xs
xsm
sm
md
lg

เสธ.ทบ.แจงอนุฯสอบทุบรถ “มาร์ค” รับยิงปืนขึ้นฟ้าจริง หวังเบนความสนใจ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ภาพเหตุการณ์ที่กระทรวงมหาดไทย
“อนุฯสอบเหตุมหาดไทย” เรียกทหารแจงเหตุม็อบแดงบุกทุบรถนายกฯ ด้าน “พ.อ.พิเศษ นภนต์” รับเป็นคนยิงปืนขึ้นฟ้าจริง เพียงหวังเบนความสนใจม็อบถ่อย หลังประเมินหวั่นเกิดเหตุความรุนแรงขึ้น มั่นใจไม่ได้ทำผิด ขณะที่ผู้สื่อข่าวทีวีไทย ยันรายงานเหตุการณ์ตามจริง ไม่ได้หวังดิสเครดิตนายกฯ ส่วน ตร.ติดตาม “สุเทพ” ยันไม่ได้มีการสับไพ่เปลี่ยนรถ อัดใครทำได้ในวินาทีนั้นขอกราบเท้างามๆ ย้ำไม่โง่วิ่งตามรถเปล่า

วันนี้ (9 มิ.ย.) ที่รัฐสภา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 10.00 น.ในการประชุมคณะอนุกรรมการรวบรวมเหตุการณ์ที่กระทรวงมหาดไทย ที่มี นางนฤมล ศิริวัฒน์ เป็นประธานในการประชุม ได้เชิญ พ.ท.พงศกร อาจสัญจร ผบ.ร.1 พัน 3 และ พ.อ.พิเศษ นภนต์ สร้างสมวงษ์ หัวหน้าฝ่ายเสนาธิการทหารเข้าชี้แจงและให้ข้อมูลต่ออนุกรรมการ

โดย พ.ท.พงศกร ชี้แจงว่า ได้รับคำสั่งให้วางกำลังทหารในการรักษาความปลอดภัยบริเวณแนวรั้วกระทรวงมหาดไทยเท่านั้น เนื่องจากมีกำลังน้อย และไม่ทราบว่าจะประสานงานกับเจ้าหน้าที่กระทรวงคนใด แต่การวางกำลังดังกล่าวถือเป็นการป้องปรามเหตุการณ์ได้ในระดับหนึ่ง ขณะเดียวกัน ทหารได้ใช้กระสุนปลอม ซึ่งทุกนายได้ฝึกมาเป็นอย่างดี แต่วันดังกล่าวไม่มีการบรรจุกระสุนในปืนพก เนื่องจากกระสุนปลอมอยู่ที่ผู้ใหญ่ ทั้งนี้ ยอมรับว่า ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น แต่ไม่ทราบว่าเป็นปืนชนิดใด นอกจากนี้ ตนไม่เห็นนายกรัฐมนตรีขึ้นรถยนต์คันใดออกจากกระทรวง ทราบเพียงข่าวว่า ได้ขึ้นรถเบนซ์สีดำและออกไปบริเวณประตู 4 รวมทั้งไม่เห็นตอนที่กลุ่มผู้ชุมนุมบุกทำร้าย นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้ยินเพียงเสียงฮือที่ลานจอดรถเท่านั้น

ขณะที่ พ.อ.พิเศษ นภนต์ ชี้แจงต่อว่า เห็นนายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรี ขึ้นรถประจำตำแหน่งเพื่อออกจากกระทรวงมหาดไทย จากนั้นได้รับคำสั่งจาก พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ดูแลรักษาความปลอดภัยนายกรัฐมนตรี เนื่องจากขณะนั้นกลุ่มคนเสื้อแดงได้บุกเข้าทำลายรถยนต์คันดังกล่าว ซึ่งตนได้วิ่งตามรถนายกรัฐมนตรีอยู่ 3 รอบ โดยสังเกตเห็นว่า กลุ่มเสื้อแดงที่เข้ามาทำร้ายนายกรัฐมนตรีไม่ใช่ม็อบทั่วไป แต่เป็นกลุ่มผู้ชุมนุมที่ถูกปลุกระดมมาเพื่อทำลายชีวิตและทรัพย์สินโดยเฉพาะ ทั้งนี้ ยอมรับว่า เป็นผู้ยิงปืนอูซี่ขึ้นฟ้าจำนวน 4 นัด เพราะจากประสบการณ์ได้วิเคราะห์เหตุการณ์แล้ว เชื่อว่า นายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรี ที่นั่งอยู่ภายในรถอาจจะได้รับอันตรายถึงชีวิต เนื่องจากกลุ่มผู้ชุมนุมได้ทุบกระจกรถด้านขวา จนเกือบจะแตกแล้ว จึงตัดสินใจยิงปืนขึ้นฟ้า เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของกลุ่มผู้ชุมนุม พร้อมกับวิ่งหนีเอาตัวรอด อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวมั่นใจว่า ร้อยละ 70 เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพื่อรักษาภาพพจน์ของประเทศไทย

จากนั้น อนุกรรมการได้เชิญ นางสาว สุกานดา สินขจิต ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ทีวีไทย ที่รายงานข่าวในเหตุการณ์วันดังกล่าวมาชี้แจง โดยระบุว่า ได้มีการประสานงานกับเพื่อนผู้สื่อข่าวสถานีเดียวกัน เพื่อติดตามความเคลื่อนไหวของนายกรัฐมนตรีตลอด ตั้งแต่ขึ้นประชุมจนกระทั่งขึ้นรถเพื่อออกจากกระทรวง จากนั้นได้ขาดการติดต่อกันเนื่องจากต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ เพราะขณะนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมได้ปิดล้อมประตูทั้ง 4 ด้าน บริเวณด้านนอกของกระทรวงแล้ว จากนั้นแกนนำเสื้อแดงที่ตามมาที่หลัง คือ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ได้พูดบนรถขยายเสียงโดยสั่งให้ผู้ชุมนุมบุกเข้าภายในกระทรวง เพื่อค้นหาตัวนายกรัฐมนตรี

ทั้งนี้ นางสาว สุกานดา ระบุด้วยว่า ตนไม่สามารถยืนยันได้ว่า นายกรัฐมนตรีอยู่ในรถคันดังกล่าวหรือไม่ เนื่องจากได้เกิดเหตุชุลมุน แต่สังเกตเห็นว่า กลุ่มผู้ชุมนุมได้บุกทำลายรถประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ การรายงานข่าวทุกครั้งตนจะใช้ความระมัดระวัง เนื่องจากไม่เห็นเหตุการณ์ด้วยตนเอง เพราะจุดที่เกิดเหตุกับจุดที่รายงานมีความห่างกันมาก อย่างไรก็ตาม ตนไม่ทราบว่ามีผู้เสียชีวิต และผู้ได้รับบาดเจ็บหรือไม่ หลังจากนั้น กลุ่มผู้ชุมุนมพยายามจะดำเนินการกับผู้ที่ยิงปืนขึ้นฟ้า ซึ่งเจ้าหน้าที่ยืนประจำการอยู่ คือ เจ้าหน้าที่ อส.ของกระทรวงมหาดไทย แต่หลังจากที่กลุ่มผู้ชุมนุมมาถึง และอารมณ์ของกลุ่มผู้ชุมนุมรุนแรงขึ้น จึงได้ตั้งข้อสังเกตว่า การรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ทำเต็มที่แล้วหรือยัง แต่มารู้คำตอบภายหลัง ว่า ทางเจ้าหน้าที่ไม่ต้องการทำให้เหตุการณ์รุนแรง หรือเป็นการยุ่งยุให้เกิดการปะทะกันขึ้น

นอกจากนี้ อนุกรรมการได้ตั้งข้อสังเกตว่า การรายงานข่าวของ น.ส.สุกานดา ที่รายงานว่านายกรัฐมนตรี หนีออกจากกระทรวงมหาดไทยไปแล้วนั้น สามารถยืนยันได้หรือไม่ว่านายกรัฐมนตรี ไม่ได้นั่งอยู่บนรถคันดังกล่าว โดย นางสาว สุกานดา ยืนยันว่า ตนรายงานว่า ไม่แน่ใจว่า นายกรัฐมนตรีอยู่บนรถหรือไม่ เพราะผู้สื่อข่าวต้องรายงานเหตุการณ์เป็นระยะๆ โดยเริ่มต้นการรายงานเหตุการณ์ ว่า นายกรัฐมนตรีหนีออกจากกระทรวงมหาดไทยผ่านประตู 4 ของกรมการพัฒนาชุมชน โดยการรายงานครั้งนั้น ตนไม่แน่ใจว่า นายกรัฐมนตรีนั่งบนรถเบนซ์คันดังกล่าวหรือไม่ นอกจากนี้ ตนได้ปิดท้ายการรายงานของเบรกแรกว่าจะตรวจสอบอีกครั้งว่านายกฯ ได้อยู่บนรถคันดังกล่าวหรือไม่ หลังจากการรายงานข่าวเบรกต่อมา ตนก็รายงานว่านายกรัฐมนตรีได้ออกไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ตนไม่ได้รายงาน เพื่อหวังดิสเครดิตนายกรัฐมนตรี หรือรายงานไปเพราะตกเป็นเครื่องมือของใคร แต่เป็นการรายงานจากข้อมูลดิบที่ตนเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด

จากนั้นคณะอนุกรรมการ ได้เชิญ จ่าสิบเอก วีระพันธ์ พุ่มจันทร์ เป็นนายตำรวจติดตาม นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี โดย จ่าสิบเอก วีระพันธ์ ชี้แจงว่า นายสุเทพ นั่งรถมากับนายกรัฐมนตรี เพื่อมายังกระทรวงมหาดไทย โดยหลังจากแถลงข่าวเสร็จก็ลงมาขึ้นรถพร้อมกับนายกรัฐมนตรี จากนั้นตนจึงเริ่มสังเกตเห็นกลุ่มผู้ชุมนุมทยอยเข้ามามากขึ้น ซึ่งขณะที่ตนส่งโทรศัพท์ 4 เครื่อง ให้ นายสุเทพ แต่ขณะที่ส่งรถยังไม่ออก จากนั้นตนได้โทรศัพท์เรียกอรินทราช โดยอยู่ด้านขวา อย่างไรก็ตาม ขอยืนยันว่า ในการส่งโทรศัพท์ให้นายสุเทพเสร็จแล้วนั้น ไม่มีการเปิดประตูรถอีกเลย ซึ่งตนยืนยันได้ว่า นายกรัฐมนตรีไม่ได้ลงจากรถ และเป็นไปไม่ได้หากมีการสับไพ่ในนาทีเดียวมั่นใจได้ 100% หากชั่วโมงนั้นใครเปลี่ยนรถได้อยากจะกราบเท้างามๆ เพราะมีรถปิดเต็มไปหมดถ้านายสุเทพไม่อยู่ในรถ แล้วจะให้ตนวิ่งตามรถคันละสิบกว่าล้านคงไม่วิ่ง ไม่รู้จะวิ่งตามไปทำไม
กำลังโหลดความคิดเห็น