“เสด็จพี่” มิยอมความหลังหน้าแหกจากทำเนียบ ลุยพรรคประชาธิปัตย์ต่อยื่นหนังสือจี้ “ชวน” ทวงสัจจะ “กษิต” ไขก๊อก อ้างละเมิดอนุสัญญามอนทรีอัล จวก “มาร์ค-เทพเทือก” ไร้ภาวะผู้นำ เตรียมยื่นประท้วงประชุม รมต.ต่างประเทศอาเซียน อ้างผลโพลไม่รับ “กษิต” พร้อมบี้เปลี่ยนตัว รมว.สธ.ฐานไร้คุณภาพแก้ปัญหาหวัด 2009 คุยฝ่ายค้านพร้อมช่วยเหลือ โวถ้าเป็นรัฐบาลจะตั้งศูนย์ปฏิบัติการทั้ง 5 ภาค
เมื่อเวลา 10.00 น. นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ได้เดินทางมายังที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อยื่นหนังสือทวงถามจริยธรรมและคลิปการให้สัมภาษณ์ของนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ เมื่อวันที่ 23 ก.พ.52 ที่ผ่านมา ต่อนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีนายพีรยศ ราฮิมมูลา ส.ส.สัดส่วนพรรคประชาธิปัตย์ รับหนังสือดังกล่าวแทน หลังจากที่เช้าวันเดียวกันนี้ได้เดินทางไปยื่นหนังสือให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล
โดย นายพร้อมพงศ์กล่าวภายหลังว่า การเดินทางมาที่พรรคประชาธิปัตย์ในวันนี้เพื่อทวงสัจวาจาที่นายกษิตได้เคยพูดไว้ เพราะวันนี้ รมว.การต่างประเทศเป็นหน้าตาของประเทศไทย แต่กลับไม่รักษาสัจจะโดยบอกว่าจะไม่ลาออก และมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กับนายอภิสิทธิ์ให้ท้ายว่าไม่ต้องลาออก ที่สำคัญนายกษิตจะต้องไปตกลงสัญญาการค้าระหว่างประเทศก็จะมีปัญหาเพราะประเทศต่างๆ จะไม่เชื่อถือรัฐมนตรีที่ไม่รักษาสัจจะ
โฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าวว่า ตามอนุสัญญามอนทรีอัล ประเทศแคนาดา ที่ประเทศไทยเคยไปลงนามในอนุสัญญาพิธีสารว่าด้วยการบินพลเรือนนานาชาติ ระบุชัดเจนถึงการปิดสนามบินนานาชาติว่าเป็นการก่อการร้าย ดังนั้น การที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและนายกษิตไปร่วมปิดสนามบิน ผิดมาตรา 5 ของอนุสัญญาดังกล่าว ถ้านายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์รวมทั้งนายกษิตยังดำเนินการแบบ 2 มาตรฐานเหมือนคนมีเส้นว่าไม่ต้องลาออก เมื่อถูกดำเนินคดีวันนี้อาจใช้ได้กับประเทศไทย แต่นานาชาติกำลังจ้องมองอยู่ว่าละเมิดอนุสัญญาดังกล่าว และที่ตนมาร้องต่อนายชวน เพราะเห็นว่าเป็นผู้ใหญ่ของพรคประชาธิปัตย์ที่พูดเสมอว่า มาตรฐานทางจริยธรรมและความรับผิดชอบทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์สูง เพราะเป็นสถาบันกรเมืองมา 63 ปี จึงอยากทราบว่านายชวนจะดำเนินการอย่างไรในฐานะผู้ใหญ่ของพรรค
นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพให้ความช่วยเหลือนายกษิต และที่สำคัญเป็นการกดดันเจ้าหน้าที่ตำรวจ และหัวหน้าพนักงานสอบสวนเรื่องนี้จะดำเนินคดีอย่างไร เมื่อนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ที่สามารถย้ายผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้บอกว่าไม่ต้องออกจนกว่าศาลจะดำเนินคดี นี่คือมาตรฐานของพรรคประชาธิปัตย์ ที่บอกว่าตัวเองมีจริยธรรมและมีความรับผิดชอบทางการเมืองสูง แต่วันนี้ผลสำรวจของโพลระบุแล้วว่า 60 กว่าเปอร์เซ็นต์ให้ลาออก ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าวันนี้ประชาชนคนไทยรับไม่ได้กับการโกหกของนายกรัฐมนตรีและรมว.การต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม การดำเนินการของพรรคเพื่อไทยในเรื่องนี้ไม่ใช่ทำเพื่อพรรคหรือเป็นประเด็นการเมือง
“ผมจะเดินทางไปยื่นหนังสือประท้วงนายกษิตต่อเลขาธิการอาเซียน ในระหว่างที่มีการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน จ.ภูเก็ต ด้วยตัวเอง เพื่อให้ที่ประชุมทราบว่าประเทศไทยมีรัฐมนตรีที่ไม่มีสัจวาจาแล้วที่ประชุมจะรับได้หรือไม่ และขอยืนยันว่าไปยื่นแล้วก็กลับไม่มีม๊อบแน่นอน วันนี้ผมไปยื่นหนังสือให้นายกฯ ที่ทำเนียบ แต่นายกฯ กลับเดินหนีไม่ยอมรับหนังสือ ถือว่าขาดภาวะการเป็นผู้นำ สิ่งที่นายกฯ พยายามทำวันนี้ก็คือ หลีกหนีปัญหา ทั้งที่เป็นผู้นำแต่ต้องรับปัญหา ก่อนเดินทางไปผมได้ประสานไปยังฝ่ายเสธ.หน้าห้องของนายกฯ ผมอยากถามว่า ผมเป็นตัวแทนประชาชนไปยื่นหนังสือยังถูกกระทำแบบนี้ แล้วประชาชน 63 ล้านคน ชาวบ้านตาดำๆ จะทำอย่างไร” นายพร้อมพงศ์ กล่าว
นอกจากนี้ นายพร้อมพงศ์ยังกล่าวถึงการแก้ปัญหาไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ว่า รัฐบาลพยายามปกปิดข้อมูล เพราะเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อปัญหาเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ประชาชนได้ติดโรคดังกล่าวจากห้างสรรพสินค้า ความจริงแล้วรัฐบาลต้องทำเป็นวาระแห่งชาติ รวมถึงต้องรับภาระค่ารักษาทั้งหมดและบูรณาการ
“วันนี้รัฐบาลทำอะไรเป็นบ้าง คิดอะไรก็เป็นแต่การเมือง ทั้งนี้ถ้าพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล เราจะแก้ปัญหาโดยยกเรื่องดังกล่าวเป็นวาระแห่งชาติ และตั้งศูนย์ปฏิบัติการไข้หวัดใหญ่ 2009 ทั้ง 5 ภาค ในการร่วมกันระหว่างโรงพยาบาลรัฐและเอกชน และศูนย์ดังกล่าวจะเป็นข้อมูลระหว่างประเทศ และมีการคัดกรองเหมือนปลาที่อยู่ในบ่อ และต้องเอาปลาที่ป่วยออกไป ไม่เช่นนั้นปลาจะตายทั้งบ่อ” นายพร้อมพงศ์กล่าว
โฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าวว่า ที่ผ่านมาเคยนำเรื่องดังกล่าวเสนอรัฐบาล แต่รัฐบาลไม่ยอมรับฟัง ตนบอกว่าให้นำเรื่องดังกล่าวเป็นวาระแห่งชาติและบูรณาการ ซึ่งฝ่ายค้านยินดีช่วย เพราะฝ่ายค้านเคยแก้ปัญหาไข้หวัดนกและโรคซาร์สมาแล้ว รัฐบาลในสมัยนั้นเคยควบคุมมาแล้ว ทั้งนี้ตนเห็นว่านายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข ทำเรื่องนี้ด้วยการโฆษณาสร้างภาพ วันนี้รัฐบาลขาดคำว่าบูรณาการและเอกภาพที่ว่ารัฐราชร่วมใจต้านภัยไข้หวัดใหญ่ 2009 ถ้ารัฐบาลไม่บูรณาการแต่มองว่าทุกอย่างเป็นประเด็นการเมือง รัฐบาลจะล้มเพราะไข้หวัด 2009
นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า นายกฯ จะต้องทบทวนนโยบายในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว และทบทวนรัฐมนตรีที่รับผิดชอบ คือ นายวิทยา เพราะรับมือกับปัญหาดังกล่าวไม่ได้ และขาดประสบการณ์ไม่มีความรู้ นายกฯ ต้องปรับเปลี่ยน เพราะไม่ใช่หายนะของรัฐบาลอย่างเดียวแต่รวมถึงประเทศไทย และลุกลามไปโดยเอาชีวิตของประชาชนมาเสี่ยงบนพื้นฐานของคำว่าการเมือง วันนี้นายกฯ ไม่กล้าปรับเปลี่ยนตามที่ฝ่ายค้านเสนอ เพราะกลัวจะเสียรังวัดและเสียหน้า ส่วนการที่นายวิทยาระบุว่านำเรื่องนี้ไปเป็นประเด็นทางการเมืองนั้น เป็นความคิดแบบแคบๆ เพราะพรรคประชาธิปัตย์มองเป็นเพียงเรื่องการเมืองการสร้างภาพ แต่ไม่คิดว่าเราที่เสนอมาด้วยการรวบรวมข้อเท็จจริงจากประชาชน และเห็นรัฐบาลแก้ปัญหาผิด