินทางไปปฏิบัติภารกิจที่เชียงใหม่ จากนั้นได้ปะทะกับเจ้าหน้าที่ที่พยายามผลักดันให้มีการสลายการชุมนุม ส่งผลให้ตำรวจได้รับบาดเจ็บ 13 นายจากอาวุธของกลุ่มเสื้อแดงนั้น ปรากฏว่า ทางแกนนำ นปช.นายจตุพร พรหมพันธุ์ ซึ่งเป็น ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทยด้วย ได้ออกมาอ้างว่า เรื่องดังกล่าวเป็นกลเกมของรัฐบาล และกลุ่มอำมาตย์ที่ต้องการป้ายสีว่าคนเสื้อแดงเป็นพวกใช้ความรุนแรง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อล้มการรวมรวมรายชื่อประชาชนเพื่อทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทั้งนี้ นายจตุพร ได้เตือนคนเสื้อแดงว่า “อย่าไปมีส่วนร่วมในสถานการณ์ที่รัฐต้องการบิดเบือนการใช้ความรุนแรง เพราะคนเสื้อแดงยังมีงานใหญ่ที่สุดในเวลานี้ คือการถวายฎีกา ดังนั้น คนเสื้อแดงอย่าเพิ่งไปกินเบ็ดที่เขาล่อเอาไว้” ด้านนายสุธรรม แสงประทุม อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปีจากกรณียุบพรรค พร้อมด้วยแกนนำ นปช.บางส่วน เช่น นายจรัล ดิษฐาอภิชัย และนายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ได้แถลงข่าวเปิดตัวนิตยสาร Voice of Taksin เมื่อวันที่ 20 ก.ค.ที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ โดยจะจำหน่ายวันแรกในวันคล้ายวันเกิด พ.ต.ท.ทักษิณ 26 ก.ค.นี้ นายสุธรรม ยังสรรเสริญเยินยอ พ.ต.ท.ทักษิณด้วยว่า “พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นสินทรัพย์อันล้ำค่าของไทย ต้องนำกลับมาเป็นนายกฯ อีกครั้ง เราทำหนังสือนี้เพื่อเป็นสื่อกลางสะท้อนความคิดของคนในชาติในหลากหลายอาชีพถึง พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อสร้างความปรองดองต่อคนในชาติด้วยกัน” เป็นที่น่าสังเกตว่า ผนังห้องแถลงข่าวมีการติดโปสเตอร์ข้อความว่า “ทักษิณจะกลับมาพบกับท่านเร็วๆ นี้” โดยติดไว้ทั่วห้อง นอกจากนี้ยังมีการนำหมวกดาวแดงคล้ายทหารคอมมิวนิสต์มาขายด้วย วันต่อมา(21 ก.ค.) นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย เผยถึงการจัดงานครบรอบวันเกิด 60 ปีหรือแซยิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณในวันที่ 26 ก.ค.นี้ว่า จะมี “บิ๊กเซอร์ไพรส์” โดย พ.ต.ท.ทักษิณจะมอบทุนการศึกษาให้เยาวชนไทยหลายพันทุน ที่ส่งประกวดเรียงความหัวข้อ “อนาคตประเทศไทยที่ฉันฝัน” ด้านนายประสาร มฤคพิทักษ์ ส.ว.สรรหา พูดถึงกรณีที่กลุ่มเสื้อแดงจะจัดงานวันคล้ายวันเกิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณว่า ทราบว่ามีคำสั่งจากนายใหญ่ที่เมืองดูไบว่า ให้จัดงานวันเกิดที่วัดที่มีชื่อว่า “แก้ว”หรือ “ฟ้า” เพราะถือเป็นเคล็ดและเป็นมงคลในวันเกิด ซึ่งเดิมทางกลุ่มเสื้อแดงจะจัดที่วัดแก้วแจ่มฟ้า ที่สี่พระยา กทม. แต่ทางวัดไม่อนุญาต จึงเปลี่ยนมาจัดที่วัดอุทัยทายาราม ย่านพระราม 9 ซึ่งตนคิดว่า การจัดงานทำบุญวันเกิด เป็นการนำไปสู่การรวบรวมรายชื่อ 1 ล้านคนเพื่อถวายฎีกามากกว่า นายประสาร ยังชี้ด้วยว่า “การทำบุญครั้งเดียว แต่ก่อเวรทุกวันไม่สามารถที่จะลบเวรกรรมที่สร้างไว้ได้ จึงอยากให้ พ.ต.ท.ทักษิณหยุดการทำให้แตกแยก เพราะถ้าหัวหยุดส่าย หางจะไม่กระดิก บ้านเมืองจะได้มีความสุขเสียที” ด้านพรรคเพื่อไทย ได้เผยแพร่กำหนดการพิธีทำบุญอายุวัฒนมงคล ครบ 60 ปี พ.ต.ท.ทักษิณ ที่วัดแก้วฟ้า จ.นนทบุรี ในวันที่ 26 ก.ค. โดยจะมีพิธีบำเพ็ญกุศลรับทักษิณานุปทาน มีพระสงฆ์ 109 รูปสวดแก้บ่วงกรรม ปลดกรรม สวดบังสุกุลตาย บังสุกุลเป็น สวดหงายบาตรแก้เคล็ด ฯลฯ ด้านนายไพรัช ชัยชาญ ผู้ประสานงานพิธีทำบุญวันคล้ายวันเกิด พ.ต.ท.ทักษิณ เผยว่า “ที่มีข่าวว่าจะมีบิ๊กเซอร์ไพรส์นั้น ยืนยันว่าจะมีที่วัดแก้วฟ้าแน่นอน เป็นของที่โลกเห็นแล้วต้องตะลึงว่าเป็นไปได้อย่างไร ซึ่งเป็นสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณทำเองกับมือ เพื่อตอบแทนให้กับประชาชนที่มาให้กำลังใจและมาอวยพรวันเกิดให้กับท่าน” นายไพรัช ยังบอกด้วยว่า จุดประสงค์ส่วนหนึ่งของการทำบุญครั้งนี้ เพื่อแก้กรรมเมื่อคราวที่หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน และนายสนธิ ลิ้มทองกุล พร้อมด้วยพระสงฆ์จำนวนหนึ่ง ทำพิธีคว่ำบาตร พ.ต.ท.ทักษิณ ในการต่อต้านการแต่งตั้งสมเด็จพระพุฒาจารย์(เกี่ยว อุปเสโณ) เจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช จึงต้องทำพิธีสวดหงายบาตรแก้เคล็ด เป็นการถอนวิบากกรรมจากการทำพิธีคว่ำบาตรในครั้งนั้นด้วย ขณะที่นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย อ้างว่า “กรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณจะหมดในวันที่ 26 ก.ค.นี้ โดยมีซินแสบอกว่า เดือน ธ.ค.นี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่เหมือนสมัยปี 2475 เกิดจลาจลรากหญ้า แต่ไม่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังนั้น น่าจะมีการเลือกตั้งใหญ่ก่อนเดือน ธ.ค. เพราะทุกอย่างจะประเดประดังเข้าใส่รัฐบาลจนอยู่ไม่ได้” ทั้งนี้ นอกจากกลุ่มเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยจะจัดงานวันเกิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณที่วัดแก้วฟ้าแล้ว ยังจะจัดที่ อ.อาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด และวัดอุทัยทายาราม กรุงเทพฯ นอกจากนี้กลุ่มเสื้อแดงในจังหวัดต่างๆ ก็จะจัดพิธีทำบุญวันคล้ายวันเกิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณเช่นกัน เป็นที่น่าสังเกตว่า ยังมีความสับสนว่า บิ๊กเซอร์ไพรส์ในงานวันคล้ายวันเกิด พ.ต.ท.ทักษิณคืออะไรแน่ เพราะผู้เกี่ยวข้องกับการจัดงานต่างพูดกันไปคนละทาง โดยนายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย บอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้แต่งเพลงเกี่ยวกับชีวิตตัวเอง และจะร้องด้วยตัวเองในงานวันที่ 26 ก.ค. และว่า จะมีการใช้เทคโนโลยีชั้นสูงที่ทำให้ดูเสมือนว่า พ.ต.ท.ทักษิณร่วมอยู่ในพิธีกรรมด้วย ขณะที่นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคพลังประชาชน กลับพูดไปอีกทางว่า ไม่มีไฮโลแกรมหรือเทคนิคชั้นสูงสร้างภาพ 3 มิติอย่างที่นายประชาพูดแต่อย่างใด มีเพียงเทปวิดีโอ พ.ต.ท.ทักษิณทำพิธีสวดถวายผ้าไตรจีวร ผ้าอาบน้ำฝนและแผ่นทอง ซึ่งตนเดินทางไปบันทึกเทปด้วยตัวเองที่เมืองดูไบเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ด้านพระธรรมกิตติเมธี โฆษกมหาเถรสมาคม ได้ออกมาติงกลุ่มเสื้อแดงที่ออกมาให้ข่าวว่าจะจัดงานวันเกิดที่วัดไหน พร้อมลงรายละเอียด ซึ่งเป็นการดึงพระเข้ามาเกี่ยวกับการเมือง ทำให้วัดดังกล่าวเหมือนเป็นของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง พร้อมฝากว่า อยากให้พระสงฆ์วางตัวเป็นกลาง ต้องยึดหลักในการทำให้คนสามัคคีกัน สังคมก็จะเกิดความสงบ ขณะที่พระครูปลัดไพศาล กิตฺติภทฺโท เจ้าอาวาสวัดแก้วฟ้า ซึ่งจะเป็นสถานที่จัดงานวันคล้ายวันเกิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ออกมาสวนกลับโฆษกมหาเถรสมาคมว่า ถ้าการกระทำของกลุ่มเสื้อแดงเป็นการดึงพระสงฆ์เข้ามาเกี่ยวกับการเมือง แต่ละพรรคคงเข้าวัดไม่ได้ ขนาดนักโทษประหาร นิมนต์พระไปเทศนาก่อนประหาร พระยังต้องไป ดังนั้น ยืนยันว่า ได้ทำเพื่อความสามัคคีให้คนในชาติ และไม่หนักใจ ด้านพระธรรมเสนานุวัตร เจ้าอาวาสวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหารหรือวัดใหญ่ จ.พิษณุโลก และรองเจ้าคณะภาค 5 ได้เทศน์และกล่าวกับญาติโยมที่มาทำบุญที่วัด โดยแสดงความไม่เห็นด้วยกับการที่กลุ่มเสื้อแดงดึงพระสงฆ์และวัดเข้าไปยุ่งกับการเมือง “เมื่อไม่กี่วันก่อน มีกลุ่มเสื้อแดงมาหาหลวงพ่อที่นี่ 20 คน เพื่อมาขอใช้สถานที่ แต่หลวงพ่อก็ถามกลับไปว่า ก็สั่งพระห้ามเล่นการเมืองไม่ใช่รึ พระไม่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง ถามว่าจะมาทำไม พระอยู่ส่วนพระ จะเอาวัดใหญ่ไปยุ่งกับการเมืองรึ บ้านมึง(ตัวเอง)ก็ทำได้ ไม่จำเป็นต้องเอาวัดไปทำบุญ ถ้ามานิมนต์กู(หลวงพ่อ) ก็ไม่ไป เพราะการเมืองก็คือการเมือง ศาสนาก็ศาสนา” พระธรรมเสนานุวัตร ยังเทศน์เตือนสติ พ.ต.ท.ทักษิณด้วยว่า เมื่อทำกรรมแล้วก็ต้องรับ ฟ้ามีตาคอยมองดู แผ่นดินเป็นหูคอยฟัง “คนไทยที่แบ่งฝ่าย ก็เพราะคนใช้จิตวิทยาสูงชักจูงผู้คนดันทุรัง ถามว่า ขออภัยโทษ มึงติดคุกหรือยัง มึงหนีไปอยู่นอกประเทศ ฉะนั้นไปขออภัยโทษไม่ได้ คนที่ทำก็คือตัวเองเท่านั้น ต้องมาเซ็นชื่อขอเอง และถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่บังควร เหมือนกับบังคับพระองค์ท่าน ทำไม่ได้ มิฉะนั้น คนอยู่ในป่า คนอยู่ในคุก ก็ขออภัยโทษกันหมด ...หนีไปอยู่ต่างประเทศ คิดแต่อุบาย คิดแต่เรื่องโกงกิน คนไม่รู้จักพอ ทำให้ปัญญาไม่เกิด ทำให้ตัวเองลำบาก และยังพาให้คนอื่น ชักชวนคนอื่นไปลำบากด้วย ใส่ข้อมูลไปทุกวันๆ” ด้านเครือข่ายนิด้าพัฒนาสังคม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) ออกแถลงการณ์คำขอเนื่องในวันครบรอบวันเกิด พ.ต.ท.ทักษิณว่า 1.ขอให้ พ.ต.ท.ทักษิณและพวกพ้อง ยุติการสร้างสถานการณ์ที่จะเป็นการสร้างความแตกแยกในสังคมไทย หันมาร่วมแก้ไขวิกฤตการณ์ที่สังคมกำลังเผชิญอยู่ เพื่อประโยชน์สุขของคนไทยทุกคน 2.ขอให้ พ.ต.ท.ทักษิณสั่งการให้พวกพ้องยุติการรวบรวมรายชื่อเพื่อถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้กับตนเอง เนื่องจากเป็นการไม่บังควร เป็นการดึงพลังมวลชนที่สนับสนุนกดดันพระราชอำนาจ 3.ขอให้รัฐบาลพิจารณาว่าการดำเนินการรวบรวมรายชื่อของแกนนำ นปช.และพวกพ้อง สมเหตุสมผลหรือไม่ หากมีช่องทางที่จะระงับได้ ควรดำเนินการอย่างเร่งด่วน
3. ประชุมอาเซียน ระทึก พบ จยย.ปนเปื้อนสารระเบิด ด้าน “รมต.”ตกใจเสียงปืนยิงทำลาย ขณะที่ “แม่ทัพภาค 1”ยัน ไม่มีระเบิด!
สัปดาห์ที่ผ่านมา ไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 42 และการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา ระหว่างวันที่ 17-23 ก.ค.ที่โรงแรมเชอราตัน แกรนด์ลากูน่า ภูเก็ต จ.ภูเก็ต รวมทั้งได้มีโอกาสต้อนรับนางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ที่เดินทางมาเยือนไทย และร่วมประชุมดังกล่าวด้วย ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ได้เป็นประธานเปิดการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนที่เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 ก.ค. โดยบอกว่า ไทยในฐานะประธานอาเซียน ตั้งเป้าหมายไว้ 3 เรื่อง คือ 1. การจัดตั้งประชาคมอาเซียนให้บรรลุตามกฎบัตรอาเซียนในเวลาที่กำหนดไว้ในปี 2558 2.การริเริ่มดำเนินการให้องค์กรสิทธิมนุษยชนอาเซียนเกิดขึ้นในการประชุมผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 15 ในเดือน ต.ค.นี้ และ 3.การรับมือกับความท้าทายต่างๆ ในภูมิภาคและโลก ด้านนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ แถลงผลประชุม ตอนหนึ่งว่า ขณะนี้ถึงเวลาแล้วที่อาเซียนจะเป็นผู้กำหนดอนาคตและชะตากรรมของเราเองว่า เราควรมุ่งหน้าไปสู่ทิศทางใดในฐานะครอบครัวเดียวกัน ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวจากอินโดนีเซีย ถามว่า การตั้งองค์กรสิทธิมนุษยชนของอาเซียนจะไม่ขัดกับการที่ไทยยังคงมีกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งห้ามวิพากษ์วิจารณ์สถาบันหรือ ซึ่งนายกษิต ตอบว่า “ไม่ว่าจะมีองค์กรสิทธิมนุษยชนของอาเซียนหรือไม่ เราก็ยังเคารพหลักกฎหมายและปฏิบัติต่อทุกคนโดยเท่าเทียมกัน แต่การที่ต้องมีกฎหมายดังกล่าวก็เพื่อปกป้องสถาบัน ซึ่งไม่มีอะไรเป็นเครื่องมือในการปกป้องตนเอง ในลักษณะเดียวกับที่ต้องมีการปกป้องผู้พิพากษาจากการข่มขู่คุกคาม เป็นเหมือนกับที่ทุกประเทศทำกัน รธน.ไทยเขียนไว้ชัดเจนว่า กษัตริย์ทรงอยู่เหนือการเมือง ดังนั้นอย่านำเอา 2 เรื่องมาปนกัน เพราะขณะนี้มีคนบางส่วนพยายามดึงสถาบันมาเป็นส่วนหนึ่งของข้อต่อสู้ทางการเมืองในประเทศ” เป็นที่น่าสังเกตว่า ระหว่างที่ไทยเป็นเจ้าภาพจัดประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน สื่อตะวันตกอย่างหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ ฉบับวันที่ 19 ก.ค.ได้ตีพิมพ์บทความเรื่อง “รอยร้าวภายใน สู่วิถีการทรมาน” โดยอ้างว่า สำนักข่าวกรองกลางของสหรัฐฯ (ซีไอเอ) ได้สร้างคุกลับไว้ในไทย เพื่อคุมขังผู้ต้องสงสัยว่าเป็นผู้ก่อการร้าย และมีการทรมานผู้ต้องสงสัยเหล่านั้นด้วยวิธีต่างๆ เช่น นายอาบู ซูไบดา ชาวปาเลสไตน์เชื้อสายซาอุดีอาระเบีย ซึ่งทางการสหรัฐฯ สงสัยว่าเป็นผู้ก่อการร้ายในเครือข่ายอัลกออิดะห์ ก็ถูกส่งมาอยู่ในคุกลับในไทยและถูกทรมานเช่นกัน ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ได้ออกมาปฏิเสธโดยยืนยันว่าไม่มีคุกลับของสหรัฐฯ ในไทย พร้อมบอกว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องเก่า เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อปี 2544-2545 ส่วนที่มาเกิดอีกครั้งในช่วงนี้ที่ไทยเป็นเจ้าภาพประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน และนางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เยือนไทย น่าจะเป็นการตั้งคำถามถึงรัฐบาลใหม่ของสหรัฐฯ และนางฮิลลารี ด้านนายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยมหาดไทย เชื่อว่า บทความเรื่องคุกลับในวอชิงตันโพสต์ น่าจะเกิดจากผู้ไม่หวังดีจ้างให้เขียน “เชื่อว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด เพราะไม่มีแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ ดังนั้นต้องถามว่าผู้เขียนมีวัตถุประสงค์อะไร เชื่อว่าเรื่องนี้อาจจะมีผู้ที่ไม่หวังดีต่อประเทศไทยว่าจ้างให้เขียน หรือจงใจที่จะดิสเครดิตประเทศไทย” ขณะที่นางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ปฏิเสธที่จะพูดถึงเรื่องคุกลับ “ไม่ขอพูดถึงเรื่องนี้ เพราะภารกิจการเดินทางมาเยือนประเทศไทยในครั้งนี้ เพื่อแสวงหาความร่วมมือและกระชับความสัมพันธ์กับพันธมิตรในภูมิภาคเอเชีย โดยถือว่าไทยเป็นพันธมิตรสำคัญ ซึ่งรัฐบาลนายโอบามาเองก็ยืนยันจุดยืนเรื่องการดูแลและป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชน และยอมรับความตกลงที่ไทย-สหรัฐฯ ทำไว้ร่วมกัน” ทั้งนี้ นอกจากเรื่องคุกลับที่ถูกจุดประเด็นขึ้นในช่วงการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนแล้ว ยังมีข่าวเกี่ยวกับความพยายามป่วนการประชุมครั้งนี้ด้วย โดยมีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารที่รักษาความปลอดภัยในพื้นที่ จ.ภูเก็ต ได้จับกุมคนร้ายซึ่งเป็นชายมุสลิม 4 คนที่ต้องสงสัยว่าจะก่อเหตุป่วนการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนเมื่อวันที่ 19 ก.ค. โดยพบว่า 1 ใน 5 นั้นมีหมายจับในคดีความมั่นคงของศาล จ.นราธิวาส อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีกลาโหม ได้ออกมาปฏิเสธว่า ไม่มีการจับคนร้ายที่ต้องสงสัยว่าจะก่อเหตุป่วนการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนแต่อย่างใด พร้อมย้อนสื่อว่า สื่อคิดเอาเองหรือไม่ ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ พูดถึงเรื่องดังกล่าวว่า ฝ่ายทหารแถลงว่าเป็นเรื่องของยาเสพติด และบางคนที่ถูกจับมีหมายจับในคดีความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ขณะนี้ยังไม่มีสิ่งบอกเหตุว่าเป็นกลุ่มเจมาห์ อิสลามิยาห์ หรือเจไอ ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง พูดถึงการจับกุมผู้ต้องสงสัยว่า “ฝ่ายความมั่นคงได้ดำเนินการ 2-3 เรื่อง ซึ่งอาจทำให้ข่าวที่ออกมาสับสน 1.ได้ตรวจค้นผู้ต้องสงสัยว่าเป็นผู้ก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และควบคุมตัวไว้เพื่อสอบสวน 2.ได้ติดตามขบวนการค้ายาเสพติด ซึ่งเป็นการขยายผลจากการจับกุมผู้ต้องหาได้ที่ จ.อุดรธานี และคิดว่าเครือข่ายนี้โยงใยอยู่ที่ จ.ภูเก็ต โดยสามารถรวบตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางใบกระท่อมที่เตรียมขนลงทะเล และ 3.ได้ตรวจค้นรถต้องสงสัยว่าใช้ขนยาเสพติดหรือระเบิด เนื่องจากถูกนำมาจอดทิ้งไว้นาน แต่เมื่อตรวจแล้วไม่มีอะไร เป็นแค่รถส่งปลาเท่านั้น แต่เมื่อมีการนำเรื่องต่างๆ มาเชื่อมโยง คนก็เลยตื่นเต้นไปหน่อย ไม่มีอะไร” อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 23 ก.ค.ได้เกิดเหตุระทึกขึ้น เมื่อเจ้าหน้าที่ทหารพร้อมด้วยสุนัขสงครามลาดตระเวนได้ตรวจสอบความเรียบร้อยรอบถนนในโครงการลากูนา ภูเก็ต ปรากฏว่า สุนัขสงครามหยุดดมกลิ่นรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อยามาฮ่า สีแดง ไม่ทราบแผ่นป้ายทะเบียน จอดพิงอยู่กับต้นไม้ใหญ่ ใกล้ทางเดินเท้าหน้าโรงแรมลากูนา ฮอลิเดย์ คลับ ภูเก็ต รีสอร์ท ซึ่งเป็นสถานที่พักของรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน จากการตรวจสอบพบว่ามีสารปนเปื้อนวัตถุระเบิด เจ้าหน้าที่จึงตัดสัญญาณโทรศัพท์มือถือ และกันผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องออกจากพื้นที่ ก่อนใช้ปืนอัดน้ำแรงดันสูงยิงตัดวงจรที่ตัวรถจักรยานยนต์ โดยมีเสียงดังสนั่น 1 ครั้งคล้ายเสียงระเบิด ส่งผลให้รัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนที่ประชุมอยู่ต่างตกใจ รวมทั้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสหรัฐฯ ที่มาอารักขานางฮิลลารี คลินตัน ก็ตกใจเช่นกันและพยายามตรวจสอบว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อทราบเรื่องจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยแล้ว จึงเข้าใจและดำเนินการประชุมต่อ ด้าน พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 แถลงชี้แจงว่า พบรถจักรยานยนต์ต้องสงสัยและไม่พบเจ้าของ จึงใช้สุนัขตรวจสอบวัตถุระเบิด ซึ่งอาการของสุนัขบ่งชี้ว่ามีสารวัตถุระเบิด จึงใช้เครื่องจีที 200 ตรวจซ้ำก็พบว่ามีสารปนเปื้อนวัตถุระเบิด แต่เพื่อความมั่นใจ เจ้าหน้าที่จึงตัดสินใจตัดวงจรด้วยปืนอัดน้ำแรงดันสูง ทำให้เกิดเสียงคล้ายเสียงระเบิด แต่จากการตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า ไม่มีวัตถุระเบิด คาดว่าที่พบสารต้องสงสัยครั้งแรกนั้น อาจเกิดจากรถจักรยานยนต์ดังกล่าวปนเปื้อนสารยูเรียหรือตัวพลุ ซึ่งเมื่อหาตัวเจ้าของรถพบ ทราบว่าที่ต้องจอดรถบริเวณดังกล่าวเพราะยางแบน พล.ท.คณิต ย้ำด้วยว่า “ยืนยันว่าไม่ใช่ตัวระเบิด อาจเป็นพลุหรือดอกไม้ไฟ โดยรถคันนี้มีสติ๊กเกอร์สามเหลี่ยมที่เจ้าหน้าที่ประสานงานมวลชนจัดทำให้สำหรับพนักงานโรงแรมและประชาชนที่ทำงานหรืออยู่อาศัยในพื้นที่ ต.เชิงทะเล ใกล้สถานที่ประชุมและที่พักผู้ร่วมประชุมอาเซียน”
4. ตามคาด! เด็กร่วมโครงการวัดพระธรรมกาย ติดหวัดใหญ่ 2009 เพียบ ด้าน “องค์การอนามัยโลก”ชม ระบบป้องกันโรคของไทยเจ๋งสุด!
สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ยุติการรายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตแบบรายวันตั้งแต่วันที่ 16 ก.ค. โดยเปลี่ยนเป็นการรายงานสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ทุกวันพุธ เริ่มวันพุธที่ 22 ก.ค.เป็นต้นไปนั้น ปรากฏว่า ยอดผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย นพ.ไพจิตร์ วราชิต รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข แถลง(22 ก.ค.)ว่า ในรอบ 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา คือระหว่างวันที่ 16-21 ก.ค. มีผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 เพิ่มขึ้นอีก 2,307 ราย รวมเป็น 6,776 ราย โดยในจำนวนนี้ เป็นผู้ที่หายป่วยแล้ว 6,697 ราย ยังพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 35 ราย อาการหนัก 7 ราย ส่วนผู้เสียชีวิตมีเพิ่มขึ้นอีก 20 ราย รวมเป็น 44 ราย แบ่งเป็นชายและหญิงเท่ากัน 22 ราย ผู้เสียชีวิตอายุต่ำสุด 4 เดือน สูงสุด 91 ปี นพ.ไพจิตร์ เผยด้วยว่า จากการวิเคราะห์สาเหตุการเสียชีวิตของผู้ป่วย พบว่า ส่วนใหญ่เข้ารับการรักษาช้า จึงได้รับยาต้านไวรัสไม่ทัน ดังนั้น สธ.จะมีการปรับ 3 มาตรการ คือ 1.ลดการเสียชีวิตด้วยการปรับปรุงการรักษาให้ผู้ป่วยได้รับยาเร็วขึ้น ส่วนกลุ่มที่มีโรคประจำตัว หากติดเชื้อมีอาการ ต้องได้รับยาต้านไวรัสทันที สำหรับผู้ป่วยทั่วไป หากเป็นไข้ 2 วัน กินยาแล้วไข้ไม่ลด ให้ไปพบแพทย์ เพื่อให้ได้รับยาต้านไวรัสทันทีไม่ต้องรอผลทางห้องปฏิบัติการ 2.ป้องกันการแพร่กระจายของโรค ด้วยการเพิ่มความเข้มข้นการคัดกรองผู้ป่วยในกลุ่มนักเรียน โรงงาน โดยให้อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน(อสม.) 9.8 แสนคนทั่วประเทศ เคาะประตูบ้านแนะนำความรู้แก่ประชาชน และ 3.ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานศูนย์ปฏิบัติการควบคุมโรคระดับจังหวัด เพื่อประสานเฝ้าระวังและควบคุมโรค ด้าน นพ.คำนวณ อึ้งชูศักดิ์ ผู้ทรงคุณวุฒิระดับ 10 กรมควบคุมโรค แถลงว่า ขณะนี้อัตราการเสียชีวิตของคนไทยที่ป่วยด้วยไข้หวัดใหญ่ 2009 อยู่ที่ร้อยละ 0.6 แต่ไม่ได้สะท้อนความเป็นจริง เพราะเป็นการคำนวณจากตัวเลขผู้ป่วย 6,776 ราย ซึ่งเป็นเพียงผู้ป่วยที่ส่งตรวจเชื้อเท่านั้น ทำให้ไทยยังไม่ปรับเพิ่มระดับความรุนแรงของการระบาดเป็นระดับ 3 แต่จากการประเมินจำนวนผู้ติดเชื้อโดยใช้โมเดลจำลอง คาดว่าไทยน่าจะมีผู้ติดเชื้อแล้วประมาณ 5 แสนคน นพ.คำนวณ เผยด้วยว่า ขณะนี้มีตัวเลขผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 ไปตรวจที่โรงพยาบาล 25,000 ราย โดยในจำนวนนี้มีผู้ป่วยที่อาการเล็กน้อยจำนวนมาก แต่สามารถแพร่เชื้อได้ ซึ่งหากคนเหล่านี้ไม่อยู่บ้าน ก็จะมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวคือ 50,000 ราย จึงจำเป็นต้องทำให้ผู้ป่วยเหล่านี้หยุดอยู่บ้าน โดยใครมีอาการต้องหยุด 7 วัน และคนที่บ้านต้องรู้จักวิธีป้องกันตนเอง จึงจะสามารถชะลอการแพร่ระบาดได้จริง ด้าน พญ.มัวรีน เบอร์มิงแฮม ผู้แทนองค์การอนามัยโลก(WHO)ประจำประเทศไทย แถลงโดยแสดงความชื่นชมไทยว่า มีระบบป้องกัน ติดตาม และเฝ้าระวังโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 ที่เข้มแข็งและดีที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งมีห้องปฏิบัติการตรวจเชื้อหลายแห่ง มีโรงพยาบาลและบุคลากรทางแพทย์ที่รับมือกับโรคได้อย่างไม่ต้องตกใจ มียาต้านไวรัสใช้อย่างไม่ขาดแคลน และในอนาคตจะมีวัคซีนใช้เองด้วย เป็นที่น่าสังเกตว่า สถานการณ์การระบาดของไข้หวัดใหญ่ 2009 ในไทย ที่หลายฝ่ายได้ออกมาเตือนว่า การจัดโครงการ “วันรวมพลังเด็กดี V-star”ของวัดพระธรรมกายที่จัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ที่ให้เด็กจากโรงเรียนต่างๆ ทั่วประเทศมาร่วมโครงการนับแสนคนนั้น อาจทำให้เด็กติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 เป็นจำนวนมาก ปรากฏว่าเป็นจริงดังคาด โดยนายอรรถพล ตรึกตรอง ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา(สพท.)ขอนแก่น เขต 5 เผยว่า มีนักเรียนใน สพท.เขต 5 เข้าร่วมโครงการดังกล่าวกว่า 200 คนจาก 6 โรงเรียน โดยพบว่านักเรียนป่วยจำนวนมาก และได้รับคำยืนยันจากแพทย์แล้วว่า เป็นไข้หวัดใหญ่ 2009 จึงได้ทยอยสั่งปิดทั้ง 6 โรงเรียนที่มีเด็กป่วยแล้ว พร้อมกำชับให้โรงเรียนติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด.