“โฆษกส่วนตัวมาร์ค” จวกสมุนหางแดงจุดพลุชุมนุมเจตนาหวังอะไรแน่ ชี้ ประเด็นทวงคืนประชาธิปไตยทวงคืนวันชาติไม่สมควร ยันคนไทยรู้ดีวันที่ 5 คือ วันชาติ และวันพระราชสมภพในหลวง แนะเปลี่ยน 24 มิ.ย.เป็นวันประชาธิปไตยดีกว่า เชื่อประชาชนเห็นดี บี้ให้ยุติชุมนุมกลับไปทำมาหากินดีกว่า ชี้ บรรยากาศการประชุมสภาเป็นไปด้วยดี แต่ยังเหน็บฝ่ายค้านมือใหม่หัดขัย
วันนี้ (16 มิ.ย.) ที่รัฐสภา นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ประกาศเดินหน้าชุมนุมใหญ่ในวันที่ 27 มิ.ย.นี้ ว่า ยังไม่ทราบเจตนาที่แท้จริงว่า การเคลื่อนไหวของกลุ่มนี้หวังอะไร เพราะดูจากประเด็นที่เรียกร้อง คือ การทวงคืนประชาธิปไตยตามหาวันชาตินั้น ก็ไม่น่าจะมีน้ำหนักเพียงพอ ที่จะใช้ในการรุกคืบเคลื่อนไหวระดมคนให้ร่วมชุมนุมมากกว่าเหตุจลาจลสงกรานต์เลือดที่กลุ่ม นปช.จุดขึ้น โดยเฉพาะประเด็นการตามหาวันชาติไทย เป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่ยอมรับไม่ได้ เพราะประเทศไทยได้ยึดถือวันที่ 5 ธ.ค.เป็นวันชาติมาเนิ่นนานแล้ว และวันดังกล่าวยังเป็นวันสำคัญของคนไทยทั้งชาติ คือ วันคล้ายวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งในระดับนานาประเทศเองที่มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีสถาบันกษัตริย์เป็นประมุข ก็ยึดถือวันพระราชสมภพของประมุขของรัฐนั้นๆ ให้เป็นวันชาติของประเทศเหล่านั้นทั้งสิ้น ตามธรรมเนียมปฏิบัติในระดับสากลจึงไม่เข้าใจว่า เหตุใดกลุ่มคนเหล่าจึงเรียกร้องให้เปลี่ยนวันชาติไทยจาก 5 ธ.ค.เป็นวันที่ 24 มิ.ย.อยากถามว่าการเคลื่อนไหวในลักษณะเช่นนี้ กลุ่ม นปช.มีวาระซ่อนเร้นอะไรหรือไม่ อย่างไร
นายเทพไท กล่าวต่อว่า ถ้าหากกลุ่ม นปช.มีความศรัทธาในการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองวันที่ 24 มิ.ย.ว่าเป็นวันที่เปลี่ยนแปลงการปกครองที่ยิ่งใหญ่นั้น ก็ควรจะเรียกร้องให้วันดังกล่าวให้เป็นวันประชาธิปไตยของไทย จึงจะเหมาะสมที่สุดเพราะเป็นวันที่เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย และเชื่อว่า คนไทยทุกคนก็เห็นความสำคัญของวันดังกล่าว ไม่เฉพาะคนเสื้อแดงเท่านั้น แต่การจะเคลื่อนไหวให้เป็นวันชาติ ไม่เหมาะสมสอดคล้องกับข้อเท็จจริง เชื่อว่า คนไทยทั้งประเทศจะไม่ยอมให้มีการเปลี่ยนแปลงเพราะยอมรับไม่ได้ จึงขอเรียกร้องให้กลุ่ม นปช.ยุติความเคลื่อนไหว เพราะเมื่อล้มเหลวจากการก่อเหตุจลาจลป่วนเมืองจนเสียหายมาแล้วก็ควรจะสำนึก และแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมโดยทบทวนบทบาทและยุติการเคลื่อนไหวทางการเมือง กลับไปพักผ่อนตั้งหน้าทำมาหากิน แต่ถ้าคิดว่าการจัดม็อบชุมนุมเพื่อเคลื่อนไหวทางการเมืองถือว่าเป็นการทำมาหากินอย่างหนึ่ง ก็ควรทำแต่พอดีอยู่ในขอบเขตของกฎหมาย เพราะต้องยอมรับว่าแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงวันนี้ขาดความเป็นเอกภาพ มีการขัดแย้งทางด้านความคิดทั้งสายเหยี่ยวและสายพิราบ ไม่มีอุดมการณ์และพลังเพียงพอที่จะขับเคลื่อนคนเสื้อแดงเช่นในอดีตได้
นายเทพไท กล่าวถึงกรณีที่สภาได้ผ่าน พ.ร.ก.กู้เงิน 4 แสนล้านบาทไปเมื่อวานนี้ (15 มิ.ย.) ว่า บรรยากาศการประชุมเป็นไปด้วยดี ต้องขอขอบคุณทุกฝ่ายที่มีส่วนร่วมจึงทำให้ภาพที่ออกมาสู่สายตาประชาชนที่รับฟังการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ นับตั้งแต่ประธานที่ประชุม ได้ทำหน้าที่ควบคุมการประชุมให้เป็นไปตามข้อบังคับ รวมถึงสมาชิกพรรคฝ่ายค้านและรัฐบาลที่ต่างก็เคารพในการทำหน้าที่ซึ่งกันและกัน นับว่า เป็นนิมิตหมายที่ดีในการร่วมกันทำงานในสภาฯ และอยากให้บรรยากาศเช่นนี้ดำรงคงอยู่และเกิดขึ้นในสภาฯทุกครั้งที่มีการประชุม เพื่อลบภาพลักษณ์ที่ประชาชนมองนักการเมืองในภาพลบให้ค่อยๆ ดีขึ้น
นายเทพไท กล่าวต่อว่า สำหรับเนื้อหาของการอภิปรายก็ต้องยอมรับว่า พรรคฝ่ายค้านเป็นมือใหม่หัดขับจริงๆ เพราะผู้อภิปรายส่วนใหญ่ล้วนแล้วเป็นคนหน้าใหม่ แต่ก็ถือว่ามีความพยายามที่จะทำหน้าที่เต็มความสามารถ คงเหลือเพียงคนหน้าเก่าเพียงไม่กี่คนที่ยังคงยึดรูปแบบการอภิปรายเช่นเดิมคือ เน้นการเสียดสี เหน็บแนม ถากถางรัฐบาลบ้างเป็นบางครั้ง ซึ่ง ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลเองก็ไม่ติดใจเพราะคิดว่าเป็นการขอกันกินมากกว่านี้ ซึ่งการต้องการรักษาบรรยากาศการประชุมให้เรียบร้อย เช่น กรณี นายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วน และ นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ส่วนการอภิปรายของนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ก็ต้องชมเชยว่า อภิปรายได้ดีมีความสุภาพเรียบร้อยพร้อมมีข้อเสนอแนะให้รัฐบาล ซึ่งนายกรัฐมนตรีเองก็ประกาศที่จะนำข้อสังเกตดังกล่าวมาพิจารณาใช้ในการทำงานของรัฐบาลต่อไป