“หมอประเวศ” ชี้เหตุแห่งความรุนแรงในสังคม เหตุคนไม่เข้าใจสิ่งไหนคือศัตรู เปรียบเป็นไก่จิกตีกันอยู่ในเข่งแห่งอำนาจ ไม่รู้ตัวว่าต้องตายไปด้วยกัน มัวแต่จิกตีขัดแย้งกันเอง แนะใช้ปัญญาของคนบินหนีจากจากเข่งโดยแนวทางสันติวิธี อย่าใช้ความรุนแรง เอาชนะใจมวลชน พร้อมเปิดสื่อให้สองฝ่ายขัดแย้งชี้แจงเหตุ ทำให้สังคมเห็นใครพูดจริง ใครโกหก ย้ำต้องเรียนรู้ปัญหาร่วมกันช่วยคลี่ปัญหา ชม “มาร์ค” นักสื่อสารด้วยเหตุและผล ทำสังคมเข้าใจเหตุความขัดแย้งมากขี้น เตือนสติ “นช.แม้ว” ปรับพื้นฐานตัวเอง มองหาความสุข ทำตนพ้นทุกข์ สอนให้มอง “คานธี-เนลสัน” คนเคยติดคุก กลับยกระดับจิตวิญญาณคน
ศ.นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส ให้สัมภาษณ์พิเศษ ASTV ถึงเหตุแห่งความรุนแรงในสังคมไทยว่า เรื่องนี้ตนมองล่วงหน้าและพูดเรื่องนี้มา 10 กว่าปีแล้ว สาเหตุแห่งความรุนแรง ประเทศไทยหนีการนองเลือดไม่พ้น ซึ่งนายสมัคร สุนทรเวช ด่าผมว่า หมออะไร ชอบพูดเรื่องนองเลือด เพราะเราอยู่ในคลื่นวิกฤตการณ์รัตนโกสินทร์ ลูกที่ 4 เป็นคลื่นลูกที่ยากที่สุด เพราะเราไม่เข้าใจว่าอะไรเป็นศัตรู ถ้าเราเข้าใจถ้าอะไรเป็นศัตรู เราจะมียุทธศาสตร์ที่แก้ไขความขัดแย้งได้ แต่เราไม่เข้าใจ เพราะมันซับซ้อน ทุกวันนี้คนไทยเหมือนไก่จิกตีอยู่ในเข่ง รอเขาเอาไปเชือดทุกตัว แต่ระหว่างนี้ก็ยังจิกตีกันร่ำไป เข่งนี้คืออะไร เข่งคือโครงสร้างอำนาจอันซับซ้อนและหนาแน่น ทุกคนอยู่ในเข่งของโครงสร้างอำนาจที่คับแคบ ทำให้เบียดกัน กระทบกัน จิกตีกัน โดยไม่รู้ว่าเราทั้งหมดจะตายไปด้วยกัน เพราะเป็นไก่ที่จะถูกเชือดหมดทุกตัว ระหว่างนี้เราก็ยังจิกตีกันอยู่ เรามองไม่เห็นเข่ง เข่งก็คือโครงสร้างอันซับซ้อน และหนาแน่น จะเห็นว่าสังคมไทยบีบคั้นเข้ามาเรื่อยๆ 10 กว่าปีเครียดเข้ามาเรื่อยๆ ขัดแย้งรุนแรงมากขึ้น จนเกือบตายไปด้วยกันหมด ทุกคนที่เรารู้จัก ทั้งนายกฯอภิสิทธิ์ก็เกือบตาย คุณสนธิ (สนธิ ลิ้มทองกุล) ก็เกือบตาย คุณทักษิณ (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) ก็เหมือนตายทั้งเป็น ดิ้นรนดิ้นพล่านไป ป๋าเปรม (พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์) ทำความดีมาตลอดชีวิต เป็นสัตบุรุษก็ว่าได้ ภายในโครงสร้างที่ขัดแย้งก็ถูกโจมตีมากมาย สถาบันพระมหากษัตริย์ก็ถูกจาบจ้วงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แสดงว่าโครงสร้างนี้บีบคั้นจนทุกคนลำบากหมด
“เพราะฉะนั้น สังคมต้องมาดูว่าเราจะจิกตีกันไปเรื่อยๆ แล้วตายหมดทุกตัว เราเป็นคนไม่ใช่ไก่ ถ้าเป็นไก่ ไม่รู้จะบินออกจากเข่ง แต่คนควรจะมีปัญญา รู้ว่าเราทั้งหมดอยู่ในความบีบคั้นร่วมกัน ต้องร่วมมือกันบินออกจากเข่ง ถ้าไม่เช่นนั้นก็จะเกิดความรุนแรงขึ้นอีก เรียกว่ามิคสัญญี หรือกลียุค ทางแก้ปัญหาเฉพาะหน้า จุดสำคัญที่สุดคือ สันติวิธี อย่าใช้ความรุนแรง จะเห็นต่างกัน จะเถียงกันทะเลาะกัน ชุมนุมเดินขบวนก็ว่ากันไป อย่าใช้ความรุนแรง ใครใช้ความรุนแรงจะแพ้ เพราะว่าสังคมปฏิเสธความรุนแรง เห็นได้ชัดเจน ไม่นิยมความรุนแรง ใครทำความรุนแรงจะเสียความนิยม การต่อสู้ไม่ใช่เอาชนะคู่ต่อสู้ คนจะเอาใจผิดเรื่องนี้ ต้องเอาชนะใจสังคม เอาชนะใจสาธารณะ คือทำสิ่งที่ถูกต้องให้สังคมรู้ว่าเรามีความตั้งใจดี มีความบริสุทธิ์ เห็นแก่ส่วนรวม ใช้ความรู้ ใช้เหตุผล ตรงนี้คือความชนะที่แท้จริง ต้องเอาชนะความดี ความถูกต้อง ชนะมหาชน อำนาจมักมาก ถ้าใช้ความรุนแรง อำนาจตกหมด คนรังเกียจหมดทั้งโลก เพราะฉะนั้น ความถูกต้องสำคัญ ช่วงนี้ทุกฝ่ายต้องคิดถึงการไม่ใช่ความรุนแรง” ราษฎรอาวุโส ระบุ
นพ.ประเวศ กล่าวอีกว่า ดังนั้นหน้าที่ของรัฐบาลคือต้องรักษาความสงบให้ได้ อย่าให้หลุดไปสู่ความรุนแรง สิ่งที่รัฐบาลควรทำ คือ จัดให้ฝ่ายที่มีความเห็นไม่ตรงกันมีโอกาสสื่อสารใช้ทีวีของรัฐ ฝ่ายแดง ฝ่ายเหลือง ฝ่ายอื่น ความเห็นที่ต่างกันมาใช้โทรทัศน์ คนที่รู้เห็นทั่วประเทศจะเข้ามากำกับ ใครโกหก ใครพูดถูกต้อง ใครโกหกจะเสื่อมอย่างมาก ดังนั้น รัฐน่าจะเปิดโอกาสตรงนี้จะได้ไม่ต้องให้คนมาชุมนุมเดินถนน เพราะเขาแค่ต้องการส่งข่าวสาร เนื่องจากไม่มีคนได้ยินเขา ถ้าไม่ได้ยินก็ต้องก่ออะไรบ้าง เพื่อให้คนสนใจ เพราะฉะนั้น ควรจะใช้การสื่อสารของรัฐสื่อสารไปทั่วประเทศ ให้คนที่มีความเห็นต่างกันได้มาพูด เมื่อการสื่อสารดำเนินไปได้เรื่อยๆ จะไปสู่การหาความรู้กับเหตุผลมากขึ้นเรื่อยๆ นักวิชาการจะเข้ามาช่วยทำให้ชัดเจนขึ้น เป็นกระบวนการที่สร้างสรรค์มาก หากความเห็นไม่เหมือนกันก็ไม่เป็นไร มหาวิทยาลัยก็เข้ามาสร้างความรู้ให้คนดู เพื่อให้คนฟังทั้งประเทศได้ฟังความเห็นที่ต่างกัน สังคมทั้งหมดจะพัฒนาขึ้น
ชม “มาร์ค” นักสื่อสารด้วยเหตุและผล ทำสังคมเข้าใจมากขึ้น
ราษฎรอาวุโสระบุอีกว่า สังคมไทยต้องเรียนรู้ร่วมกัน เพราะว่ามีความซับซ้อนมาก ต้องเข้าใจในเรื่องสันติวิธี ทางออกไม่มีด้วยการใช้ความรุนแรง หรือด้วยอำนาจ ไม่ว่าอำนาจรัฐ อำนาจปืน หรืออำนาจเงิน ก็ไม่ใช่ออก แต่ต้องมาเรียนรู้ร่วมกัน จะไม่ได้ด้วยอำนาจ จะปฏิวัติรัฐประหาร จะไปล้มอำนาจเก่า ใช้อำนาจเงินก็ไม่ใช่ทางออก เช่น การแก้ปัญหาความยากจนของเกษตรที่เป็นปัญหาใหญ่เกิดจากไม่ได้รับความเป็นธรรม แก้ปัญหาอย่างไรก็แก้ไม่ได้ เพราะเกิดจากโครงสร้างที่ไม่เป็นธรรม หากแก้ไม่ได้ก็จะนำไปสู่ความขัดแย้ง และรุนแรงตามมา ฉะนั้นต้องมาคิดร่วมกันว่าจะสะเดาะโครงสร้างอำนาจออกไปอย่างไร ถ้าทำได้คนก็จะหายจน เกษตรกรผู้ใช้แรงงานหายจน ประเทศจะมั่นคง ความขัดแย้งจะลดลง ดังนั้น หากสังคมทั้งหมดมีความเข้าใจ นายกฯ มีความเข้าใจ เรื่องนี้จะไปได้เร็ว เพราะนายกฯ มีคนฟังเยอะ หน้าที่ของนายกคือการชี้ทิศทาง อย่าไปทำอะไรที่มันเหนื่อยจนหมดแรง ชี้ทิศทางที่สำคัญ
“ทรูแมนเคยพูดว่า หน้าที่ของเพรสซิเดนต์ หรือประธานาธิบดี น้อยที่สุดคือการบริหาร แต่สำคัญที่สุด คือ การชี้ทิศทางที่ถูกต้อง นายกฯ คนปัจจุบันสามารถสื่อสารได้ดี คนเห็นเป็นคนสุภาพ ไม่อาฆาต สามารถพูดอะไรเป็นเหตุเป็นผลได้ ช่วงวิกฤตทำให้มีบารมีในการสื่อสาร น่าจะใช้ตรงนี้ให้เกิดประโยชน์ ซึ่งคิดว่านายกฯ น่าจะเข้าใจ แต่ต้องอาศัยความเข้าใจของสังคมทั้งหมด ไม่มีความเข้าใจของใครคนใดคนหนึ่ง หรือของสถาบันใด เพราะจะต้องพาสังคมออกจากโครงสร้างอำนาจที่ซับซ้อน และแน่นหนาได้ ตั้งแต่ความรู้สึกนึกคิดไปจนถึงโครงสร้างกลไกทังหมดเป็นเรื่องอำนาจทั้งสิ้น” นพ.ประเวศ ระบุ
ชี้เหตุรุนแรงในไทยมีมากว่า 100 ปี
สำหรับกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ นพ.ประเวศ ระบุว่า ต้องดูสังคมไทย สาเหตุที่เข้าสู่ความรุนแรงมีสาเหตุมาก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะเข้ามาบริหารประเทศแล้ว ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณพยายามดิ้นรนหาจุดลงตัวใหม่ มา 100 ปี แล้ว ตั้งแต่ครั้งรัชการที่ 5 มีเจ้านายข้าราชการระดับสูงจำนวนหนึ่ง ทำเรื่องเสนอพระเจ้าอยู่หัวว่าน่าจะปรับปรุงการปกครอง ต่อมาสมัยรัชการที่ 6 ก็มีนายทหารคิดกบฏ เปลี่ยนแปลงการปกครอง รัชกาลที่ 7 ก็เกิดเหตุ 24 มิ.ย. ปฏิวัติ 2475 จนเรื่อยมา ดังนั้นเรื่องมีมาก่อนสมัยรัชกาลที่ 5 สวรรคต ตั้งแต่ปี 2453 เกือบ 100 ปีมาแล้ว แสดงว่าสังคมไทยพยายามดิ้นรนหาจุดลงตัว 100 กว่าปีมาแล้ว แต่ยังหาไม่พบ เพราะฉะนั้นมีเหตุของความรุนแรงมีมาก่อนแล้ว
ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบร่างกายของเรา ถ้าขาดภูมิคุ้มกันก็จะติดเชื้อได้ง่าย แต่ถ้าภูมิคุ้มกันดี ก็ไม่เป็นโรค แต่สังคมไทยมีภูมิคุ้มกันต่ำมาก่อน ที่ พ.ต.ท.ทักษิณเข้ามา เพราะเขาเป็นคนเก่ง มีความสามารถสูง แต่ก็มีสิ่งอื่นด้วย มีสิ่งที่มนุษย์ธรรมดามีที่เรียกว่าสัตว์ร้าย 3 ตัว คือ ตัณหา มาน ทิฐิ ซึ่งทุกคนมีเหมือนกัน แต่ตัวของท่านมันใหญ่กว่าคนอื่น ทำให้มีความอยากได้เข้าตัวมากๆ มานะ คือ การอยากใช้อำนาจเหนือคนอื่น ทิฐิ คือ การเอาความเห็นของตัวเป็นใหญ่ ซึ่งทุกคนมี แต่ใครมีมากก็จะบีบคั้น จะทำให้ตัวเองก็ลำบาก คนอื่นก็ลำบาก พ.ต.ท.ทักษิณ เผอิญมีทั้ง 3 ตัวใหญ่มาก มันเลยเดือดร้อนกันไปหมด แต่จะโทษ พ.ต.ท.ทักษิณคนเดียวก็ไม่ได้ จะคิดว่าถ้าสังคมไทยไม่มีคนชื่อทักษิณ สังคมจะดี ก็ไม่ใช่ เราต้องดูทั้งหมดด้วย เพราะเขาดิ้นรนมาก พยายามมากเลยเสียชื่อมาก ครั้งก่อนทั้งการโฟนอิน ทั้งที่ถูกว่าส่งท่อน้ำเลี้ยง ทำให้เครดิตตกลงไป ลำบากมากขึ้น คิดต่อสู้แบบเดิมก็ลำบากสุดๆ ยิ่งมองหาความสำเร็จยาก เขาเคยมีอำนาจรัฐสูงสุดมาแล้ว อำนาจเงินก็มีมากสุด แต่ก็ยังทำมันล้มเหลวหมด
แนะ “ทักษิณ” ดู “คานธี-เนลสัน” คนเคยติดคุกกลับช่วยยกระดับจิตวิญญาณคน
ดังนั้น สำหรับท่านอดีตนายกฯ ทักษิณ ต้องเจริญสติ ให้มีความสงบ ให้เกิดความเปลี่ยนแปลงพื้นฐานในตัวเอง ถ้าทำได้จะมีค่ามากจะมีความสงบ จะเจอความสุขที่ไม่เคยเจอมาก่อน ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณก็ยังมีความเก่งอยู่ จะช่วยให้อะไรๆ มันดีขึ้น ให้มีความอ่อนน้อมถ่อมตน หนุนเรื่องดีขึ้นมา เมื่อทักษิณดี สังคมไทยก็จะดีด้วย ทั้งยังอายช่วยโลกได้ด้วย เรื่องกฎหมายก็ว่ากันไป ไม่ได้หนักหนาอะไร การติดคุกไม่ใช่เรื่องใหญ่ มหาบุรุษอย่างมหาตมะคานธี เนห์รู เนลสัน มันเดลลา เคยติดคุกทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่ มันกลับยกระดับจิตวิญญาณของผู้คนขึ้นมาอีก
“คนบอกว่าผมบ้า มัวไปหวังดีกับเขา เขาไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ผมก็ต้องหวังดีกับทุกคน คนไม่มีทางไป คนที่อยู่ในภาวะใกล้ตาย ประสบการณ์ใกล้ตาย คนจะเปลี่ยนแปลงใหม่หมดเลย เรียกว่าไปถึงจุดวิกฤตแล้ว ทั้งบุคคล ทั้งสังคม มันไม่มีทางอื่น สังคมไทย นอกจากมันมาถึงจุดวิกฤตสุดๆ ถึงจะเปลี่ยน ยกระดับไปถึงจุดลงตัวใหม่ได้ อย่าไปเศร้าโศกเสียใจอะไรเกินไป เพราะทุกอย่างมันมีเหตุปัจจัยมีที่มา ถ้าเรารักษาสันติวิธีไว้ มันเป็นโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงแบบยกระดับ อภิวัฒน์ไปสู่จุดใหม่ที่ลงตัว ที่คนไทยสามารถมาร่วมกัน มีประชาธิปไตย มีการเคารพศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ของทุกคน ตราบใดที่สังคมยังมีความไม่ชอบธรรมอยู่ ความรุนแรงจะหนีไม่พ้น เป็นหน้าที่ของมหาวิทยาลัยจะต้องมาวิจัย คลี่ตรงนี้ออกมาให้สังคมได้รู้” ราษฎรอาวุโสย้ำ
ชี้เร่งปฏิรูปท้องถิ่น ดึงฐานอำนาจจากล่างสู่บน
ขณะที่ ศ.เสน่ห์ จามริก นักสิทธิมนุษยชน อดีตประธานสถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา ให้สัมภาษณ์ในเรื่องเดียวกันว่า เหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นในสังคมไทย แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของระบบรัฐสภา ที่เป็นที่คาดหวังว่าจะแก้ปัญหาความขัดแย้งได้ แต่ก็ไม่เคยเป็นคำตอบได้เลย นอกจากนี้ ในภาคประชาชนก็กลับเหมาเอาว่าการขับเคลื่อนทางการเมืองเป็นการพัฒนาประชาธิปัตย์ เมื่อเราเลือกระบบรัฐสภามาเป็นหลัก มีรัฐธรรมนูญใหม่มาก็จบ แต่ความเป็นจริงแล้ว ฐานสังคมได้เปลี่ยนแปลง กลับมีชนชั้นหลายชนชั้นเกิดขึ้นในสังคม และเมื่อเราคิดจะล้มระบบทักษิณ ก็อย่าลืมว่าระบบทักษิณไม่ใช่แค่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นส่วนตัว แต่ต้องมอบทั้งระบบ ต้องมองกว้างออกไป การแก้ปัญหาจึงไม่จบแค่นั้น ไม่ใช่แค่การแก้รัฐธรรมนูญ แต่ก่อนชาวบ้านไม่เคยตื่นตัวอะไร ตอนนี้เขากลับลุกขึ้นมา กลับไม่มีใครมอง เมื่อเกิดปัญหาความรุนแรงขึ้น ก็ทำอะไรไม่ได้ มันแสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของสถาบันการเมืองที่ไม่สามารถแก้ปัญหาพื้นฐานได้ ดังนั้น กุญแจของอำนาจอยู่ที่ท้องถิ่น เราจะอยู่จะไปอย่างไรอยู่ตรงนี้ เราจะทำอย่างไรให้เกิดการปฏิรูปท้องถิ่น ให้มีการปรับตัว