อนุกรรมการสอบเหตุนางเลิ้ง ฟันธง! คนเสื้อแดงยิงชาวบ้านนางเลิ้งตายจริง หลังเชิญตำรวจ-กองทัพ พร้อมชาวบ้านในเหตุการณ์ชี้แจง เชื่อปลอกกระสุนคาร์บินในที่เกิดเหตุไม่ใช่ของทหารเพราะเลิกใช้ไปนานแล้ว ยันก่อนเกิดเหตุยิงกันมีการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงจริงจนเกิดเหตุปะทะกัน
วันนี้ (8 มิ.ย.) เมื่อเวลา 10.00 น. คณะอนุกรรมการรวบรวมข้อมูลบริเวณนางเลิ้ง ในคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง โดยมีนายสุวิศว์ เมฆเสรีกุล ส.ว.สมุทรสาคร ประธานอนุกรรมการฯ เป็นประธานการประชุม ซึ่งที่ประชุมได้การตรวจสอบเหตุการณ์ปะทะระหว่างผู้ชุมนุม นปช.กับชาวบ้านนางเลิ้ง และได้เชิญตัวแทนจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล และกองทัพภาคที่ 1 มาให้ข้อมูล เช่น พล.ท.องอาจ พงษ์ศักดิ์ รองแม่ทัพภาคที่ 1 พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เข้าชี้แจง
โดยชุดปฏิบัติการดูแลความปลอดภัยของทำเนียบรัฐบาลที่รักษาการณ์ในวัดโสมมนัสวิหาร ระบุว่า ภายหลังเหตุปะทะระหว่างผู้ชุมนุมกับชาวบ้านนางเลิ้ง พบปลอกกระสุนคาร์บินที่ทหารยกเลิกใช้แล้วตกอยู่ข้างศพชาวนางเลิ้ง จึงไม่น่าจะเป็นการสร้างสถานการณ์โดยทหารเพื่อสลายการชุมนุมกลุ่ม นปช.
ทั้งนี้ พ.อ.พลศักดิ์ ศรีเพ็ญ รองเสนาธิการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ ยืนยันตรงกันว่า ระหว่างที่ทหารวางกำลังรักษาการณ์อยู่บริเวณชุมชนวัดโสมนัสฯ คืนวันที่ 13 เมษายน ได้ยินเสียงปืนดังหลายนัดจึงรายงานผู้บังคับบัญชาก่อนไปที่เกิดเหตุและเก็บปลอกกระสุนพบว่าเป็นกระสุนปืนคาร์ปิน ซึ่งทหารยกเลิกการใช้ปืนชนิดนี้ ซึ่งตกอยู่ใกล้ชาวนางเลิ้งที่เสียชีวิต 2 ศพ รวมทั้งกระสุนปืนเอ็น 16
ขณะที่ นายปิยะพงษ์ จ้อยช้อยชด พี่ชายของนายยุทธการ จ้อยช้อยชด ผู้เสียชีวิต และนายธัชชัย เปลี่ยนชื่น ที่ถูกยิงที่ขาหนีบได้รับบาดเจ็บได้ชี้แจงตรงกันว่า ได้ร่วมชุมนุมกับชาวนางเลิ้งเพื่อต่อต้านกลุ่ม นปช.เพื่อห้ามไม่ให้มีการวางเพลิงรถโดยสารประจำทาง ซึ่งอาจลุกลามไปยังบ้านพักของชาวบ้าน โดยมีการยิงหนังสติ๊กใส่กัน ก่อนที่ผู้ชุมนุม นปช.จะใช้อาวุธปืนยิงชาวนางเลิ้งเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อนุกรรมการหลายคน เช่น พ.ต.อ.วิจัตร นันทวงศ์ และนางเจิมมาศ จึงศิริ ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ ต่างแสดงความคิดเห็นตรงกันว่า เชื่อว่าคงไม่มีการสร้างสถานการณ์โดยเจ้าหน้าที่ทหาร เพราะหากมีการใช้อาวุธปืนยิงประชาชน รัฐบาลจะเป็นจำเลยของสังคมและบริหารประเทศต่อไปไม่ได้ ผู้ก่อเหตุจึงน่าจะเป็นกลุ่ม นปช.ซึ่งเป็นคู่ขัดแย้งกับชาวบ้าน และขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติตามกฎหมาย โดยเร่งสืบสวนหาตัวคนร้าย เพื่อนำตัวมาดำเนินคดีต่อไป
ต่อมาเมื่อเวลา 14.50 น. นางเจิมมาศ จึงเลิศศิริ โฆษกคณะอนุกรรมการรวบรวมเหตุการณ์บริเวณชุมชนนางเลิ้ง แถลงผลการประชุมว่า กรณีการลอบเผาตู้เอทีเอ็มธนาคารกรุงเทพ สาขาสะพานขาวนั้นมีความคืบหน้าไปมาก เหลือเพียงประเด็นเดียว คือ จากรับฟังข้อมูลจาก ส.อ.สุทัศน์ สุขเจริญ ซึ่งเป็นผู้แจ้งเบาะแสผู้ต้องสงสัยลอบวางเพลิงต่อตำรวจ สน.ทุ่งมหาเมฆ โดยอนุกรรมการได้ขอให้รองแม่ทัพภาคที่ 1 ไปสืบหาตัว ส.อ.สุทัศน์ ว่ามีตัวตนที่แท้จริงหรือไม่ เพื่อนำมาให้ข้อมูลต่อทางคณะอนุกรรมการฯ เพิ่มเติม เพราะอนุกรรมการทราบเพียงว่า ส.อ.สุทัศน์ปฏิบัติราชการอยู่ที่ จ.ปัตตานี เท่านั้น
โฆษกคณะอนุกรรมการแถลงด้วยว่า ส่วนกรณีเหตุปะทะระหว่างกลุ่ม นปช.และชาวชุมชนนางเลิ้งจนมีผู้เสียชีวิตนั้น ได้มีการเชิญผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์มาให้ปากคำเพิ่มเติม รวมทั้งได้ข้อมูลจากยูทูบมาเปิดดูอย่างละเอียด สอดคล้องว่าเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่มีการยิงใส่ชาวชุมชน คือ เวลาประมาณ 17.30 น.ที่มีความชัดเจนว่าช่วงเวลาดังกล่าวผู้ที่ยิงเคลื่อนขบวนมาจากสะพานเทวกรรม ทั้งรถจักรยานยนต์จำนวน 4-5 คัน และคนเสื้อแดงที่เดินเท้าลงมา โดยผู้ที่ขี่รถจักรยานยนต์จะใส่เสื้อสีดำ มีการยิงใส่ชาวชุมชนแล้วถอยกลับเข้าไปในกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง แต่เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่งก็กลับออกมายิงใหม่ จึงสามารถสรุปได้ว่าผู้ชุมนุมคือกลุ่มที่ยิงใส่ชาวนางเลิ้งจนเสียชีวิต
เมื่อถามว่าจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าไม่ใช่ฝีมือของมือที่ 3 นางเจิมมาศกล่าวว่า หลายคนสงสัยว่าอาจเป็นฝีมือทหารที่มารักษาการณ์หน้าทำเนียบรัฐบาล ซึ่งรองแม่ทัพภาคที่ 1 ยืนยันว่าทหารไม่สามารถเข้าไปผลัดเปลี่ยนกำลังในทำเนียบรัฐบาลได้ จึงต้องมาพักกำลังอยู่ที่วัดโสมนัสวิหารราชวรวิหาร และยืนยันว่าไม่มีทหารใช้มอเตอร์ไซค์เป็นพาหนะ เพราะทุกคนล้วนรอคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาว่าจะให้ทำอย่างไรต่อผู้ชุมนุมในทำเนียบ ขณะเดียวกัน ทหารไม่มีหน้าที่สลายการชุมนุม แต่มีหน้าที่เพียงมารักษาความปลอดภัยให้แก่ประชาชนเท่านั้น และระหว่างที่มีการปะทะกันระหว่างชาวบ้านและผู้ชุมนุมบริเวณซอยลิขิตไก่ย่าง ตรงข้ามกองทัพบก ทหารก็ช่วยเข้ามาไกล่เกลี่ยให้เท่านั้น