xs
xsm
sm
md
lg

ทนายเผย 35 พันธมิตรฯ เตรียมโต้แย้งข้อกล่าวหา ท้า ตร.ฟ้องศาลขอหมายจับ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ทนายพันธมิตรฯ เผย 36 แกนนำฯ ผู้ถูกหมายเรียก จะไม่รับทราบข้อกล่าวหา จนกว่าพนักงานสอบสวนจะตั้งข้อหาใหม่ หรือไม่ก็ฟ้องศาลให้ออกหมายจับมาเลย ระบุการตั้งข้อหาผิดหลักการสอบสวน เคยมีบทเรียนศาลยกฟ้องคดีกบฏ ยังไม่หลาบจำ เผยมีหลักฐานเพียบจากภาพถ่ายทอดสดของเอเอสทีวี ชี้ชัดการชุมนุมที่สุวรรณภูมิไม่สร้างความเสียหาย ตรงกับข้ามกับเสื้อแดงเผาเมือง-ป่วนบ้านป๋าเปรมที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง



คลิกที่นี่ เพื่อฟัง รายการ คนในข่าว 

รายการ “คนในข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี-ทีวีของประชาชน ช่วงเวลา 20.30-21.30 น. วันที่ 15 ก.ค.2552 โดยนางสาวรัตน์ติกรณ์ จารุเกษตรวิทย์ เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยมีนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และนายชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย นักวิชาการอิสระ พร้อมด้วย รศ.ดร.ชวินทร์ ลีนะบรรจง อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มาร่วมวิเคราะห์ถึง เงื่อนงำการใส่ร้ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในข้อหากบฎ-ก่อการร้ายรวมถึงคดีลอบยิงนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

นายสุวัตร กล่าวว่า แนวทางในการต่อสู้คดีตอนนี้ ได้ร่างหนังสือไว้เรียบร้อยแล้วเตรียมยื่นถึง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ พนักงานสอบสวน และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะที่ท่านมีหน้าที่ดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามอำนาจใน พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติมาตรา 6 เพื่อชี้แจงเหตุผล 1.ปฏิเสธข้อกล่าวหาทุกข้อกล่าวหา 2. ปฏิเสธการปฏิบัติตามหมายเรียกผู้ต้องหา 3.ขอให้ชี้แจงเหตุผลและข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายในการออกหมายเรียก เพราะคนเราอยู่ดีๆ จะฟังความฝ่ายเดียวแล้วมาออกหมายเรียก ตรงนี้มันผิดหลักการสืบสวนสอบสวน ทั้งนี้ก่อนที่พันธมิตรฯ จะทำการชุมนุม ก็ได้มีการแถลงการณ์ ซึ่งขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ในช่วงนั้นๆ เริ่มแรกเน้นบอกว่าขณะนั้นรัฐบาลกระทำการโดยไม่ชอบ พยายามแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 237, 309 จึงได้ขอร้องว่าอย่าได้แก้รัฐธรรมนูญ ดังนั้นสิ่งที่พันธมิตรฯ เรียกร้องตั้งแต่แรกคืออย่าแก้รัฐธรรมนูญ ถือได้ว่าเป็นการปกป้องไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญ ไม่ได้เป็นกบฏ และการกระทำดังกล่าวไม่ได้เป็นการล้มลัมรัฐธรรมนูญ

ทนายพันธมิตรฯ กล่าวต่อว่าข้อเรียกร้องของพันธมิตรฯ ไม่ได้ทำให้รัฐบาลเงี่ยหูฟังเลยแม่แต่น้อย จนเป็นเหตุให้พันธมิตรฯรวมพลังออกมาชุมนุมในวันที่ 25 พ.ค.2551 ต่อมารัฐบาลพยายามยกเขาพระวิหารให้กัมพูชา พันธมิตรฯ เห็นว่าเป็นความผิดที่ร้ายแรงรัฐบาลกำลังทำให้เสียดินแดนเพื่อผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม จึงยกมาตรฐานการต่อสู้โดยเรียกร้องให้รัฐบาลลาออก ขณะนั้นเราก็ไปฟ้องขอให้ศาลปกครองสั่งคุ้มครองในคดีเขาพระวิหาร ซึ่งศาลก็เห็นควรสั่งให้ระงับสัญญาต่างๆ ที่ทำไว้กับกัมพูชา โดยให้เหตุผลว่าแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาไม่ผ่านรัฐสภา หลังจากนั้นศาลรัฐธรรมนูญลงดาบซ้ำว่าแถลงการณ์ร่วมไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตรงนี้ก็จะเห็นได้ว่าประเด็นการเรียกร้องให้รัฐบาลลาออก เพื่อผดุงไว้ซึ่งผลประโยชน์ของประเทศฟังอย่างไรก็ไม่เป็นกบฏ

นายสุวัตร กล่าวว่า ข้อกล่าวหาที่ว่าพันธมิตรฯ ก่อการร้ายโดยการปิดสนามบิน ตรงนี้ถ้าดูจาก ซีดีเอเอสทีวีที่บันทึกไว้ จะเห็นได้ไม่ได้ก่อให้เกิดความเดือดร้อนให้ใครเลย ไม่ได้เข้าไปแตะงวงช้าง ไม่แตะหอบังคับการบิน ต่อมานายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ ซึ่งเป็นพี่ของนางศรีวิไล ประสุตานนท์ และเป็นพี่เมียของนายวีระ มุสิกพงศ์ ก็สั่งปิดสนามบินสุวรรณภูมิ โดยบอร์ดการท่าอากาศยานได้ลงมติว่า นายเสรีรัตน์ สั่งการไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต่อมาเมื่อศาลตัดสินยุบพรรคพลังประชาชน พันธมิตรฯ ก็ออกจากสนามบินทันที ตรงนี้แสดงให้เห็นว่าพันธมิตรฯไม่มีเจตนาเข้าไปบุกรุก เพราะการบุกรุกต้องมีเจตนาเข้าไปแย่งการครอบครอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตั้งข้อหาก่อการร้าย ตามกฏหมายบอกว่า จะเป็นก่อการร้ายต้องกระทำการก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อรัฐ หรือระบบการขนส่งสาธารณะ ซึ่งการกระทำของเราไม่เข้าข่ายความผิดนี้เลย ประกอบกับมาตรา 130/1 วรรคสุดท้าย ระบุไว้ว่า การกระทำในการเดินขบวนประท้วงตามกฏหมายรัฐธรรมนูญ เพื่อเรียกร้องให้รัฐช่วยเหลือ ไม่ถือว่าเป็นการก่อการร้าย

นายสุวัตร กล่าวว่าในวันนี้(16ก.ค.)จะไปโต้แย้งข้อกล่าวหา โดยการไม่ให้ผู้ต้องหารับทราบข้อกล่าวหาจนกว่าพนักงานสอบสวนจะตั้งข้อกล่าวหาใหม่ ถ้าหากพนักงานสอบสวนไม่พอใจ ก็ให้ไปยื่นคำร้องต่อศาลให้ศาลออกหมายจับได้ แล้วไปเจอกันในศาลอาญา อย่างไรก็ดีข้อกล่าวหาแบบนี้เคยเกิดขึ้นครั้งหนึ่งแล้วและศาลก็พิจารณาไม่ออกข้อหานี้ให้ กรณีที่ตั้งข้อหากบฏให้กับแกนนำพันธมิตรฯ ตอนชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาล ก็ยังไม่หลาบจำยังจะมายื่นฟ้องอีก

นายสุวัตร กล่าวต่อว่า จะส่งเอกสารให้พนักงานสอบสวนบางส่วนเท่านั้น โดยเอกสารที่จะพิสูจน์การแพ้ชนะในคดีจะส่งเพิ่มเติม ตอนนี้เอาเฉพาะแค่วีซีดีของรายการเอเอสทีวี ที่อัดรายการการชุมนุมของพันธมิตรฯ 193 วัน ตรงนี้จะรู้ได้เลย อย่างการไปเอ็นบีที เรานับคนขึ้นรถที่ละ 300-500 กองทัพใหญ่ยังไม่ไป ฉะนั้นบางส่วนที่ล่วงหน้าไปมันไม่เกี่ยวกับพันธมิตรฯเลย ทั้งนี้ในการชุมนุมมีผู้เข้าร่วมชุมนุมเยอะ เราได้ย้ำตลอดผู้ชุมนุมต้องฟังคำสั่งจากแกนนำบนเวทีเท่านั้น อย่างไรก็ดีเมื่อเปรียบกับเสื้อแดงที่ปิดถนนอนุสาวรีย์ จนคนป่วยเข้าโรงพยาบาลไม่ได้ หรือกรณีบุกบ้านป๋าเปรม เอาคันธง เอาอิฐตัวหนอนไปปา เขาสั่งไม่ฟ้องได้ แล้วประเทศนี้จะเป็นนิติรัฐนิติรัฐได้อย่างไร

นายสุวัตร กล่าวถึงดคีลอบยิงนายสนธิ ลิ้มทองกุล คดีนี้หากจับคนร้ายไม่ได้รัฐบาลต้องลาออกอย่างเดียว เพราะว่าเหตุเกิดใจกลางเมือง แล้วเกิดกับคนซึ่งเป็นนักสื่อสารมวลชนอาุวุโส เป็นแกนนำเรียกร้องปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ หากจับไม่ได้รัฐบาลอย่าอยู่เลยเพราะมันบริหารไม่ได้แล้ว อย่างไรก็ดีบอกได้เลยว่าคดีนี้ หากพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ยังเป็น ผบ.ตร. อยู่คดีนี้จะไม่มีความคืบหน้า ถ้าหาก พล.ต.อ.พัชรวาท มีอันเป็นไปเพราะ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดในคดีสลายการชุมนุมวันที่ 7 ตุลาฯ ถึงตรงนั้นจะรู้กันว่าใครเป็นคนยิง และเหตุการณ์ทุกอย่างจะคลี่คลาย

“ฝากถึงนายกฯ ท่านเป็นรัฐบาลแล้ว หากสั่ง พล.ต.อ.พัชรวาท พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ไม่ได้ มันเหมือนเป็นรัฐบาลที่มือกุดเป็นง่อยมันทำอะไรไม่ได้ พันธมิตรฯ คือปิยมิตรของพรรคประชาธิปัตย์ ขณะนี้ประชาธิปัตย์กำลังจะผลักมิตรให้เป็นศัตรู และปล่อยให้ศัตรูเป็นศัตรูถาวร ชีวิตประชาธิปัตย์นับแต่นี้คุณหมดความสุขแล้ว พอคุณเล่นเกมอย่างนี้ แต่พันธมิตรฯ เขาเล่นตามกฎหมายทุกอย่าง แม้คุณมีกฎหมายก็ตามจะแจ้งอะไรก็ได้ จะเอาสนธิหรือเอาพันธมิตรฯ 36 คนไปติดคุกเขาไม่กลัวคุณหรอก อยากเตือนประชาธิปัตย์ ในฐานะที่เป็นปิยมิตรว่ากำลังเดินเกมที่ผิดพลาดแล้ว คนดีต้องแก้ไข คนจังไรชอบแก้ตัว” นายสุวัตร กล่าว

นายสุวัตร กล่าวอีกว่า ตำรวจในรัฐบาลชุดนี้เกลียดรัฐบาลมากที่สุด เพราะตอนเหตุการณ์ 7 ต.ค. คนที่ไปร้อง ป.ป.ช. คือพรรคประชาธิปัตย์ โดยนายอภิสิทธิ์ ดังนั้นเมื่อ ป.ป.ช.ตั้งคณะกรรมการตั้งข้อกล่าวหา 7 คนมี พล.ต.อ.พัชรวาทด้วย ก็คือผลงานที่นายอภิสิทธิ์ไปฟ้อง แล้วพันธมิตรฯ ไปเสริมที่หลัง ดังนั้น ถ้า ป.ป.ช.ชี้มูล พล.ต.อ.พัชรวาทต้องหยุดปฎิบัติหน้าที่ทันที ซี่งก็เป็นผลมาจากพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อพรรคประชาธิปัตย์เข้ามามีอำนาจแล้วก็ยังปล่อยให้ พล.ต.อ.พัชรวาทนั่งอยู่ตรงนั้น และพอแต่งตั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเข้าไป อธิบดี ดีเอสไอก็ยังนั่งอยู่ตรงนั้น ด้วยเหตุนี้ถึงได้อยากจะบอกว่าพรรคประชาธิปัตย์จะหมดเวลาแล้ว ควรจะไปเป็นฝ่ายค้านเท่านั้น เป็นรัฐบาลแล้วทำงานไม่เป็น

นายชัชวาลย์ กล่าว่า การเลือกปฏิบัติของตำรวจมันสะท้อนให้เห็นถึงความมีสติไม่สมประกอบของตำรวจหรืออาจเรียกได้ว่าเป็นพวกความจำสั้น ซึ่งตนเองก็เคยขึ้นเวทีพันธมิตรฯ ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ก็ไม่โดนข้อหาก่อการร้าย นอกจากนี้ยังมีอีกหลายคนที่ขึ้นเวทีแล้วไม่โดนฟ้อง อย่างนี้มันเป็นการเลือกปฎิบัติ เพื่อหวังผลทางการเมือง เพราะว่า 1.การจับบุคคลที่มีชื่อเสียงในคราวเดียวถึง 36 คน ในสังคมไทยไม่มีทางที่ตำรวจคนไหนกล้าทำ 2.การยัดข้อหาเกินจริง เพื่อต้องการให้เป็นปัญหาการเมือง คือล่ามโซ่พันธมิตรฯ โดยเฉพาะแกนนำ ไม่ให้เคลื่อนไหวทางการเมืองข้างหน้าได้ ประเด็นเป็นที่สังเกตได้ว่า พรรคประชาธิปัตย์มีฐานเสียงส่วนใหญ่มาจากชนชั้นกลาง ซึ่งเป็นชนชั้นเดียวกันกับพรรคการเมืองใหม่ ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์อาจมองว่า คนที่จะมาเป็นปัญหาทางการเมืองข้างหน้าของเขาก็คือพันธมิตรฯ และพรรคการเมืองใหม่ ดังนั้นจะมีวิธีไหนที่จะจัดการได้ ก็เอาข้อหาหนักๆ ยัดเข้าไป แล้วบอกหากไม่ผิดให้ไปแก้ตัวเอาเองที่ศาล เป็นกลางไม่แทรกแซง แท้ที่จริงกระบวนการยุติธรรมมันเริ่มจากตรงนี้ การที่คุณบอกให้ไปหาความยุติธรรมกับอัยการ ศาล แล้วตำรวจไม่ต้องมีความยุติธรรมเหรอ กระบวนการยุติธรรมมันต้องมีในทุกๆ ขั้นตอน

นายชัชวาลย์ กล่าวต่อว่า นายกฯ และนายสุเทพไม่ใช่คนโง่ ในเมื่อไม่ใช่คนโง่แล้วทำไมจะไม่รู้ว่าตำรวจยัดข้อหาให้ประชาชน เพราะฉะนั้นนายกฯ ในฐานะที่เป็นประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ(กตร.) จะนิ่งเฉยไม่ได้ เพราะคนที่มีจิตใจยุติธรรมเขาจะไม่นิ่งกัน การอำนวยความยุติธรรมให้เกิดแก่ประชาชนนี่เป็นหน้าที่ ไม่ใช่การแทรกแซง

"ดังนั้นผมจึงอยากฝากบอก นายกฯและนายสุเทพ ว่าอย่าเอาการเมืองมาทำลายความยุติธรรมของชาติ ของประชาชน เพราะคุณเป็นผู้บริหารรัฐ หากทำแบบนี้จะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี แล้วจะเสียแก่ตัวคุณเอง เพราะคุณกำลังทำให้สังคมไม่ได้รับความเป็นธรรม"

นายชัชวาลย์ กล่าวต่อว่า คำกล่าวหานี้เราไม่มีหลักฐาน เพราะระดับนายกฯ และนายสุเทพจะทำอะไรคงไม่ทิ้งหลักฐานไว้แน่ แต่เราใช้ตรรกะสามัญสำนึกว่า การฟ้องคน 36 คนในนั้นมีรัฐมนตรีต่างประเทศอยู่ด้วย ไม่มีตำรวจสติเสียคนไหนจะกล้าทำ ถ้าไม่ไปถามคนรับผิดชอบตำรวจ ซึ่งก็คือนายสุเทพนั่นเอง อีกอย่างยัดข้อกล่าวหาเขาเป็นเถึงผู้ก่อการร้าย ฉะนั้นงานนี้ต้องมีไฟเขียว และไฟเขียวไม่ใช่ไฟเขียวเล็ก แต่เป็นไฟเขียวรองกับสูงด้วย ผมอยู่กับ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ (อดีตนายกรัฐมนตรี) มาก่อนผมรู้ดี หลายคดีความแค่ 2 คนยังต้องมาถามนายกฯ ว่าจะดำเนินคดีนี้ไฟเขียวหรือไม่

“การเป็นผู้นำชาติ หากชาติใดมีผู้นำที่แยกความผิดไม่เป็น ปล่อยให้คนชั่วทำร้ายคนดี แล้วบอกว่าเป็นกลางไม่แทรกแซง คนอย่างนี้ไม่สมควรเป็นนายกฯ เพราะการเป็นนายกฯ ต้องดูแลอำนาจรัฐ แม้กระทั่งกระทรวงอื่นเจ้ากระทรวงไปทำไม่ดี นายกฯ ยังต้องเข้าไปจัดการให้มันถูกต้อง นี่มันเป็นพื้นฐาน” นายชัชวาลย์กล่าว

นายชัชวาล กล่าวต่อว่า นายกฯ เป็นคนฉลาด อย่าไปฟังคนข้างตัวมาก ที่สำคัญอย่าหูเบาและอย่าไปไว้ใจคนข้างตัว เพราะมันจะทำให้ท่านเสียหาย และจะเสียหายไปถึงพรรคประชาธิปัตย์ด้วย เพราะเวลานายกฯ ทำไม่ดีเขาไม่ได้มองแค่ว่านายอภิสิทธิ์ทำไม่ดี แต่เขาจะมองไปถึงพรรคประชาธิปัตย์ว่าใช้ไม่ได้ ซึ่งตนก็เป็นคนหนึ่งที่เลือกพรรคประชาธิปัตย์ โดยเห็นว่าเป็นพรรคการเมืองที่เลวน้อยที่สุด แล้วก็คิดว่านายกฯ เป็นคนดีที่สุด อย่างไรก็ดีหากนายกฯ ยังไม่ยืนด้วยตัวเอง จำแนกถูกผิด กล้าตัดสินใจ คิดว่านายกฯ จะเสียหายทางการเมือง ทั้งที่อายุยังน้อย อนาคตยังอีกไกล จะมัวแต่ไปฟัง"กำนัน"คนเดียวได้อย่างไร เพื่อตำแหน่งนายกฯ อันเดียวเอาอะไรมาแลกก็ยอม มันใช้ไม่ได้

นายชัชวาลย์ กล่าวถึงคดีลอบยิงนายสนธิว่าเป็นแบบหมาหมู่ มีผู้ร่วมขบวนการหลายคน แต่อย่างไรก็ตาม นับว่าโชคดีมากที่ได้ตำรวจที่ตงฉินอย่าง พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ เข้ามาทำคดี เพราะการยิงครั้งนี้มีอำนาจทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย และสาเหตุที่ต้องจัดการกำจัดนายสนธิ เป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว เพราะหากแผนลอบยิงบรรลุผล จะทำให้พันธมิตรฯ อ่อนแอ และเอเอสทีวีอยู่ไม่ได้ เพราะไม่มีหัวหอกในการขับเคลื่อน กลับกันหากนายสนธิอยู่ จะทำให้พวกที่อยากเป็นใหญ่เป็นโต คอร์รัปชั่นได้ลำบาก เพราะมีพันธมิตรฯ มีสื่ออย่างเอเอสทีวี คอยคัดค้านเปิดโปงขบวนการทุจริตคอร์รัปชั่นตลอด

“วันนี้คนข้างตัวนายกฯ รวมถึงทหารบางคน แอบคบกับทักษิณอยู่ โดยเฉพาะการเข้าไปมีผลประโยชน์บางอย่างในเขาพระวิหาร กรณีคุณสนธิเขาเรียกว่าต้องการเอาหอกข้างแคร่ออก หากเอาคนๆ นี้หายไปจากโลกนี้ได้ จะหากินสะดวกกว่านี้” นายชัชวาลย์กล่าว

นายชัชวาลย์กล่าวอีกว่า ในวงการทำรวจ-ทหารที่ดีหลายคนเขาตั้งคำถามว่าไปยิงนายสนธิทำไม เขาต่อสู้เพื่อชาติบ้านเมือง และในวงการทหารเขาก็รู้ว่าใครยิง นายสนธิก็รู้ว่าใครยิง กรณีนี้เดี๋ยวก็มีหมายจับอีก การลอบยิงนายสนธิ มีความลึกลับอยู่อย่างคือ มีหัวตอสองหัวเที่ยวเรียกนายตำรวจ แล้วบอกให้ถอน ยุติการสืบสวนสอบสวนและทำลายหลักฐานเสีย ตรงนี้นายกฯ ก็รู้ด้วย อย่างไรก็ดีกรณีนายสนธิเป็นเรื่องใหญ่ของแผ่นดิน และการที่นายกฯ บอกว่าคดีนี้จะไม่เป็นมวยล้มต้มคนดู ตรงนี้ขึ้นอยู่กับนายกฯ ว่าจะมีวิธีการอย่างไรที่จะไปขุดหัวตอ

รศ.ดร.ชวินทร์ กล่าวว่า คดีพันธมิตรฯ ไม่ได้เป็นประเด็นปัญหาข้อกฎหมายแต่เป็นปัญหาเรื่องการเมืองล้วนๆ และเป็นความผิดพลาดของนายกฯ โดยตรง ยกตัวอย่างทางเศรษฐศาสตร์ให้ฟัง ธนาคารแห่งประเทศไทยมีหน้าที่กำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ ธนาคารพาณิชย์ จะให้สินเชื่อใครหรือไม่มันเป็นอำนาจของเขา ธนาคารแห่งประเทศไทยจะไปสั่งเขาไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตามถ้ามีอะไรผิดพลาดธนาคารแห่งประเทศไทยยังต้องดูอยู่ แต่ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจอย่างหนึ่งคือเปลี่ยนหัว สั่งแล้วไม่ทำก็เปลี่ยน ดังนั้นจะเห็นได้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยมีหน้าที่กำกับดูแล แต่ไม่ได้ควบคุมดูแล หากยกตัวอย่างแบบนี้นายกฯ ยังฟังไม่รู้เรื่องก็แปลกแล้ว

“ยุทธศาสตร์ตอนนี้ก็เหมือนกับการเล่นเทนนิสหรือฟุตบอล ตอนนี้รอบรองชนะเลิศ ฟ้าต้องซัดกับเหลืองตัดเชือก อีกฝั่งหนึ่งน้ำเงินต้องซัดกับแดง เสร็จแล้วถ้าชนะก็เหมือนกับวีนัสเข้าไปชิงกับเซเรน่า ก็ฮั้วกันได้ เพราะยังไงแชมป์ก็ต้องตกกับตระกูลวิลเลี่ยมส์แน่นอน” รศ.ดร.ชวินทร์ กล่าว

รศ.ดร.ชวินทร์กล่าวต่อว่า นายกฯ กำลังเข้ามุมอับ หาเรื่องใส่ตัว แทนที่จะตั้งมาตรฐานดีงาม ถึงแม้จะไม่ตั้งมาตรฐานอยู่เฉยๆ เขาก็ว่าดีอยู่แล้ว เพราะความหล่อกินเกินครึ่ง แต่ทำไปทำมาจะกลายเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ เหมือนทักษิณ เพราะไม่ยึดมาตรฐานความดีเป็นหลัก เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วดันไปพูดในเรื่องที่ไม่ควรจะพูดอีกว่า “ไม่รู้ว่าความดีเป็นอย่างไรถ้าอยู่บนตำแหน่งทางการเมือง” ตรงนี้หากคนที่อยู่บนตำแหน่งทางการเมืองไม่รู้กฎหมายไม่ว่า แต่จะต้องรู้เรื่องมาตรฐานความดี เหมือนหัวหน้าพ่อครัวใหญ่อาจไม่รู้รายละเอียดการทำอาหารบางอย่าง แต่จะต้องรู้ว่าอะไรเหม็นอะไรหอม เอาอะไรผสมกับอะไรแล้วกลิ่นจะออกมาเป็นอย่างไร

“สมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 จะขึ้นครองราชย์ ก็มีแม่นมมาส่ง แล้วบอกว่าถ้าขึ้นครองราชย์แล้ว ชั่วชีวิตนี้จะไม่ได้ยินคำพูดอะไรที่เป็นความจริงอีกแล้ว จะฟังอะไรก็แล้วแต่ขอคิดถึงหลักการและความเป็นธรรม ปรากฏว่าพระเจ้าหลุยส์นึกยังไงก็นึกไม่ออก จนกระทั่งคอไปพาดอยู่ที่กิโยติน ถึงได้นึกออกว่าตลอดเวลาเราฟังคนที่มันไม่ดี ฉะนั้นถ้าอยากจะฟังคนที่พูดความจริง อยากจะหากัลญาณมิตร ให้ไปหาคนที่เขาด่าซี่งเขาจะพูดความจริงให้ฟัง ดังนี้นายกฯ อย่ากจะเป็นแบบไหนก็เลือกเอา” รศ.ดร.ชวินทร์ กล่าว
 นายสุวัตร อภัยภักดิ์
ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย
ศ.ดร.ชวินทร์ ลีนะบรรจง
กำลังโหลดความคิดเห็น