ส.ส.เพื่อไทย โวยรัฐบาลเปิดประมูลข้าว ชี้ส่อไม่โปร่งใส หมกเม็ดไม่ให้แสดงเอกสารการส่งออกรับประกันสัญญาคืน แถมให้ราคาเกษตรกรต่ำ ทำขาดทุนหนัก อ้างรัฐเร่งรัดประมูลราคาข้าวทำผู้ค้าต่างประเทศกดราคา จี้ชะลอโครงการจนกว่าจะถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยว
วันนี้ (25 พ.ค.) ที่รัฐสภา เมื่อเวลา 11.30 น. นายไพโรจน์ อิสรเสรีพงษ์ ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย แถลงข่าวว่า ตนขอตั้งข้อสังเกตการณ์โครงการประมูลข้าวที่ไม่โปร่งใสของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ โดยเฉพาะในเงื่อนไขบางเงื่อนไขที่ไม่ได้ระบุไว้ในประกาศเปิดประมูลขายข้าว เช่น ห้ามไม่ให้ใช้เอกสารสำแดงการส่งออกของบริษัทอื่นมาสำแดงเพื่อรับหลักประกันสัญญาคืน แต่กลับแจ้งให้กับผู้ส่งออกรับทราบด้วยวาจา นอกจากนี้ยังพบว่า ราคาข้าวที่อนุมัติขายต่ำกว่าราคาตลาดมากเกินไป อย่างราคาข้าวเจ้า 5% ราคาที่รับจำนำไว้ของรัฐบาลเกวียนละ 11,800 บาท คิดเป็นราคาข้าวสารต้นทุนอยู่ที่ราคาต้นละ 21,000 บาท แต่รัฐบาลยอมให้ประมูลไปเพียงราคาเฉลี่ยตันละ 14,500 บาท ทำให้รัฐบาลต้องประสบภาวะขาดทุนถึงตันละ 6,000 บาทรวมแล้วเป็นเงินจำนวนมากที่ต้องสูญเสียไปในครั้งนี้
นายไพโรจน์กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังมีความพยายามเร่งรัดเจรจาต่อรองราคาและมีการเปิดประมูลขายในวันที่ 6 พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งหลังจากเปิดการประมูลแล้วระหว่างวันที่ 8-11 พ.ค.ซึ่งเป็นวันหยุดราชการ ปรากฏว่า อคส.ได้ใช้เวลาดังกล่าวต่อรองราคากับเอกชนและส่งหนังสือแจ้งให้มาซื้อขายภายใน 10 วันนับจากวันที่ได้รับหนังสือ ซึ่งหนังสือได้ส่งไปเมื่อวันที่ 14 พ.ค.ทั้งที่นายกฯ ได้ยืนยันชัดเจนว่าการระบายสินค้าเกษตรฯ ทุกชนิดต้องผ่านคณะรัฐมนตรีก่อน จึงสงสัยว่าทำไมในวันที่ 14 พ.ค. อคส.จึงเรียกเอกชนมาเซ็นสัญญาซื้อขายข้าว ทั้งนี้ยังพบว่ามีการเร่งรัดให้มีการประมูลข้าวล็อตใหญ่ในฤดูกาลผลิตปี 2551 ถึงปี 2552 ทั้งที่เพิ่งสิ้นสุดฤดูกาลมา ทำให้ผู้ซื้อในต่างประเทศทำการกดราคาข้าวให้ต่ำลงถึงตันละ 3,000 บาท ทำให้ราคาข้าวเหลือเพียงตันละ 16,000-16,500 บาท ดังนั้นจึงเสนอให้รัฐบาลชะลอการประมูลข้าวไปก่อน เพราะข้าวฤดูกาลใหม่สามารถเก็บไว้ได้นาน 1-2 ปี เพื่อรอให้ได้ราคาที่เหมาะสมต่อไป
วันนี้ (25 พ.ค.) ที่รัฐสภา เมื่อเวลา 11.30 น. นายไพโรจน์ อิสรเสรีพงษ์ ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย แถลงข่าวว่า ตนขอตั้งข้อสังเกตการณ์โครงการประมูลข้าวที่ไม่โปร่งใสของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ โดยเฉพาะในเงื่อนไขบางเงื่อนไขที่ไม่ได้ระบุไว้ในประกาศเปิดประมูลขายข้าว เช่น ห้ามไม่ให้ใช้เอกสารสำแดงการส่งออกของบริษัทอื่นมาสำแดงเพื่อรับหลักประกันสัญญาคืน แต่กลับแจ้งให้กับผู้ส่งออกรับทราบด้วยวาจา นอกจากนี้ยังพบว่า ราคาข้าวที่อนุมัติขายต่ำกว่าราคาตลาดมากเกินไป อย่างราคาข้าวเจ้า 5% ราคาที่รับจำนำไว้ของรัฐบาลเกวียนละ 11,800 บาท คิดเป็นราคาข้าวสารต้นทุนอยู่ที่ราคาต้นละ 21,000 บาท แต่รัฐบาลยอมให้ประมูลไปเพียงราคาเฉลี่ยตันละ 14,500 บาท ทำให้รัฐบาลต้องประสบภาวะขาดทุนถึงตันละ 6,000 บาทรวมแล้วเป็นเงินจำนวนมากที่ต้องสูญเสียไปในครั้งนี้
นายไพโรจน์กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังมีความพยายามเร่งรัดเจรจาต่อรองราคาและมีการเปิดประมูลขายในวันที่ 6 พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งหลังจากเปิดการประมูลแล้วระหว่างวันที่ 8-11 พ.ค.ซึ่งเป็นวันหยุดราชการ ปรากฏว่า อคส.ได้ใช้เวลาดังกล่าวต่อรองราคากับเอกชนและส่งหนังสือแจ้งให้มาซื้อขายภายใน 10 วันนับจากวันที่ได้รับหนังสือ ซึ่งหนังสือได้ส่งไปเมื่อวันที่ 14 พ.ค.ทั้งที่นายกฯ ได้ยืนยันชัดเจนว่าการระบายสินค้าเกษตรฯ ทุกชนิดต้องผ่านคณะรัฐมนตรีก่อน จึงสงสัยว่าทำไมในวันที่ 14 พ.ค. อคส.จึงเรียกเอกชนมาเซ็นสัญญาซื้อขายข้าว ทั้งนี้ยังพบว่ามีการเร่งรัดให้มีการประมูลข้าวล็อตใหญ่ในฤดูกาลผลิตปี 2551 ถึงปี 2552 ทั้งที่เพิ่งสิ้นสุดฤดูกาลมา ทำให้ผู้ซื้อในต่างประเทศทำการกดราคาข้าวให้ต่ำลงถึงตันละ 3,000 บาท ทำให้ราคาข้าวเหลือเพียงตันละ 16,000-16,500 บาท ดังนั้นจึงเสนอให้รัฐบาลชะลอการประมูลข้าวไปก่อน เพราะข้าวฤดูกาลใหม่สามารถเก็บไว้ได้นาน 1-2 ปี เพื่อรอให้ได้ราคาที่เหมาะสมต่อไป
