xs
xsm
sm
md
lg

เจาะลึกกลุ่มทุนน้ำเมาค่ายยักษ์ หนุนแดงเถื่อนล้มรัฐบาลอภิสิทธิ์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


การกลับมาอีกครั้งของพลพรรค”แดงเถื่อน”ที่นัดชุมนุมใหญ่ในวันที่ 27 มิถุนายน 2552 โดยแบ่งการเคลื่อนไหวออกเป็นสองช่วงคือ

ช่วงแรก 21-24 มิ.ย.จะมีการนัดชุมนุม เปิดเวทีปราศรัยย่อยเพื่อระดมพลและปลุกเร้าแนวร่วมไปเรื่อยๆ

จากนั้นจะมีการเคลื่อนไหวใหญ่อีกครั้ง 27 มิ.ย. ที่ 3 แกนนำเสื้อแดง คือวีระ มุสิกพงศ์-ณัฐวุฒิ ใสเกื้อ-จตุพร พรหมพันธ์ กลับมาจับมือกันป่วนบ้านป่วนเมืองอีกครั้ง

โดยมีเป้าหมายคือ เพื่อกดดัน รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้พ้นจากอำนาจ

การเคลื่อนไหวครั้งนี้ของคนเสื้อแดง แม้จะเหลือเวลาอีกนานและหลายคนประเมินว่ากำลังของคนเสื้อแดงหดหาย และเสียแนวร่วมไปจำนวนมากหลังผ่านพ้นเหตุการณ์สงกรานต์เลือด แต่ไม่ควรที่ทหาร-ตำรวจ-ฝ่ายปกครองจะปรามาสการชุมนุมดังกล่าวของเสื้อแดง ว่าไร้น้ำยาโดยเด็ดขาด

เพราะบทเรียนการประเมินสถานการณ์ที่ผิดพลาดของรัฐบาลในการชุมนุมใหญ่เสื้อแดงเมื่อกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา จนกลายเป็นสงกรานต์เลือด

แม้รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะชนะทักษิณ ชินวัตร-กองทัพเสื้อแดง-เพื่อไทย สามประสานที่ร่วมกันเผาบ้านเผาเมือง แต่ก็เป็นชัยชนะบนความเจ็บปวดของคนไทยทั้งชาติ อันเป็นบทเรียนครั้งเดียวก็เกินพอ

แน่นอนว่า เมื่อไม่ควรประมาทด้วยประการใดๆ แล้ว หน้าที่ของรัฐบาลต้องเตรียมพร้อมรับสถานการณ์รอบด้านให้เต็มที่


ทั้งนี้ สัญญาณการเมืองต่างๆ บ่งชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า คนอย่างทักษิณ ชินวัตร ยากจะยอมล้มความตั้งใจในการทำร้ายประเทศ และการทำร้ายประเทศรอบใหม่ก็ต้องทำให้ได้

ยามนี้อาจจะเป็นจังหวะเหมาะของการรุกรบครั้งใหม่ก็ได้ เพราะ รัฐบาลอภิสิทธิ์มีปัญหาความขัดแย้งอย่างรุนแรงทางการเมือง กับพรรคร่วมรัฐบาล อันเนื่องมาจากการขัดกันในเรื่องผลประโยชน์ของแต่ละพรรคการเมือง จนมีทีท่าว่าจะไม่ยอมยุติกันได้ง่ายๆ

แต่อย่างไรก็ดี สุดท้าย อาจเป็นไปได้ว่า หากพรรคร่วมไม่แตกหักจนเกิดการเปลี่ยนแปลงภายในพรรคร่วมรัฐบาล เชื่อว่าเมื่อใกล้ถึงวันที่เสื้อแดงนัดชุมนุมใหญ่ พรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมดจะหันมาจับมือสงบศึกกันโดยทันที เพื่อตั้งรับกับศัตรูคนเดียวกัน

นั่นก็คือ “ทักษิณ –เสื้อแดง-เพื่อไทย”

และดูเหมือนครั้งนี้ ฝ่ายการข่าวของรัฐบาลและหน่วยข่าวความมั่นคง จะทำการบ้านมาอย่างหนัก จึงส่งข้อมูลให้นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รู้ความเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆ ว่า ยังมีความเคลื่อนไหวอยู่อย่างต่อเนื่อง

แต่สิ่งที่นายกรัฐมนตรีดูจะหนักใจมากเป็นพิเศษก็คือ กลุ่มนักธุรกิจใหญ่ และกลุ่มทุน ผู้เสียผลประโยชน์จากนโยบายของรัฐบาล ออกอาการต้องการโค่นล้มรัฐบาล ให้ไปก่อนกำหนด

ซึ่งเมื่อวิเคราะห์รูปการณ์แล้ว ฝ่ายผู้เสียประโยชน์จากการมีอยู่ของรัฐบาลประชาธิปัตย์ ที่หากอยู่ยาวก็อาจทำให้อะไรติดขัดไปหมดโดยเฉพาะผลประโยชน์ต่างๆ จึงอาจหันไปจับมือกับกลุ่มตรงข้ามรัฐบาล เช่นฝ่ายเสื้อแดงด้วยการส่ง

กำลังบำรุงและน้ำมันหล่อลื่น

เพื่อหล่อเลี้ยงการชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดง ที่แม้ตอนนี้แกนนำ นปช.จะประกาศว่าการนัดชุมนุมใหญ่ที่สนามหลวง จะไม่มีการปักหลักค้างคืนและเคลื่อนย้ายมวลชน แต่ก็ยังไม่แน่นอนต้องรอดูสถานการณ์อีกครั้งในยามนั้น

อันหมายความว่า สถานการณ์ย่อมเปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อ และมีโอกาสเช่นกันหากว่าการชุมนุมครั้งนี้ คนเสื้อแดงมาร่วมชุมนุมกันจำนวนมาก จนแกนนำ นปช.ฮึกเหิม ก็จะถือโอกาสเคลื่อนย้ายออกจากสนามหลวงไปปักหลักชุมนุมตามสถานที่ต่างๆ เช่นหน้าทำเนียบรัฐบาล หน้ารัฐสภา

โดยการเคลื่อนไหวของเสื้อแดงครั้งนี้ อาจถือเป็นโอกาสอันดีที่กลุ่มผู้เสียผลประโยชน์อาจจะผสมโรงร่วมกับเสื้อแดง กดดันรัฐบาลไปในตัว

จนมีคำเตือนออกมาจากนายกรัฐมนตรี ที่ไปพูดกับนักธุรกิจเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ณ โรงแรมพลาซ่าแอทธินี เหมือนกับจะต้องการดักคออยู่ในทีว่า รัฐบาลคอยมอนิเตอร์กลุ่มที่หนุนหลังฝ่ายล้มรัฐบาลอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากทำเกินขอบเขต ก็พร้อมจัดการแต่ต้นลม

"วันนี้อาจจะดูสงบ แต่คนที่ไม่ต้องการให้สงบยังมีอยู่และยังทำงานอยู่ และเดือนหน้าจะเริ่มต้นเห็นความพยายามอีกครั้งหนึ่ง เผาบ้านเผาเมือง ถ้ามีใครคิดที่จะไปสนับสนุนให้คนทำสิ่งต่างๆ ที่ไม่ถูกต้อง ถ้ามีหลักฐานผมดำเนินตามกฎหมาย"

แม้นายกรัฐมนตรีไม่ระบุให้ชัดและขยายความถึงเรื่องนี้ว่า เป็นกลุ่มไหน กลุ่มที่ทำมีเป้าหมายอย่างไร วิธีการทำอย่างไร

แต่การไปพูดกับกลุ่มนักธุรกิจ กลุ่มชนชั้นนำ ก็ย่อมเหมือนกับต้องการจะบอกว่าใครคิดจะทำอะไร แค่ขยับรัฐบาลก็รู้ความเคลื่อนไหวแล้ว

แถมยิ่งการที่ สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงออกมาสำทับ แสดงความเป็นห่วงต่อสถานการณ์ความไม่สงบเรียบร้อยภายในประเทศทั้งในการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนและเตือนรัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์กลางโต๊ะจีน ที่โรงแรมคอนราด เมื่อ 31 พฤษภาคม ว่า ให้ระวังตัวเวลาลงพื้นที เพราะกำลังมีความพยายามสร้างสถานการณ์เพื่อทำให้เกิดเหตุวุ่นวายภายในประเทศ

คนระดับนายกรัฐมนตรี-รองนายกรัฐมนตรี ที่เคยเกือบเอาชีวิตไม่รอด ต้องตายคารถในกระทรวงมหาดไทยมาแล้ว ออกมาแสดงความวิตกกังวลในการเคลื่อนไหวเพื่อล้มรัฐบาล แม้จะเป็นการพูดในช่วงที่รัฐบาลกำลังมีปัญหาความขัดแย้งภายในพรรคร่วมรัฐบาลอย่างรุนแรง แต่ดูจากลักษณะแล้ว

ย่อมไม่ใช่เพื่อหวังผลสร้างข่าวใหม่กลบข่าวความขัดแย้งภายในพรรคร่วมรัฐบาลแน่นอน

เลยทำให้เค้าลางความวุ่นวายในบ้านเมืองที่เกิดจากการเตือนล่วงหน้าของนายกฯ-รองนายกฯ มันจึงยิ่งเติมเชื้อไฟให้เห็นเค้าลางว่า รัฐบาลไม่ไว้ใจสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นเช่นกัน

สำหรับกลุ่มธุรกิจ-นายทุน ที่พบว่าอาจไม่พอใจรัฐบาลประชาธิปัตย์ในตอนนี้ พบว่ามี 3 กลุ่มหลักๆ แล้วที่เห็นเด่นชัด

1.กลุ่มบริษัทที่ทำธุรกิจด้านประมูลสินค้าเกษตรกรรมที่อยู่ในโครงการรับจำนำสินค้าเกษตรของกระทรวงพาณิชย์ ที่กำลังไม่พอใจความล่าช้าของพรรคประชาธิปัตย์ในการขวางโครงการ จนทำให้ยังไม่มีการส่งมอบสินค้าทั้งที่ทำสัญญาซื้อขายไปแล้ว

2.กลุ่มผู้เกี่ยวข้องกับการประมูลจัดหารถเมล์ ขสมก. 4 พันคันของ ขสมก.ที่ประชาธิปัตย์พยายามขวางทางปืนของพรรคภูมิใจไทย เพราะรู้ดีว่าโครงการนี้มีผลประโยชน์นับหมื่นล้านบาทรออยู่

และกลุ่มที่ 3. คือ

กลุ่มผู้เกี่ยวข้องกับธุรกิจน้ำเมา เพราะการที่กระทรวงการคลังแก้ปัญหารัฐบาลถังแตก ด้วยการขึ้นภาษีสรรพสามิตเหล้าเบียร์ ทำให้ธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สะเทือนไม่น้อยโดยเฉพาะกับยอดขายที่ต้องลดลง และทำให้บริษัทธุรกิจน้ำเมามีกำไรลดน้อยลงไปด้วย


แต่ประเด็นใหญ่ ที่ทำให้กลุ่มทุนผู้ประกอบการธุรกิจน้ำเมาไม่พอใจอย่างมากก็คือ การอ้างของคนในธุรกิจน้ำเมาว่า มีความเหลื่อมล่ำในการขึ้นภาษี

เพราะภาษีเหล้าขาวที่เสียอยู่ปัจจุบัน คือ 1.10 สตางค์ ปรับเพิ่มเป็น 1.20 สตางค์ อันเท่ากับว่ามีการปรับแค่ 10 สตางค์/ลิตรเท่านั้น ซึ่งน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับการขึ้นภาษีตัวอื่นๆ เช่นภาษีเบียร์ที่ปรับเพิ่มจาก 55% เป็น 60% ภาษีสุราขาวตามตัวเลขเพิ่มจาก 110 เป็น 120 ภาษีสุราผสมจาก 280 เป็น 300 ภาษีสุราพิเศษจาก 45 เป็น 48

จนผู้บริหารบริษัทน้ำเมาออกมาโวยวายรัฐบาลเสียยกใหญ่ แต่เมื่อไม่สามารถทำอะไรได้ ก็คงได้แต่เก็บความไม่พอใจเอาไว้ในอก และรอวันปลดปล่อยในไม่ช้า

มันจึงเป็นสภาวะ ศึกในระอุ ศึกนอกปะทุ ปัญหารุมเร้า ทั้งเกาเหลาในพรรคร่วมรัฐบาล ความไม่พอใจรัฐบาลของกลุ่มคนต่างๆ ที่ขยายวงออกไปเรื่อยๆ จากนักการเมืองก็เริ่มมีผู้เสียประโยชน์จากธุรกิจ

ถือเป็นบททดสอบครั้งสำคัญจริงๆ สำหรับอภิสิทธิ์ในยามนี้
กำลังโหลดความคิดเห็น