นายกรัฐมนตรีรู้ทันกลุ่มทุนเสื้อแดง เตือนอย่าคิดปลุกระดมเผาบ้านเผาเมืองอีก สั่งจับตาไม่ให้เหตุร้ายซ้ำรอยสงกรานต์เดือด มั่นใจศาล รธน.เห็นชอบ พ.ร.ก.กู้เงิน 4 แสนล้าน เชื่อรอยร้าวพรรคร่วมฯ ไม่เป็นอุปสรรคการพิจารณาขอความเห็นชอบในสภาฯ มั่นใจที่ประชุมสภาวิสามัญผ่านความเห็นชอบ 22-23 มิ.ย.
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์”
วันนี้ (31 พ.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวตอนหนึ่งในรายการ“เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” ว่าเรื่องที่ตนมีความรู้สึกเป็นห่วงที่สุด เพราะว่าพี่น้องประชาชนสะท้อนมาก็คือการพูดถึงว่ามีการทุจริตคอร์รัปชั่นในแวดวงของรัฐบาลหรือราชการ ตนเรียนยืนยันว่าให้ความสำคัญเรื่องนี้เป็นพิเศษและให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาตลอด นับตั้งแต่ที่เข้ามาสู่การเมืองและเคยมีโอกาสทำงานในเรื่องนี้ ผลักดันกฎหมาย เช่น กฎหมายที่เราเรียกว่า กฎหมายฮั้ว ทำให้การฮั้วเป็นความผิดทางอาญาก็ดี สนับสนุนการทำงานขององค์กรอิสระคือ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หรือก่อนหน้านี้เป็น ป.ป.ป. มาโดยตลอด
เชิญปชช.ร่วมตรวจสอบรัฐบาล
นายกฯ กล่าวอีกว่า ถ้าพี่น้องประชาชนมีเบาะแส ทราบกรณีการทุจริตที่ไหนอย่างไร สามารถที่จะร้องเรียนมาที่ตนหรือมาที่รัฐบาล ท่านไว้ใจใครร้องเรียนมาที่หน่วยงานนั้น ซึ่งขอยืนยันว่าจะดูแลเอาใจใส่คำร้องเรียนเหล่านี้อย่างจริงจัง ให้มีการตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมา ให้เกิดความโปร่งใส โครงการต่างๆ ของรัฐบาล อย่างเช่น โครงการที่จะมีการลงทุนกัน 8 แสนล้าน โดยเฉพาะอย่างรวดเร็ว 2แสนล้าน ก็จะมีการเปิดเผยให้ประชาชน ให้พื้นที่ตรวจสอบกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะให้เรามั่นใจว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ของพี่น้องประชาชน ไม่รั่วไหลออกไป
ยันครม.รอบคอบทุกโครงการ
“ส่วนโครงการที่พี่น้องประชาชนมีความห่วงใย ผมก็ยืนยันครับว่า ในการทำงานของผม คณะรัฐมนตรีชุดนี้จะพิจารณาทุกเรื่องด้วยความรอบคอบ ด้วยการรักษาผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชนเป็นหลัก และได้ทำความเข้าใจกับรัฐมนตรีทุกท่านในเรื่องนี้ว่า เราไม่สามารถที่จะประมาทหรือปล่อยให้มีโครงการใดและมีช่องโหว่ในเรื่องการ ทุจริตได้เลยในยามที่เศรษฐกิจเป็นอย่างนี้ และพี่น้องประชาชนนั้นประสบกับความยากลำบาก ที่สำคัญเราต้องการที่จะสร้างบรรทัดฐาน มาตรฐานที่ดี ธรรมาภิบาลในทางการเมือง เพราะฉะนั้น ก็ขอความร่วมมือจากทุกกระทรวงไปแล้ว”นายกฯ กล่าว
เห็นใจพาณิชย์รับไม้ต่อโครงการรับจำนำ
จากนั้นนายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อไปถึงกรณีปัญหาของสินค้าเกษตรว่า ต้องเรียนว่ากระทรวงพาณิชย์ก็อยู่ในฐานะที่น่าเห็นใจ รัฐบาลนี้เข้ามาต้องมาสานต่อโครงการการรับจำนำพืชผลการเกษตร ที่มีการตั้งราคาไว้ค่อนข้างที่จะสูงเกินความเป็นจริง และนำไปสู่การที่มีการนำเอาสินค้าต่างๆ เข้ามาจำนำจำนวนมาก แล้วก็ทำให้สต็อกของสินค้าเกษตรเหล่านี้ของรัฐสูงมาก และมีความจำเป็นที่จะต้องระบาย ระบายก็ต้องไม่ให้เสื่อมคุณภาพ ระบายโดยไม่ให้กระทบตลาด ก็มีปัญหามาก แต่รัฐบาลก็ยืนยันว่าในอดีตที่ผ่านมาต้องยอมรับ โดยเฉพาะในช่วงปีที่แล้วซึ่งมีการเริ่มต้นการจำนำสินค้าเกษตรอย่างนี้ ในการระบายไปนั้น รัฐบาลเสียหายมากในแง่ของการขาดทุน และถ้าเราไปดูเงินที่ขาดทุนไป บางทีเป็นหมื่นล้าน มาคำนวณดูจริง ๆ และมาดูจำนวนคนที่เข้าสู่โครงการรับจำนำที่ได้ประโยชน์ไปไม่มาก
ระบายสินค้าเกษตรเข้าครม.พุธนี้
นายกฯ กล่าวต่ออีกว่า เพราะฉะนั้นสิ่งที่เรากำลังทำในขณะนี้ก็คือ 1. ในแง่ของการระบายสินค้า ทำหลักเกณฑ์ให้เรียบร้อย และเรื่องนี้มีคณะทำงานที่ทางครม.ได้ตั้งขึ้นมา ประชุมกันเรียบร้อย จะเสนอหลักเกณฑ์ต่าง ๆ เข้าสู่การพิจารณาของครม.ในวันพุธที่จะถึงนี้(3มิ.ย.) ซึ่งตนมั่นใจว่าจะทำให้แนวทางการระบายสินค้านั้น สามารถรักษาประโยชน์ของประเทศชาติได้มากขึ้น ทั้งในแง่ของการขาดทุนน้อยลง หรือถ้าไม่ขาดทุนได้ก็ยิ่งดี รวมไปถึงการระบายสินค้าในลักษณะที่ไม่ไปกระทบกับราคาพืชผลการเกษตรในตลาด ขณะเดียวกันในระยะยาว เราก็จะต้องมาปรับแนวทางของการแทรกแซงพืชผลทางการเกษตร
มันสำปะหลังนำร่องรับจำนำแบบใหม่
หัวหน้าทีมเศรษฐกิจรัฐบาล กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้สิ่งที่ครม.ได้อนุมัติไปแล้วคือกรณีของมันสำปะหลัง ที่จะเริ่มต้นวิธีใหม่ คือว่าเราจะรับจดทะเบียนเกษตรกรที่ปลูกมันตั้งแต่ต้นฤดูกาล แล้วเมื่อเข้ามาจดทะเบียนเรียบร้อยแล้ว จะมีการกำหนดราคาที่เรียกว่าเป็นราคาประกันที่จะไปใช้ ขณะนี้กำหนดไว้ที่ 1.70 บาท เมื่อพี่น้องเกษตรกรได้เอาผลผลิตออกมาขายแล้ว ถ้าได้ต่ำกว่าราคานี้เท่าไหร่ รัฐบาลก็จะชดเชยให้กับทุกรายที่มาขึ้นทะเบียนตามโครงการนี้
“เพราะฉะนั้น โครงการนี้จะเป็นโครงการที่ทุกคนที่เป็นเกษตรกร แล้วมาขึ้นทะเบียน และก็เปิดโอกาสให้ขึ้นกันทุกคน ได้ประโยชน์อย่างทั่วถึง จะไม่เหมือนกับกรณีจำนำ ซึ่งเราเห็นแล้วว่า เราเปิดรับจำนำได้ ก็ต้องกำหนดโควตา และจะมีคนจำนวนน้อยเท่านั้น และคนที่อยู่นอกโควตาก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยจากโครงการนี้ แล้วก็แนวทางที่เราทำใหม่นี้ ก็จะเป็นแนวทางซึ่งไม่มีภาระของภาครัฐในการที่จะต้องมาเก็บสินค้าในสต็อกและมาบริหารจัดการให้เกิดปัญหาอื่นๆ ก็จะเป็นแนวทางที่จะนำร่องไป สินค้าตัวอื่นๆ”นายกฯ กล่าว
อย่างไรก็ตามความจริง ข้าว ในส่วนของ 2 แสนตัน ที่เป็นข้าวหอม ที่ทุ่งกุลา กำลังนำร่องทำโครงการนี้เช่นกัน อาจจะต้องมีการปรับปรุงโครงการตามความเหมาะสมต่อไป แต่ตนคิดว่าเรากำลังหมุนมาสู่รูปแบบของการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรที่อิงกับ ความเป็นจริง อิงกับกลไกตลาดได้มากขึ้น แล้วก็ขณะเดียวกันก็ตอบสนองเป้าหมายที่ต้องการให้พี่น้องเกษตรกรมีรายได้ดี ขึ้น
รับความเห็นต่างในรบ.มีจริง
นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงรอยร้าวในรัฐบาลว่า ตนก็ต้องบอกว่าความคิดเห็นที่แตกต่างมีแน่นอน ของอย่างนี้จะไปบอกไม่มีอะไรเลย ตนว่าก็หลอกกันเปล่าๆ แต่ความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ก็เป็นเรื่องของมาตรการการทำงาน และตนก็คิดว่าสิ่งที่จะต้องพูดคุยกันก็ว่ากันด้วยเหตุด้วยผล และสำคัญที่สุดก็คือต้องยึดประโยชน์ของประชาชนที่เป็นตัวได้ข้อยุติ
“ผมยังเชื่อมั่นว่า เราล้วนแล้วแต่เป็นนักการเมือง จะพรรคเดียวกันหรือคนละพรรคก็ตาม สุดท้ายถ้าหากว่าเรายึดประโยชน์ประชาชน ทุกคนก็พอใจ แต่ถ้าเราไม่ยึดประโยชน์ประชาชน ถึงเราตกลงกันเองได้ วันข้างหน้าก็ไปไม่ได้ คือถ้าถามประชาชนทุกครั้งว่าเขาไม่ชอบอะไรที่สุดในเรื่องการเมือง มี2เรื่อง ติดอันดับตลอด คือ ความขัดแย้งกับการทุจริต”นายกฯ กล่าว
โทษสื่อคุ้ยเกาเหลามากกว่าเนื้องาน
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ตนอยากจะบอกว่าเวลามีความคิดเห็นที่แตกต่าง ตนก็เห็นการรายงานของสื่อจะเน้นอยู่ตรงนี้ แต่จริงๆ แล้วตนอยากให้เน้นว่าสิ่งที่รัฐบาลกำลังทำอยู่นี้ ต้องการทำอะไร ถ้านำไปสู่ตัวเนื้องาน เอาเนื้องานมาพูดกัน เหมือนที่ตนอธิบายไปเมื่อสักครู่ว่าทำไมถึงคิดว่าการแก้ปัญหาเรื่องการ แทรกแซงและการระบายสินค้าเกษตรมันทำเหมือนเดิมไม่ได้ หน่วยงานเขาอาจจะคิดว่ามันเคยทำมาแล้ว และก็คิดว่าเขาอาจจะปรับปรุงแล้ว แต่ตนก็มีบางมุมมองว่าอาจจะต้องทำเรื่องอีกแบบหนึ่งอีกวิธีหนึ่ง ก็มาดูกัน และอะไรประโยชน์สูงสุดก็ต้องไปอย่างนั้น
นายกฯ กล่าวอีกว่า วันพุธนี้น่าจะเรียบร้อยในแง่ของรูปแบบวิธีการของการระบายสินค้า เพราะยิ่งเก็บเอาไว้ในสต็อกก็มีปัญหาเยอะ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ตอบคำถามของไชยา ยิ้มวิไล ที่ทำหน้าที่พิธีกรรับเชิญในรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” ถึงกรณีที่เคยพูดกับนักธุรกิจที่โรงแรมพลาซ่า แอทธินีว่าเดือนมิถุนายนจะมีเรื่องของเผาบ้านเผาเมืองว่า “ผมคงไม่ได้พูดว่าจะมีคนมาเผาบ้านเผาเมือง ผมเพียงแต่บอกว่าการเคลื่อนไหว การชุมนุมทางการเมืองยังมีอย่างต่อเนื่อง และถ้าเป็นการเคลื่อนไหวการชุมนุมที่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ อาจารย์(นายไชยา)จะทราบดีจุดยืนผมชัดเจน ถ้าเคลื่อนไหวตามรัฐธรรมนูญทำได้ตลอดเวลา และผมก็เคารพสิทธิเสรีภาพ ความคิดเห็นที่แตกต่างของทุก ๆ คน แต่ว่าต้องไม่ให้มีเหมือนกับช่วงก่อนสงกรานต์อีก ก็คือการทำผิดกฎหมาย”
พูดชัดเป็นกลุ่มที่เคยทำลายโอกาสประเทศ
นายกฯ กล่าวอีกว่า บังเอิญตนก็ทราบว่ามันก็ยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่ยังคิดจะทำแบบนั้นอยู่ ตนก็บอกว่ากลุ่มนั้นคือกลุ่มที่ทำลายโอกาสของบ้านเมือง แต่ว่าถ้ากลุ่มที่เขามาแสดงโดยปกติภายใต้รัฐธรรมนูญ ตนบอกเลยว่านอกจากจะเป็นสิทธิ์แล้ว ตนไม่กังวลเลยในแง่ของภาพลักษณ์ของประเทศ เพราะว่าเวลามีการชุมนุมโดยสงบและก็ผ่านมาด้วยเรียบร้อย ตนอธิบายง่ายว่านี่คือสังคมประชาธิปไตย เราสามารถที่จะเห็นคนออกมาแสดงความคิดความอ่านได้ ก็เพียงแต่บอกว่า จริงๆเดือนที่ผ่านมา ตนคิดว่าหลายฝ่ายก็เริ่มมีความรู้สึกว่าประเทศไทย ควรจะได้รับโอกาส ตนไม่พูดถึงรัฐบาล พูดถึงประเทศไทย คนไทยควรจะได้รับโอกาสที่จะฟันฝ่าปัญหาในช่วงนี้ไป ในช่วงที่คนตกงาน ในช่วงที่คนเดือดร้อน ทำอย่างไรที่จะให้มันมีความสงบในระดับหนึ่ง
วอนปชช.อย่าหนุนทำผิดกม.
เมื่อถามว่าหลังจากในช่วงสงกรานต์เดือดสถานการณ์ทุกอย่างก็รู้สึกว่าจะคลี่คลายนุ่มนวลลงเยอะ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ก็ดีขึ้น แต่อยากจะเรียนว่า อันนี้เป็นเรื่องที่เรายังต้องทำงานกันหนัก เพราะว่าการเลื่อนการประชุมที่พัทยาออกไป การที่ต้องเรียกว่าผู้นำขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปขึ้นเครื่องบินอะไรต่างๆ สิ่งเหล่านี้ยังเป็นสิ่งที่เป็นความรับรู้ของชาวโลกอยู่ค่อนข้างมาก เพราะฉะนั้นเราต้องใช้ระยะเวลาอีกช่วงหนึ่งที่จะพิสูจน์และทำให้ทุกฝ่ายเขามีความมั่นใจ จริง ๆ ก็เพียงแต่ขอความร่วมมือว่าทุกอย่างขอให้อยู่ในกรอบของกฎหมาย ใครอยู่ในวงการไหนก็แล้วแต่ 1. อย่าไปสนับสนุนใครด้วยทำผิดกฎหมาย 2. ช่วยกันทำความเข้าใจกับประชาชนว่าทั้งหมด เราเพียงแต่ต้องการให้โอกาสแก่คนไทย