อมรรัตน์ ล้อถิรธร....รายงาน
การลงพื้นที่หาเสียงของบรรดา รมต.“พรรคภูมิใจไทย” รวมทั้งผู้ทรงอิทธิพลที่ทำตัวเหมือน หน.พรรคตัวจริงอย่าง “เนวิน ชิดชอบ” แกนนำกลุ่มเพื่อนเนวิน ผู้ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปีจากกรณียุบพรรค นอกจากจะเป็นประเด็นที่ถูกวิจารณ์ ว่า น่าจะเข้าข่ายขัดคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีโทษถึงขั้นยุบพรรคภูมิใจไทยแล้ว ยังมีประเด็นเรื่องหัวหน้าพรรคอย่าง “ชวรัตน์ ชาญวีรกูล” ส่อซื้อเสียงระหว่างลงพื้นที่หาเสียงที่ จ.สกลนคร ด้วย ซึ่งโทษถึงขั้นยุบพรรคเช่นกัน นอกจาก “กกต.” ต้องวินิจฉัยเรื่องนี้ให้ชัดแล้ว ยังมีกรณี “เนวิน-ปชป.” ที่เข้าพบและสวมกอดก่อนร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลกับกลุ่มเพื่อนเนวินก่อนหน้านี้ด้วย ที่อนุฯ กกต.ยังยื้อเวลาสอบ ไม่ยอมสรุป ต้องติดตามว่า ทั้ง 2 กรณีนี้จะจบอย่างไร
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายงานพิเศษ
การหาเสียงของพรรคภูมิใจไทย ทั้งใน กทม.และต่างจังหวัด กำลังเป็นที่จับตาและถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่า ส่อขัดต่อกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่ ลำพังการหาเสียงใน กทม.ที่พรรคภูมิใจไทยเตรียมขึ้นป้ายคัตเอ๊าท์ประชาสัมพันธ์ ว่า ตนเป็นผู้ผลักดันโครงการเช่ารถเมล์ 4 พันคัน คงไม่ได้ส่อผิดกฎหมายเลือกตั้งแต่อย่างใด เพียงแต่อาจขัดใจพรรคประชาธิปัตย์ ที่รับไม่ได้กับการถูกแย่งฐานเสียงใน กทม.โดยพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันอย่างพรรคภูมิใจไทย ที่แกนนำพรรคคุยนักคุยหนาว่าตนกำลังเนื้อหอม มี ส.ส.ต่างพรรคเตรียมย้ายมาซบจำนวนมาก ขณะที่ นายเนวิน ชิดชอบ แกนนำกลุ่มเพื่อนเนวิน ซึ่งเป็นอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปีจากกรณียุบพรรค ยังคุยว่า โครงการเช่ารถเมล์จะทำให้พรรคภูมิใจไทยได้คะแนนเสียงใน กทม.มากขึ้น
ส่วนการลงพื้นที่หาเสียงในต่างจังหวัดของพรรคภูมิใจไทย ซึ่งประเดิมที่ จ.สกลนคร เมื่อวันที่ 5-7 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยคนต้นคิดและผลักดัน รวมทั้งกำกับการแสดงเอง ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจาก นายเนวิน ที่ต้องการให้รัฐมนตรีของพรรคทุกคนได้ใจชาวบ้าน ด้วยการทำตัวติดดิน ไม่ว่าจะเป็นการลงไปนอนพักกับชาวบ้านในพื้นที่, การไถนา หรือการดำนา เป็นต้น
การหาเสียงใน จ.สกลนคร ดังกล่าวคงไม่เป็นปัญหา ถ้าไม่เผอิญใกล้จะมีการเลือกตั้งซ่อมในเขต 3 ของสกลนครในเร็วๆ นี้ แม้แกนนำพรรคภูมิใจไทย จะอ้างว่า การจัดสัมมนาหาเสียงของพรรคจัดนอกเขตเลือกตั้งซ่อม แต่การมีพื้นที่ใกล้กัน แถม นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีมหาดไทย และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ยังมีการแจกเงินช่วยเหลือชาวบ้านบางส่วนนั้น อาจส่งผลต่อคะแนนเสียงเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งซ่อมได้ การหาเสียงของพรรคภูมิใจไทย จึงไม่เพียงส่อว่า ทำผิดกฎหมายเลือกตั้งในลักษณะจูงใจหรือส่อว่าซื้อเสียงหรือไม่เท่านั้น แต่ยังมีประเด็นที่ นายเนวิน ซึ่งถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง ลงมากำกับการหาเสียง ช่วยหาเสียงให้พรรคเสมือนตนเองเป็นหัวหน้าพรรคหรือกรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทยด้วย จะส่งผลให้พรรคภูมิใจไทยต้องถูกยุบพรรคหรือไม่?
ซึ่งพรรคเพื่อไทยฝ่ายค้าน ได้ยื่นเรื่องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)สอบเรื่องนี้เพื่อเอาผิดพรรคนายเนวินและพรรคภูมิใจไทยแล้วเมื่อวานนี้ (8 มิ.ย.)
นอกจากปฏิกิริยาจากพรรคเพื่อไทยแล้ว ลองไปดูกันว่า นักวิชาการและหลายภาคส่วนในสังคมมองการหาเสียงของพรรคภูมิใจไทยที่มีนายเนวินคอยกำกับ ว่า น่าจะเข้าข่ายผิดกฎหมายเลือกตั้ง จนต้องนำไปสู่การยุบพรรคภูมิใจไทยหรือไม่
นายเสรี สุวรรณภานนท์ อดีต ส.ว.กทม.และอดีตรองประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ 2550 ชี้ว่า พฤติกรรมของนายเนวินที่ลงพื้นที่หาเสียงกับพรรคภูมิใจไทย ทั้งที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี มีลักษณะไม่ต่างจากกรณีที่ นายเนวิน ถูกร้องให้ กกต.สอบว่ามีบทบาทในการร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับ นายอภิสิทธิ์ ซึ่งจนถึงขณะนี้ อนุ กกต.ก็ยังไม่ยอมสรุปว่า เข้าข่ายผิดกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่ ดังนั้น กกต.ต้องวินิจฉัยเรื่องนี้ให้ชัดเจน
“ขัดหรือไม่ขัดเนี่ย การที่ดู กม.อย่างเดียวอาจจะวินิจฉัยลำบาก แต่สำคัญคือจะต้องดูข้อเท็จจริงด้วยว่ากฎหมายที่บัญญัติไว้เนี่ย ได้บัญญัติห้ามอะไรไว้ ให้ทำได้ทำไม่ได้ เกี่ยวกับเรื่องของกรรมการบริหารพรรคเนี่ย ถ้าเกิดเป็น กก.บห.พรรคที่ถูกยุบ ก็จะถูกเพิกถอนสิทธิ์การเลือกตั้ง 5 ปี จะไปตั้งพรรคใหม่ก็ไม่ได้ จะไปเป็น กก.บห.พรรคอื่นก็ไม่ได้ ดังนั้นในกรณีดังกล่าว ก็ต้องดูข้อเท็จจริงว่า บุคคลที่ถูกตัดสิทธิ์ดังกล่าวได้ไปทำอะไรที่แสดงออกให้เห็นถึงการเป็น กก.บห.พรรคอยู่หรือไม่ ถ้าดูตามหลักกฎหมายทั่วๆ ไปแล้ว กกต.เองก็เคยวินิจฉัยกรณีเช่นนี้ว่า การกระทำของอดีตนายกฯ ท่าน สมัคร สุนทรเวช ที่ท่านเคยประกาศว่าเป็นนายกฯ นอมินี ก็ยังบอกว่า ไม่มีกฎหมายบัญญัติในลักษณะเช่นนี้ให้ลงโทษไว้ เพราะฉะนั้นกรณีของคุณเนวินก็เช่นเดียวกัน คงต้องดูข้อเท็จจริงว่าคุณเนวินได้ไปทำหน้าที่เป็นหัวหน้าพรรค กก.บห.พรรค หรือไปตั้งใครไปแทนหรือเปล่า ถ้าหากยังพิสูจน์ตรงนี้ไม่ได้ บางทีมันก็เลยหมิ่นเหม่ไป เพราะฉะนั้นสิ่งที่ดีที่สุดก็คือ กกต.เองจะต้องเร่งดำเนินการตรวจสอบ และวินิจฉัยชี้ขาดออกมาว่า การกระทำดังกล่าวนี้เป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายหรือไม่”
“(ถาม-มองว่า กรณีนี้เหมือนหรือต่างกับตอนที่คุณอภิสิทธิ์เข้าพบคุณเนวิน ก่อนจัดตั้งรัฐบาลมั้ย?) มันก็ลักษณะเดียวกันว่า ตอนที่ตั้งรัฐบาลก็พยายามที่จะหาพวกบรรดาแกนนำทั้งหลาย ให้มารวมตัวกัน เพราะแกนนำเหล่านี้จะมีจำนวน ส.ส.อยู่ในมือ ซึ่งคราวที่แล้ว ก็แสดงออกให้เห็นว่า ใครจะจัดตั้งรัฐบาลได้ คนที่ถูกตัดสิทธิการเลือกตั้ง ไม่ใช่เฉพาะคุณเนวินนะ หลายคนก็แสดงออกลักษณะเช่นนี้ แต่กรณีที่พูดถึงนี้มีคนไปร้องที่ กกต.แล้ว และบอกว่าคนที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง แล้วไปจัดตั้งรัฐบาลเนี่ย ถือว่าขัด รธน.และขอให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ด้วยซ้ำไป ตอนนี้อนุกรรมการของ กกต.กำลังพิจารณาในเรื่องนี้ และขอขยายระยะเวลามา 2 ครั้งแล้ว ขยายเวลาการไต่สวนเรื่อง”
ขณะที่นายไพศาล พืชมงคล นักวิชาการอิสระ และอดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ชี้ว่า การกระทำของนายเนวินถือว่าขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ตัดสินยุบพรรค และตัดสิทธิ์ทางการเมืองกรรมการบริหารพรรคเป็นเวลา 5 ปี ดังนั้นเมื่อหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยยอมให้นายเนวินเข้ามาแทรกแซงการหาเสียงของพรรค พรรคภูมิใจไทยจึงมีความผิด ต้องถูกยุบพรรค พร้อมตัดสิทธิทางการเมืองหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค 5 ปี
“อย่างนี้มันขัดกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ผิดกฎหมายพรรคการเมือง แต่ กก.บห.พรรคผิดนะ หัวหน้าพรรคผิด เพราะยอมให้คนที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเข้ามาทำหน้าที่แทรกแซงเหมือนเป็นหัวหน้าพรรคหรือ กก.บห.พรรค อันนี้ต้องยุบพรรคนะ ซึ่ง พล.ร.อ.บรรณวิทย์ (เก่งเรียน) กับ คุณไชยวัฒน์ (สินสุวงศ์) เขาจะไปยื่นแจ้งความ กกต.ที่เพิกเฉยไม่ทำอะไรเลย ...ขณะนี้กำลังจะมีการเลือกตั้งที่สกลนคร การลงไปเคลื่อนไหวคราวนี้ มันอาจจะเกี่ยวเนื่องหรือให้มีผลต่อการเลือกตั้งหรือเปล่า การที่ระดม รมต.ก็ดี ระดม ส.ส.ไปก็ดีมันเป็นการสร้างกระแสจุดพลุเกี่ยวกับการเลือกตั้งหรือไม่ รมต.มหาดไทยในฐานะหัวหน้าพรรคท่านบอกว่า ท่านไม่รู้เลยว่า จ.สกลนคร จะมีการเลือกตั้ง ซึ่งถ้าท่านไม่รู้จริงๆ และเป็นความจริง ก็อาจจะเป็นไปได้ว่ามีการไปจัดรายการโชว์กันโดยไม่รู้ว่าจะมีการเลือกตั้ง ไม่ประสงค์ที่จะให้มีผลต่อการเลือกตั้ง แต่ถ้ารู้ว่ามีการเลือกตั้ง แล้วไปจัดอย่างนั้น มันก็จะทำให้การเลือกตั้งไม่เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมได้หรือไม่ กกต.ต้องวินิจฉัย ทีนี้ท่าน รัฐมนตรีมหาดไทยท่านบอกว่า ท่านไม่ทราบว่ามีการเลือกตั้ง เชื่อได้หรือไม่ ฟังได้หรือไม่ ท่านสาธุชนทั้งหลายก็ต้องคิดกันเอาเอง ฟังกันเอาเองว่า คำพูดอย่างนี้เชื่อได้หรือเปล่า ...ทำไมจังหวัดอื่นตั้ง 70 กว่าจังหวัดไม่ไป ไปที่นั่นในเวลาอย่างนั้น ก็เป็นไปได้นะ”
นายไพศาล ยังประเมินด้วยว่า ขณะนี้พรรคภูมิใจไทยกำลังโตวันโตคืน และน่าจะเป็นพรรคที่ทรงอานุภาพที่สุดในปัจจุบัน ดังนั้น จึงเป็นพรรคคู่แข่งที่น่ากลัวสำหรับพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ในการเลือกตั้งครั้งหน้า แต่เมื่อมีพรรคตัวแปรอย่าง “พรรคการเมืองใหม่”ของกลุ่มพันธมิตรฯ อุบัติขึ้นมา ก็อาจทำให้เกิดภาวะแลนด์สไลด์ขึ้นได้
“ต้องไม่ลืมว่าเมื่อครั้งที่พรรคไทยรักไทยยังอยู่ คุณเนวิน เป็นขุนพลใหญ่ของพรรคไทยรักไทย ที่เป็นแม่ทัพใหญ่ที่ดูแลพื้นที่อีสานและภาคเหนือบางส่วนด้วย เพราะฉะนั้นอำนาจบารมีที่เคยมีมาแต่ก่อนก็ดี เครือข่ายก็ดี และความรู้จักมักคุ้นผู้คนก็ดี ตลอดจนวิธีการที่พรรคไทยรักไทยเคยใช้อย่างไรเนี่ย วิทยาการอันนั้นแหละมันอยู่ในตัวคุณเนวินด้วย และเมื่อมาสนับสนุนพรรคภูมิใจไทยอย่างนี้ วิทยาการเหล่านั้นต้องมีการนำมาใช้แน่นอน และอาจจะมีการปรับปรุงให้มีความก้าวหน้าให้มีประสิทธิผล และมีพลานุภาพมากขึ้นก็ได้ เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกใจที่ลีลากระบวนท่าของพรรคภูมิใจไทยที่เคลื่อนไหวในวันนี้มันก็ไม่ต่างอะไรกับที่พรรคไทยรักไทยเคยทำมาในอดีต ก็แบบเดียวกัน เพราะเป็นพันธุ์ไม้พันธุ์เดียวกัน ทีนี้ปัญหาว่าจะเป็นคู่แข่งคนที่สำคัญของพรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ วันนี้มันก็เป็นคู่แข่งอยู่แล้ว สำหรับพรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทยมันอยู่คนละฟากอยู่แล้ว ฝ่ายค้านกับรัฐบาล ทีนี้เนื่องจากฐานพื้นที่ที่เขาจะเคลื่อนไหว คือ อีสานกับเหนือ เป็นเป้าหมายยุทธศาสตร์ ซึ่งเดิมทีมันเป็นยุทธศาสตร์หลักของพรรคความหวังใหม่ แล้วตกทอดมาถึงพรรคไทยรักไทย วันนี้ยุทธศาสตร์นั้นพรรคภูมิใจไทยก็เอามาใช้ด้วย เพราะฉะนั้นจึงเป็นพรรคที่ต้องแข่งขันกันดุเดือด ในพื้นที่ยุทธศาสตร์ทางอีสานและภาคเหนือ”
“ส่วนพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคภูมิใจไทยนั้นร่วมอยู่ในรัฐบาล แต่ในทางการเมืองเมื่อมีการเลือกตั้งเมื่อใดก็ต้องแข่งขันกันเหมือนกัน และเนื่องจากพรรค ภท.กำลังเติบใหญ่ในทางการเมืองอย่างยิ่งกว่าหมีแพนด้าอีก คือ โตทุกวัน เนื่องจากด้านหนึ่งพรรคภูมิใจไทยคุมกลไกทางเศรษฐกิจของประเทศเกือบหมด ไม่ว่าจะกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงคมนาคม ซึ่งมีผลประโยชน์เยอะแยะ นอกจากนั้นก็ยังคุมด้านการปกครอง ทางมหาดไทย ผู้ว่าฯ ก็คุมหมด แล้วยังคุมทหารอีก เพราะฉะนั้นจึงเป็นพรรคที่ทรงอานุภาพที่สุดในปัจจุบันนี้ ในรัฐบาลนี้ เขามีเสียงน้อยกว่าพรรคประชาธิปัตย์ แต่อำนาจจริงๆ ไม่ได้ด้อยกว่า แต่อาจจะมากกว่าด้วยซ้ำไป เพราะฉะนั้นวันนี้ก็แข่งกันอยู่ในที ระฆังเป๊งขึ้นเมื่อใด มันก็จะเป็นศึก 3 เส้า”
“แต่การกำเนิดขึ้นของพรรคการเมืองใหม่เนี่ย มันก็จะเป็นตัวแปร ไม่ว่าพรรคเพื่อไทย หรือพรรคประชาธิปัตย์ หรือพรรคภูมิใจไทย วันนี้สังคมก็คิดว่าเป็นพรรคในระบบการเมืองเก่า เพราะฉะนั้นเมื่อการเมืองใหม่อุบัติขึ้นมาแล้ว มันก็จะเป็นฟุตบอล เขาเรียกว่า พับสนามกันเล่น คือพรรคการเมืองเก่าทั้งหมดก็ไปอยู่ในซีกสนามหนึ่ง การเมืองใหม่ก็อยู่ในซีกสนามหนึ่ง พี่น้องประชาชนใครจะเอาการเมืองเก่าก็ไปเลือกกันในพรรคการเมืองเก่า ถ้าใครจะเอาการเมืองใหม่ก็มาเลือกพรรคการเมืองใหม่ ก็แข่งกันอย่างนี้ เพราะฉะนั้นรูปแบบการแข่งขันก็จะเปลี่ยนแปลงจากที่เคยเป็นมาในอดีต เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งไปดูแคลนพรรคการเมืองใหม่ว่าเป็นพรรคใหม่ไร้ประสบการณ์ เพราะทิศทางการเมือง และสถานการณ์เนี่ย มันกำลังบ่งชี้หรือกำลังกำหนดว่า การต่อสู้ทางการเมืองในการเลือกตั้งครั้งหน้าจะเป็นการพับสนามเล่นกัน นั่นหมายความว่า ถ้าประชาชนส่วนใหญ่เทให้การเมืองใหม่ ดีไม่ดีแลนด์สไลด์ ก็หมายความว่าชนะกันท่วมท้นไปเลยก็ได้ หรือถ้าหากว่ายังก้ำกึ่งอยู่ ซีกหนึ่งก็อยู่ที่พรรคการเมืองใหม่ อีกซีกหนึ่งก็พรรคการเมืองเก่า ก็แข่งกันแย่งกันแบ่งคะแนนกันไป ซึ่งก็จะเกิดการแปรผันกันในทางการเมือง จากที่เคยเป็นมาในอดีตมากทีเดียว”
ด้าน ผศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พูดถึงกรณีที่นายเนวิน ลงพื้นที่กำกับการหาเสียงของรัฐมนตรีพรรคภูมิใจไทยว่า การจะชี้ว่าผิดกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่ คงต้องให้ กกต.หรือศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้วินิจฉัย แต่ส่วนตัวแล้วมองว่า ไม่เหมาะสมแน่นอน เพราะถ้าเป็นนักการเมืองที่มีคุณธรรม จริยธรรม เมื่อถูกตัดสิทธิทางการเมืองแล้ว ก็ไม่ควรเข้าไปเกี่ยวข้องกับนักการเมือง
ส่วนกรณีที่แกนนำพรรคภูมิใจไทย คุยโวว่า การลงพื้นที่หาเสียงที่สกลนคร น่าจะได้ใจชาวบ้านมากกว่ากรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ลงพื้นที่หาเสียงที่ อ.อาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ดนั้น ผศ.สุรัตน์ วิเคราะห์ว่า นายเนวิน พยายามนำยุทธศาสตร์ต่างๆ ที่เรียนรู้จาก พ.ต.ท.ทักษิณ มาใช้ โดยคิดว่าตัวเองก็น่าจะเป็น พ.ต.ท.ทักษิณได้ หรืออาจจะเป็นมากกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ได้
“ผมคิดว่าเขาต้องมีความทะเยอทะยานอะไรบางอย่าง ผมรู้สึกจะสัมผัสได้ตั้งแต่ต้นๆ แล้วหลายครั้งว่า มันมีอะไรบางอย่างที่เขาเรียนรู้จากคุณทักษิณ ชินวัตร ซึ่งผมคิดว่ามันไม่จำเป็นที่จะต้องดีหมด ก็มีอะไรที่ไม่ดีเยอะมาก แต่ผมคิดว่าเขาเรียนหลักของยุทธศาสตร์ทางการตลาด การวางนโยบาย การประชานิยม และการที่เขาขึ้นป้ายว่า ประชานิยม คนอยู่สุขอะไรก็ตาม คิดว่านั่นคือสิ่งที่เขาเห็นแล้ว เขาเห็นยุทธศาสตร์ของคุณทักษิณที่ว่า ถ้าจะมีเงิน มีพรรคพวกอยู่ใต้อำนาจเนี่ย ก็สามารถสถาปนาอำนาจให้สูงกว่านี้ได้ ประชาชนคงจะไปแคร์แค่เรื่องพวกนี้แค่นั้นเอง เพราะฉะนั้นเราตอบสนองเขาตรงนี้ได้ เราก็จะขึ้นมามีอำนาจ ผมว่าเขา ถ้าภาษาอังกฤษใช้คำว่า ambitious ทะเยอทะยานที่จะไปสู่จุดที่มากกว่าที่จะมาเป็นพรรคร่วมรัฐบาล คงไม่ได้แค่ 30-40 เสียง มองไปใหญ่กว่านั้น และมองว่า ในอนาคตอาจจะเป็นตัวแปรสำคัญได้ ผมคิดว่าในใจเขาเนี่ย มันต้องเป็นอะไรที่มากกว่านั้น แต่จะเป็นแบบไหนยังไงก็ต้องคอยติดตามดู”
“(ถาม-อ.ห่วงเรื่องกระแสการดูด ส.ส.ซึ่งไม่แน่ใจว่ามีการใช้เงินหรือเปล่าของพรรคภูมิใจไทยมั้ย เพราะลำพังแค่ลงพื้นที่สกลนคร ก็อาจจะดึง ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยมาได้นับสิบคนแล้ว?) อันนี้ก็อย่างที่เมื่อกี้ผมกล่าวไว้ข้างต้นว่า การเลือกตั้งมันสัมพันธ์กับเงิน การศึกษาแทบจะทุกชิ้นเลยก็ว่าได้ในประเทศไทย ไม่ว่าจะเขียนในระดับปริญญาตรี มหาบัณฑิต หรือระดับอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญ ก็จะชี้ไปในทางนี้เป็นร้อยละ 90 ก็ว่าได้ เพราะฉะนั้นแล้วผมคิดว่า ความทะเยอทะยานเนี่ยมันต้องเกี่ยวข้องกันอยู่แล้ว และการดูด ส.ส.เนี่ยมันเป็นยุทธศาสตร์อันหนึ่งที่คุณทักษิณเคยทำไว้ ตอนแรกที่เข้ามา ชนะการเลือกตั้ง หลายคนก็เข้าใจผิดอยู่ ก็นึกว่าเข้ามาชนะเลือกตั้งโดยพรรคเดียว ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่ ซึ่งสมัยนั้นก็จะมีความหวังใหม่ มีคุณสุวัจน์ ชาติพัฒนาในสมัยนั้น ใช่มั้ย ก็จะมีหลายพรรคมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประเด็นปัญหาอะไรก็ตาม ในที่สุดก็สามารถเอามารวมได้ ในสมัยที่ 2 จึงบอกด้วยว่าเป็นพรรคการเมืองที่ชนะอย่างท่วมท้น เอาละ ตรงชนะก็จะมีข้อครหาอีกเยอะเรื่องการเลือกตั้ง แต่แน่นอนนี่คือยุทธศาสตร์ที่คุณเนวินเห็นมากับตา อยู่กับคุณทักษิณ ใกล้ชิดสนิทสนมคุณทักษิณมาโดยตลอด จึงไม่น่าแปลกใจว่าเขาอาจจะคิดว่าตัวเองนั้นสามารถเป็นคุณทักษิณเองด้วยก็ได้ หรือไปไกลกว่านั้นก็ได้”
ส่วนกรณีที่ นายเนวิน บอกว่า พรรคภูมิใจไทยจะได้คะแนนเสียงจากคน กทม.มากขึ้นจากการผลักดันโครงการเช่ารถเมล์ 4 พันคันนั้น ผศ.สุรัตน์ ไม่เชื่อว่า แค่เรื่องรถเมล์จะทำให้พรรคภูมิใจไทยได้ใจคน กทม. เพราะเท่าที่ได้พูดคุยและสัมผัสกับคน กทม.พบว่า ไม่ได้พอใจโครงการดังกล่าว และที่สำคัญ คน กทม.ค่อนข้างมีความคิดมีจุดยืนในเรื่องนักการเมืองว่า ต้องฉลาด หลักแหลม และมีคุณธรรม ดังนั้น โครงการอะไรที่ไม่สมเหตุสมผล และยังมีข้อกังขาครหามากมาย อย่าหวังว่าจะได้ใจคน กทม.ง่ายๆ !!