“สุริยะใส” มั่นใจคดี 7 ต.ค. ไม่เกินความสามารถ ป.ป.ช. จี้นายกฯสร้างบรรทัดฐานลากตัวคนร้ายลงโทษ อย่าเป็นใบ้คดีสะเทือนขวัญ ปชช. ด้าน"พิภพ" ระบุเพื่อไม่ให้คดีถูกแทรกแซง รัฐต้องสั่งพักงานผู้เกี่ยวข้องกับคดี ย้ำหากรัฐเอาจริงแผนตากสินจะไม่เกิด อัดนายกฯพิศูจน์ความจริงใจในการให้ความปลอดภัยกับ ปชช.
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย”
รายการ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ทางเอเอสทีวี-ทีวีของประชาชน ช่วงเวลา 23.30-22.00 น. วันศุกร์ที่ 26 มิ.ย. มีคุณจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ เป็นพิธีกร ได้รับเกียรติจาก นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ (ก.ม.ม.) และ นายพิภพ ธงไชย แกนนำประชาธิปไตยเพื่อประชาชน มาร่วมรายการ เพื่อพูดถึงข้อเสียในการทำงานของรัฐบาลกับคดีสะเทือนขวัญของประชาชนและมุมมองแผนตากสิน
นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ (ก.ม.ม.) กล่าวแสดงความเชื่อมั่นในการพิจารณาคดีเหตุการณ์ 7 ต.ค. ว่า ตัวกรรมการ ป.ป.ช. ส่วนใหญ่เป็นบุคคลน่าเชื่อถือ คิดว่าไม่น่าจะเกินความสามารถ ถ้าย้อนไปดูเหตุการณ์ก่อนหน้าทันทีที่เกิดเหตุมีการร้องกรรมการสิทธิมนุษย์แห่งชาติสอบ จากนั้นมีการรายงานการสอบสวนระบุความผิดของตำรวจระดับผู้บังคับบัญชาจนถึงระดับภาคสนาม 30 คน นักการเมืองอีกนับ 10 คน อนุกรรมการสอบและมีการแถลงไปแล้วด้วยว่าใครผิดบ้าง ดคีนี้ไม่ต่างจากรายงานของกรรมการสิทธิมนุษย์ชน ซึ่งรายงานสองชุดนี้ ป.ป.ช. ก็ใช้เป็นฐานข้อมูลการสอบสวนของตัวเองด้วย ทำให้งานง่ายขึ้นกว่ากรรมการสิทธิฯและกรรมการวุฒิฯ จึงไม่เป็นเหตุที่จะต้องล่าช้า อย่างไรก็ดี ป.ป.ช. ควรปรับขบวนการไต่สวนให้เร็วขึ้น โดยไม่เปิดช่องให้ตำรวจถ่วงเวลาอ้างว่าต้องรอพยานหลักฐาน ดังนั้น ป.ป.ช. ต้องมีกฎเกณฑ์ว่าเหตุการณ์ไหนฟังขึ้นก็ไม่ต้องรอพยานอื่น ต้องคำนึงถึงผู้เสียหายเป็นสำคัญ เพราะบางคดีผู้เสียหายไม่สามารถรอได้ อย่างคดี เชอร์รี่แอน กว่าผลจะพิศูจน์ว่าบริสุทธิ์ก็เสียชีวิตในคุกเสียแล้ว ป.ป.ช. ต้องถือเอาคดีนี้เป็นบทเรียน
นายสุริยะใส กล่าวต่อว่า ส่วนคดีลอบยิง นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มีการสอบถามติดตามความคืบหน้า แต่บางอย่างประกาศออกสื่อไม่ได้ หลักประกันอันหนึ่งของคณะทำงานชุดนี้คือ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ทำงานอย่างตรงไปตรงมา และความที่ท่านใกล้เกษียรในอีก 3-4 เดือนข้างหน้า ตรงนี้อาจเป็นเงื่อนไขหนึ่งที่ทำให้ท่านต้องแสดงสปีริตความเป็นตำรวจในฐานะเป็นพนักงานสอบสวนให้เป็นบรรทัดฐาน ซึ่งเราเชื่อว่าท่านมีหลักคิดแบบนี้อยู่ แต่เผอิญคดีนี้ไปโยงกับผู้มีอำนาจ อย่างไรก็ดีคดีนี้ นายสุเทพ เทือกสุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ต้องลงมาดูเอง ในฐานะที่คุมตำรวจอยู่ และคดีนี้เกี่ยวกับการเมืองรวมถึงความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน นายกฯ ต้องประกาศออกไปเลยว่าอย่าปล่อยให้คนชั่วลอยนวล อย่างน้อยต้องประกาศเป็นนโยบาย ไม่ใช่ไม่พูดเลยเพราะจะไม่มีใครรู้ว่ารัฐบาลใส่ใจกับเรื่องแบบนี้หรือป่าว การเรียกร้องตรงนี้ไม่ใช่การแก้แค้นหรือเอาคืน แต่ต้องการทำให้เป็นบรรทัดฐาน
“ล่าสุดก็มีการปล่อยข่าวว่าผู้บงการสั่งฆ่าเป็นบุคคลระดับสูง เพื่อสร้างจิตวิทยาให้ตำรวจกลัว ข้าราชการไม่ให้ความร่วมมือ พยานหลักฐานถอย พยายามปิดเกมว่าไม่สามารถหาตัวคนทำผิดได้ แต่ก็พอมีบางอย่างที่จะเป็นหลักประกันให้พี่น้องสบายใจ ความคืบหน้าในกระบวนการสอบสวน ใกล้ตัวมือปืนแล้วชนิดออกหมายจับได้ทันที แต่ต้องการสาวให้ถึงตัวผู้บงการมากที่สุด เพื่อที่พอเรื่องถึงศาลสามารถอุ่นใจได้ว่าหลักฐานที่มีจะส่งตัวผู้ร่วมขบวนการทั้งหมดไปดำเนินคดีตามกฎหมายได้” นายสุริยะใส กล่าว
นายสุริยะใส กล่าวถึงแผนตากสิน ว่าหากนายกฯ ไม่ทำอะไรเลย ถึงแม้แผนตากสินจะไม่มีก็เหมือนมี ถ้ามีจริงก็จะเป็นอันตราย กลายเป็นสงคราม ซึ่งเป็นการตอกย้ำให้เห็นว่ารัฐบาลล้มเหลวในการปกครองคนของของรัฐ แต่ถ้ามีจริงแสดงว่าเป็นคนมีอำนาจรัฐมีส่วนรู้เห็นหรือบงการเอง นี่ก็เป็นยุทธศาสตร์หนึ่งในการโค่นล้มอำนาจ จะเห็นได้ว่าครั้งหนึ่ง ทักษิณ เป็นคนคิดว่าถ้ากลับโดยมีเงื่อนไขต้องมาติดคุก มันไม่ได้ดังนั้นต้องรอให้เกิดสงครามก่อน และถ้าแผนนี้มีจริง แสดงว่าอำนาจรัฐล้มเหลวไม่สามารถคุมกำกับข้าราชการให้อยู่ในแถวได้ และดูเหมือนนายกฯนิ่งเฉย ไม่ส่งสัญญาณให้เห็นถึงความเข้มแข็งของผู้นำว่าเรื่องอย่างนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก ไม่ว่าจะเป็นคดี 7 ต.ค. คดีนายสนธิ หรือแม้แต่คดีทนายสมชาย ทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นว่ารัฐจะปกป้องชีวิตและทรัพย์สินเขาได้ จนทำให้ประชาชนต้องปกป้องกันเองโดยถืออาวุธ เมื่อต่างฝ่ายต่างถืออาวุธจึงเกิดเหตุการณ์อย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ ดังนั้นการข่าวต้องทำงานว่าข่าวไหนจริงไม่จริง ถ้าจริงอำนาจรัฐส่วนไหนเข้าไปเกี่ยวข้อง
“ข้อผิดพลาดของรัฐบาลชุดนี้ คือไม่จัดระเบียบอำนาจรัฐ โดยเฉพาะกลไกตำรวจ ปรับบางส่วนเพื่อการเมือง เพื่อคะแนนเสียง เพื่อความได้เปรียบพรรคตรงกันข้าม เหมือนการโยกย้ายผู้ว่าราชการจังหวัด แทนที่จะเป็นการโยกย้ายเพื่อยุทธศาสตร์ด้านความไม่มั่นคงของการจัดตั้ง เป็นการโยกย้ายเพื่อคะแนนเสียง อย่างในภาคอีสาน นายกฯจะต้องให้ข้อเท็จจริง สื่อของรัฐต้องทำงานให้ข้อมูลข่าวสารแก่คนอีสานที่ถูกบิดเบือนในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา อย่ามองว่าทำแล้วไม่คุ้มไม่ทำดีกว่า ก็เลยเลือกรักษาที่มั่นของตัวเองเฉพาะภาคกลางและภาคใต้ รัฐบาลต้องดูแลประชาชนทั้งหมด 63 ล้านคนอย่าแบ่งแยก เป็นการเมืองที่สุดท้ายมีอิทธิพลเหนือความคิดในการบริหาร บทบังศักยภาพและความสามารถ เป็นความโชคร้ายของคนไทยที่ได้นายกฯ เป็นคนดี มีความรู้คามสามารถ แต่ความคิดเชิงยุทธศาสตร์ ที่มันมีเรื่องแพ้ชนะทางการเมือง ผู้ใหญ่ในพรรคมามีอิทธิพลในการบริหารของท่าน มันก็เลยบริหารบ้านเมืองไม่ดี” นายสุริยะใส กล่าว
นายสุริยะใส กล่าวไม่เห็นด้วยถ้าจะให้พรรคการเมืองใหม่แยกเด็ดขาดจากพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพราะเป็นการคิดแบบสำนักคิดการเมืองสายโรเมนติก ซึ่งเราต้องยอมรับความจริงว่าญัตติสาธารณะที่เกิดขึ้นในหลายเรื่อง เริ่มต้นจากประชาชน เช่น ปฏิรูปการเมือง สมานฉัน แต่พอเข้าสภามันผ่านไปไม่ได้เพราะตัวแทนของประชาชนไม่มี พรรคการเมืองไม่สนองต่อเจตนารมย์ของประชาชน ฉะนั้นการเมืองภาคประชาชนแนวใหม่จะเป็นการเข้าไปชิงพื้นที่ในสภา เพื่อสร้างข้อต่อระหว่างญัตติที่เกิดจากมวลชน ไปผ่านสภาเป็นกฎหมายเป็นนโยบายสาธารณะออกมา ทั้งนี้ความคิดแบบเก่า มักคิดได้แค่จับแยก ซึ่งตรงนี้จะเข้าทางนักการเมือง เช่นเวลาเดินขบวนก็บอกว่าจบๆ ถอยไป เอาปัญหาเข้าไปแก้ในสภา แล้วเกือบทุกครั้งเสี่ยงข้างมากก็สวนทางกับความรู้สึกของประชาชนตลอด
นายสุริยะใส กล่าวถึงเกณฑ์ในการรับคนเข้าพรรค โดยเชื่อว่าคนที่มีบทบาทในการเมืองเก่ายังมีคนดีอยู่บ้าง ซึ่งเราก็มีหลักในการวิเคราะห์รับคนเหมือนกัน ไม่ใช่ปฏิเสธไม่เอาอดีต ส.ส. ที่สำคัญมาแล้วรับเงื่อนไข เข้าสู่กระบวนการได้หรือป่าว และพฤติกรรมเก่าๆจะไม่ถูกนำมาใช้ในพรรคใหม่นี้ด้วย การพิศูจน์ว่าพรรคการเมืองใหม่และใหม่จริงๆ เราได้ทำมาแล้วในเชิงรูปแบบตั้งแต่วันประกาศตั้งพรรค 24-25 พฤษภาคม ถ้าใหม่ในเชิงเนื้อหา อันนี้ต้องใช้เวลาเหมือนกันเพราะในบางเรื่อง คิดใหม่อย่างเดียวไม่พอ ต้องดูว่ามีโอกาสในสภาแค่ไหน
"การเมืองใหม่จะเป็นบรรทัดฐานใหม่ๆ ในสภา เพราะกล้าเลือกที่จะยืนอยู่ข้างความถูกต้องมากกว่าเสียงข้างมาก ที่ผ่านมาเสียงข้างมากพาไปในทางที่ไม่ดีก็มี สวนทางกับความรู้สึกของประชาชนก็เยอะ ฉะนั้นต้องอยู่กับเสียงแห่งความถูกต้อง ถึงแม้จะเป็นฝ่ายค้านหากรัฐบาลทำดีต้องก็ต้องสนับสนุน" นายสุริยะใส กล่าว
นายพิภพ ธงไชย แกนนำประชาธิปไตยเพื่อประชาชน กล่าวว่า คดี 7 ต.ค. ต้องทำเป็นเข่นฆ่าประชาชนกลางวันจนถึงค่ำ ในเขตพระราชฐาน หน้ารัฐสภา ดังนั้นถ้าเอาผิดไม่ได้อีกประชาชนจะไปพึ่งใคร โดยในระหว่างการสอบสวนผู้ที่ถูกกล่าวหารัฐบาลควรจะสั่งให้พักงาน การที่รัฐบาลไม่สั่งพักงานผู้ถูกกล่าวหา โดยผู้ถูกกล่าวหายังมีอำนาจอยู่ และจะสั่งโยกย้ายตำรวจ ในวันที่ 3 ก.ค.นี้ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลักฐานได้ เช่นเปลี่ยนหลักฐานการเบิกแก๊สน้าตาจาเมืองจีน เป็นอเมริกา เพราะฉะนั้นรัฐบาลไม่ได้สร้างบรรทัดฐานความเป็นธรรม จะต้องใช้กฎหมายระเบียบราชการอย่างเต็มที่ อย่างน้อยต้องพักราชการหรือย้ายออกทันที นี่ไม่ทำอะไรเลยจนอาจถูกตั้งข้อสงสัยได้1.ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นน้อง รมว. กลาโหม 2.ประธาน ป.ป.ช. เป็นเพื่อนกัน ตรงนี้ไม่มีความยุติธรรม ต้องให้ออกจากกระบวนการไว้ก่อนเพื่อไม่ให้กระบวนการถูกแทรกแซง ตรงนี้นายกฯไม่เคยพูดถึงเลยเป็นการปัดแสดงความรับผิดชอบ และเหตุการณ์ 7 ต.ค. รัฐมนตรีใจดำไม่ไปเยี่ยมพี่น้องประชาชน ไม่จัดงบประมาณช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ตั้งแต่ 7 ต.ค. เป็นต้นมาได้มาจากรัฐบาลสมชาย 50 ล้าน เดิมทีบอกว่าจะใช้แค่ในเหตุ 7 ต.ค. ไม่ใช่เฉพาะเหตุการณ์นี้อย่างน้อยต้องช่วยเหลือเบื้องต้น เพราะการกระทำไม่ว่าถูกหรือผิดมาจากการเมืองที่ล้มเหลว เชื่อมั่นว่าประชาชนต้องเคลื่อนไหวหากคดีไม่คืบ ถ้าเคลื่อนไหวแล้วไม่คดีไม่คืบ ตรงนี้พรรคการเมืองใหม่ต้องทำ
“คดีสนธิ นายกฯ เป็นนักการเมืองใหม่ก็จริง แต่กลิ่นอายรอบตัวยังเป็นการเมืองเก่า ซึ่งท่านควรรู้ว่าเหตุการณ์การเมืองฆ่ากัน การลอบสังหาร หรือ 7 ต.ค. ก็ดี มันเป็นบาดแผลที่ ฝังลึกของสังคม แล้วนายกฯ ไม่มีท่าทีว่าจะดำเนินการเรื่องนี้ ตรงนี้ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งต้องจัดการปัญหา เอาแค่จัดการเหตุการณ์ตอนที่เป็นฝ่ายค้านแล้วอาสามาเป็น นายกฯว่าจะแก้ไขปัญหาประเทศเพราะการเมืองล้มเหลว ถ้าท่านไม่นำความยุติธรรมเข้ามาสู่ประเทศ การเมืองก็จะล้มเหลวต่อไป” นายพิภพ กล่าว
นายพิภพ กล่าวว่า หากนายกฯ เอาจริงเรื่องแผนตากสิน โดยการบังคับใช้กฎหมายอย่างถูกต้องและเป็นสากล เชื่อว่าเหตุการณ์เหล่านี้จะไม่เกิดขึ้น ที่เป็นอยู่เพราะนายกฯไม่แสดงเจตนาอย่างชัดเจน ทำให้มีข่าวตรงนี้ออกมา ทำให้ประชาชนต้องดูแลตัวเองระมัดระวังตัวเองว่าข่าวจริงไม่จริง เพราะเมื่อย้อนกลับไปหลายครั้งเป็นข่าวจริง อย่างเหตุการณ์วันที่ 7 ก็จะข่าวบอกก่อน และเหตุการณ์จะจริงหรือไม่จริง นายกฯ ต้องออกมาจัดการว่าจะกำกับประเทศนี้ไม่ให้เกิดความรุนแรงอีกโดยใช้ กฎหมาย อย่างน้อยต้องต้องพิศูจน์ความจริงใจ ต้องจัดการคดี ต่างๆ ท่านเป็นนายกฯในการบริหารประเทศจะต้องทำ เพราะนี่เป็นหลักสากลรัฐบาลต้องดูแลเรื่องความปลอดภัย ยกตัวอย่างเหตุการณ์ถล่มตึกเวอร์เทรด ประธานาธิบดีจอร์จ บุช กล่าวว่าจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้อีก แม้จะไม่เห็นด้วยที่ไปยิงถล่มอิหร่าน แต่อย่างน้อยก็เป็นการสร้างความความมั่นใจกับประชาชนในเรื่องความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สิน ดังนั้นรัฐบาลจะต้องให้ความสำคัญในเรื่องนี้
นายพิภพกล่าวถึงจุดเสียของรัฐบาลว่า ไม่ดูปัญหาเป็นตัวตั้ง อย่างกรณีรถไฟ ท่าทีที่ออกมาทำให้ถูมองได้ว่าจะขายรัฐวิสาหกิจ ตรงนี้ต้องทำให้กระจ่าง ไม่ใช่อยู่ดีๆเอาเข้า ครม.โดยไม่ถามรัฐวิสาหกิจ แล้วจะมาแก้ตัวว่าไม่ใช่การ แปลรูปรัฐวิสาหกิจไม่ได้ และอีกอย่างประชาธิปัตย์ผิดพลาดกับการทำงานกับคนจน เช่นกรณีภาคอีสานที่จัดได้ว่าจนที่สุด ตรงนี้ต้องใส่ใจมากที่สุด อย่าแบ่งแยก และฐานการเป็นนายกฯ เป็นในลักษณะฐานการเมืองเก่า ตรงนี้ถ้าไม่เกิดการเมืองใหม่ จะไม่มีทางที่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง นายกฯจะไม่มีอำนาจที่แท้จริง ยกตัวอย่าง บารัก โอบามา กล้าที่จะตัดสินใจในสิ่งที่ถูกไม่สนใจว่าพรรคการเมืองจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยเพราะเขามีฐานที่มาจากประชาชน ฉะนั้นพรรคการเมืองใหม่ต้องมาจากฐานประชาชน ให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมมากที่สุด
นายพิภพ กล่าวว่า พรรคการเมืองใหม่เป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งต้องรับยุทธศาสตร์และยุทธวิธีไปปฏิบัติด้วย ถ้าไม่ทำเราก็จะมีการตรวจสอบ และพรรคการเมืองกับภาคประชาชนมันแยกออกจากกันไม่ได้ เพราะบางครั้งต้องอาศัยภาคประชาชนช่วยกดดันกลุ่มนักธุรกิจหรือข้าราชการที่เสียผลประโยชน์ เพื่องานเดินหน้าได้ ดังนั้นการที่การเมืองเก่ากำลังพยายามแยกภาคประชาชนออก จะทำให้พลังของพรรคการเมืองน้อย ซึ่งจะเข้าไปทำเรื่องดีๆไม่ได้