"ประวิตร" ชี้รัฐอัดงบ 5.4 หมื่นล้าน พัฒนา 5 จังหวัดชายแดนใต้ เป็นการแก้ปัญหารูปธรรม เผย"มาร์ค" สั่งจับตัวคนร้ายยิงมัสยิดมาลงโทษด่วน ส่วนคดีลอบยิงพระสงฆ์ แค่สร้างสถานการณ์ ไม่น่าปลายบานถึงขั้นเป็นชนวนเกิดสงครามศาสนา ขณะที่การประชุมเหล่าทัพ ถกปัญหาไฟใต้ ระบุกระแสข่าวนำถังแก๊ซก่อวินาศกรรมเป็นแค่ข่าว แต่ต้องตรวจสอบอีกที
วันนี้ (12 มิ.ย.) ที่กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่ประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีพัฒนาพื้นที่พิเศษ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ครม.ภาคใต้) อนุมัติเงินจำนวน 5.4 หมื่นล้านบาท เพื่อพัฒนา 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่า เป็นแนวคิดของรัฐบาลที่จะพัฒนา 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยให้งบประมาณ 5.4 หมื่นล้านบาท เป็นเวลา 3 ปี ซึ่งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กำลังพยายามทำให้เกิดรูปธรรมในการพัฒนาพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วนแนวคิดของนายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่เสนอกฎหมายให้อำนาจ ศอ.บต.ในการแก้ปัญหาภาคใต้นั้น เป็นเรื่องของรัฐบาล แต่กฎหมายที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นเรื่องการพัฒนาเป็นหลัก ไม่เกี่ยวกับงานด้านทหาร
สำหรับกรณีที่กลุ่มมุสลิมโลกจี้ให้รัฐบาลไทยหาตัวผู้กระทำผิดที่ยิงมัสยิดมาลงโทษนั้น พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เรื่องนี้นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการในที่ประชุม ครม.ใต้ ว่าจะต้องหาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษให้ได้ ซึ่งเรื่องนี้เจ้าหน้าที่ต้องดำเนินการตามที่นายกรัฐมตรีสั่ง ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้ปล่อยปละละเลย โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่สะเทือนขวัญประชาชนในพื้นที่ แต่จะไปกำหนดกรอบเวลาไม่ได้ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่คงต้องเร่งรัดดูแลเรื่องนี้เป็นพิเศษ เพราะเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ประชาชนรู้สึกหวาดกลัว
ส่วนกรณีที่คนร้ายลอบยิงพระภิกษุสงฆ์ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เป็นการสร้างเหตุการณ์ เพราะเป็นการกระทำที่เห็นชัดเจน โดยขณะนี้กำลังพยายามดูแลทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นพระสงฆ์ ครู หรือประชาชนผู้บริสุทธิ์ แต่ทหารที่ปฏิบัติงานอยู่ในพื้นที่ภาคใต้ ไม่สามารถจะกระจายกำลังไปอยู่ทั่วทุกพื้นที่ได้ เพราะเป็นเรื่องลำบาก แต่ก็พร้อมจะทำ ซึ่งสิ่งจำเป็นที่สุด คือ ประชาชนต้องเข้าใจและช่วยดูแลตัวเองด้วย รวมถึงหากมีอะไรผิดปกติก็ต้องแจ้งเบาะแสให้เจ้าหน้าที่ไปจัดการกับผู้กระทำความผิด ทั้งนี้ ทางกองทัพจะไม่เจาะจงดูแลพื้นที่ใดเป็นพิเศษ แต่จะเข้าปฏิบัติในทุกพื้นที่เพื่อป้องกันเหตุการณ์ร้าย โดยประชาชนต้องเข้าใจว่าเจ้าหน้าที่รัฐมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ ทหารไม่ได้ต้องการไปรบกับใคร แต่เข้าไปป้องกันคนดีและทำให้เกิดความสงบในพื้นที่ ซึ่งเชื่อว่าคงไม่บานปลายถึงขั้นเป็นสงครามศาสนา เนื่องจากประชาชนในพื้นที่มีความเข้าใจ
“พรุ่งนี้จะลงพื้นที่ร่วมกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ส่วนการเพิ่มจำนวนอาสาสมัครเข้าไปช่วยสนับสนุนดูแลในพื้นที่ ก็น่าจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น ซึ่งเรื่องนี้นายกรัฐมนตรี ไม่ได้ขัดข้องอะไร ตามที่กระทรวงมหาดไทยได้เสนอไป แต่จนถึงขณะนี้ยังมีความไม่จำเป็นต้องเพิ่มกำลังทหารพราน โดยสิ่งสำคัญ คือ เจ้าหน้าที่ต้องเข้าไปทำความเข้าใจกับประชาชน ทั้งนี้ จากการข่าวที่ทราบมาว่า มีขบวนการก่อเหตุในพื้นที่ไม่มากกว่าเดิม แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะคนร้ายพยายามสร้างสถานการณ์ให้มองว่า เจ้าหน้าที่รัฐไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ในพื้นที่ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เรากังวลอยู่” พล.อ.ประวิตร กล่าว
อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา ที่กองบัญชาการกองทัพอากาศ พล.อ. ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธานการประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพครั้งที่ 3/2552 โดยมี พล.ร.อ. กำธร พุ่มหิรัญ ผู้บัญชาการทหารเรือ พล.อ.อ. อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ พล.ต.อ. พัชรวาท วงศ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เข้าร่วมประชุม ขาดแต่เพียง พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ที่ติดภารกิจเดินทางกับคณะของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ซึ่งไปเยือนประเทศกัมพูชา แต่ก็ได้ส่ง พล.อ. จิรเดช คชรัตน์ รองผู้บัญชาการทหารบก มาเป็นผู้แทน
ทั้งนี้ พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวหลังการประชุม ผบ.เหล่าทัพว่า สถานการณ์ภาคใต้เกิดขึ้นมานานแล้ว รัฐบาลมียุทธศาสตร์จัดการมาจนถึงปัจจุบัน โดยที่ผ่านมาเกิดเหตุการณ์น้อยลง แต่เมื่อถึงช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญๆ หรือมีงานที่เกี่ยวข้องการประชุมระดับโลกและระดับชาติ มักจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้เสมอ เพื่อสร้างความสนใจในเชิงข่าวสาร และสร้างสถานการณ์ให้เกิดความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง
“กองทัพบกในฐานะอยู่ใน กอ.รมน. มีการบูรณาการพัฒนาแผนงานการดำเนินการ เพื่อสกัดกั้นไม่ให้เกิดเหตุร้ายในพื้นที่ ซึ่งก็ประสบความสำเร็จในการทำงานช่วงที่ผ่านมา แต่ในเวลานี้มีการยิงกัน และทำร้าย ทั้งการยิงครูและประชาชนผู้บริสุทธิ์ ซึ่งแสดงอาการให้เห็นถึงความรุนแรง เช่น การสังหารหมู่ในมัสยิด ซึ่งทำให้เจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องต้องระดมสติปัญญาและกำลังขีดความสามารถ ในการใช้ความรู้คลี่คลายเหตุที่เกิดขึ้น แต่ในขณะเดียวกันโครงการยุทธศาสตร์ และแนวทางการดำเนินการไม่สามารถวัดกันในวันนี้หรือในสองวัน แต่ต้องให้การดำเนินการเป็นห้วงเวลา เพื่อเปรียบเทียบกับช่วงที่ผ่านมา หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตจะเห็นว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร แต่ปัญหาของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ใช่ปัญหาของทหาร ตำรวจ หรือพลเรือนพื้นที่ แต่เป็นปัญหาของประชาชนทุกคน ดังนั้น เราจึงอยากได้กำลังใจและความร่วมมือจากทุกฝ่ายเพื่อให้ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้กลับมาสงบสุขเหมือนจังหวัดอื่นๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปได้” พล.อ.ทรงกิตติ กล่าว
พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวต่อว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ได้ทำให้เจ้าหน้าที่เสียขวัญ แต่ต้องการกำลังใจมากขึ้น และพลังแรงศรัทธาจากการที่เขาลงไปปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ด้วยความเสียสละ ซึ่งตนอยากให้ความเชื่อมั่นว่า กองทัพและข้าราชการต่างๆ เดินหน้าต่อไป
ขณะที่เหตุการณ์ในพื้นที่มีสิ่งใดเป็นปัจจัยให้เกิดปัญหา พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวว่า มันคลุกเคล้ากันไปหมด และเป็นมานานแล้วทุกคนก็ทราบดี ส่วนที่มีกระแสข่าวว่า จะมีการนำถังแก๊สมาก่อวินาศกรรมนั้น ข่าวคือข่าว แต่ต้องทำการตรวจสอบให้แน่ชัด ทั้งนี้ กองทัพให้การสนับสนุนงาน กอ.รมน. ตามแนวทางของรัฐบาล และขอยืนยันว่าทั้งกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ มีความร่วมมือต่อกันดี เพราะปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ถือเป็นประเด็นความมั่นคงระดับประเทศ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ทุกคนและทุกฝ่ายก็มีความหนักแน่น มีสติในการแก้ปัญหาบนพื้นฐานความต้องการของประชาชน