แม้ว่าจะมีเสียงวิจารณ์จากสังคมรอบทิศถึงความไม่เหมาะสมกับวิธีการของกลุ่มคนเสื้อแดงในกลุ่ม 3 เกลอ ที่นำโดย วีระ มุสิกพงศ์ อดีตนักโทษในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และปัจจุบันก็ยังถูกดำเนินคดีอีกคดี ที่กำลังล่ารายชื่อ 1 ล้านรายชื่อภายใน 1 เดือน เพื่อถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้กับ ทักษิณ ชินวัตร ให้พ้นจากความผิดที่ก่อเอาไว้หลายคดี
หลายคนมองว่าความเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นเรื่องไม่บังควร และ“เหิมเกริม” เป็นอย่างยิ่ง
เพราะหากพิจารณาในแง่ของความเป็นจริง และขั้นตอนตามกฎหมายถือว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ยังดันทุรังเดินหน้า มันก็ช่วยไม่ได้ที่ทำให้ถูกมองว่าเป็นแผนการ “ซ่อนเร้น” อันชั่วร้าย เพื่อหวังผล “บางอย่าง” ที่จะตามมาในอนาคต
นาทีนี้เริ่มมีความเข้าใจกันมากขึ้นว่าการขอพระราชทานอภัยโทษได้นั้น จะต้องเป็นคดีที่เด็ดขาด และนักโทษต้องถูกจับกุมคุมขังอยู่ในคุก และคนที่จะขอพระราชทานอภัยโทษ นอกจากเจ้าตัวเองที่มีความสำนึกผิดแล้ว ยังยื่นได้เฉพาะ พ่อ แม่ ลูก เมีย เท่านั้น
ทุกอย่างต้องดำเนินการตามขั้นตอน แต่นี่ ทักษิณ ชินวัตร ยังหลบหนีคดี และที่ผ่านมาก็ไม่เคยสักครั้งเดียวที่จะรู้สึกสำนึกผิด นอกจาก “ตีโพยตีพาย” กล่าวโทษแต่คนอื่นร่ำไป
หากแยกพิจารณาเฉพาะกรณีการล่า 1 ล้านรายชื่อภายใน 1 เดือน เพื่อถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษที่คนกลุ่มนี้ระบุว่า หากได้รายชื่อไม่ครบตามจำนวนดังกล่าวภายในเวลาที่กำหนด ก็จะยอมยุติดำเนินการนั้น แม้ว่าอีกนัยหนึ่งเป็นการหาทางถอยไว้ล่วงหน้าให้กับตัวเอง
แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าสามารถหารายชื่อได้ครบแล้วดำเนินการไปตามเป้าประสงค์ของกลุ่มตัวเองแล้วจะเกิดอะไรขึ้น แม้ว่าในการล่ารายชื่อดังกล่าวจะมีการอำพราง โดยให้ข้อมูลเพียงด้านเดียว คือการขอ “พึ่งพระบารมี” ซึ่งทำให้ชาวบ้านที่ชื่นชอบ ทักษิณ เกิดความหลงเชื่อคล้อยตาม
อีกทั้งเมื่อจับอาการของ วีระ มุสิกพงศ์ ที่กล่าวออกมาระหว่างการแถลงข่าวก่อนตั้งโต๊ะล่ารายชื่อ ได้ออกตัวว่า เป็นอารมณ์ความรู้สึกของคนที่คิดถึง ทักษิณ ชินวัตร ที่ตกทุกข์ในต่างแดนเป็นเวลานาน และกำลังอยู่ในช่วงที่ประเทศเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ จึงอยากให้กลับมาช่วยกอบกู้ จึงคิดถึงวิธีการดังกล่าวขึ้นมา
อย่างไรก็ดี หากเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ วีระ มุสิกพงศ์ ฟังแล้วอาจหลงเชื่อได้ไม่ยาก แต่สำหรับคนที่เคยเรียนกฎหมาย ผ่านตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และยังเคยเป็นอดีตนักโทษในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ย่อมต้องรู้ซึ้งถึงขั้นตอนทางกฎหมาย และความเป็นไปได้เป็นอย่างดี
เมื่อรู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่ก็ยังเดินหน้า มันก็ย่อมถือว่าไม่ธรรมดา ขณะเดียวกันเมื่อย้อนกลับไปพิจารณาองค์ประกอบ หรือพฤติกรรมอื่นๆในช่วงที่ผ่านมาล้วนแล้วแต่ส่อไปในทางท้าทาย หรือมีนัยไปทางทำให้กระทบกระเทือนต่อสถาบันเบื้องสูงทั้งสิ้น ตามกรรมต่างวาระ ตั้งแต่หัวโจกยันท้ายแถว
หากสังเกตให้ดีย่อมจะจดจำได้ว่า ทักษิณ ชินวัตร เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศหลายครั้งว่าต้องการ “พึ่งพระบารมี” ในการเดินทางเข้าประเทศ หรือแม้กระทั่งกล่าวหาจาบจ้วงว่า ทรงทราบล่วงหน้า ถึงเรื่องการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
นี่ยังไม่นับจากคำพูดที่เคยกล่าวหลายครั้งในช่วงที่ยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในลักษณะที่ไม่บังควร เช่น “หากจะให้ลาออกก็ให้พระเจ้าอยู่หัวมากระซิบข้างหู” หรือ “ถ้าผมไม่จงรักภักดีแล้วแล้วผีที่ไหนจะจงรักภักดีวะ” รวมทั้ง “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ” เป็นต้น
ล่าสุดเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ที่ผ่านมา ทักษิณ ชินวัตร ก็ได้แพ้คดีที่ถูกกล่าวหาว่า “อยากเป็นประธานาธิบดี” และมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมต่อองค์พระมหากษัตริย์มาตลอด แม้กระทั่งโจมตีให้ร้ายสถาบันองคมนตรี ที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งตามพระราชอัธยาศัย ทำให้ทุกอย่างเริ่มเข้าเค้า
อีกทั้งเมื่อปะติดปะต่อกับพฤติกรรมระหว่างการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ก็มีการพูดจาจาบจ้วงต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่เสมอ และหลายคนที่เป็นแกนนำก็ถูกดำเนินคดี ในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
นอกเหนือจากนี้ ยังมีเรื่องเสนอให้เปลี่ยนแปลง “วันชาติ” > จากวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 5 ธันวาคม ทุกปี ไปเป็นวันที่ 24 มิถุนายน
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวข้างต้น หากนำมาเชื่อมโยงให้เห็นอย่างต่อเนื่องก็ย่อมมองเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากมีเจตนาทำให้กระทบไปถึงสถาบันเบื้องสูงอย่างชัดเจน และครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน มีเจตนาล่ารายชื่อเพื่อสร้างแรงกดดัน
ขณะเดียวกันอีกทางหนึ่งมีเจตนาส่อไปในทางวัดกำลังศรัทธาเพื่อข่มขู่หรือ“ชนฟ้า” โดยตรง รวมไปถึงมีเจตนาเพื่อก่อสงครามประชาชน ต้องการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองหรือไม่
และนี่คือแผนอันตรายที่กำลังเริ่มดำเนินการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ใช่หรือไม่ !!