“เปลว สีเงิน” วิเคราะห์ผ่านคอลัมน์คนปลายซอย แนะพันธมิตรฯ คิดให้รอบคอบก่อนตั้งพรรคการเมือง อย่ามองแต่ด้านบวก ระบุต้องอดทนบากบั่นและพร้อมจะเสียสละเพื่อบ้านเมือง ละทิ้งผลประโยชน์ส่วนตัวทั้งหมด ถ้าเอาจริงขอออกเสียงหนุน “สนธิ” นั่งหัวหน้า แต่แนะถอนตัวจากธุรกิจทั้งหมด ก่อนเดินหน้าลุยการเมืองใหม่
วันนี้ (22 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับวันนี้ ในหน้า 5 คอลัมน์ “คนปลายซอย” ของ “เปลว สีเงิน” ได้เขียนบทวิเคราะห์เรื่อง “สนธิ กับเส้นทางที่ตนเองไม่ได้เลือก” โดยได้กล่าวถึงงานประชุมสภาพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และรำลึก 193 วันของการต่อสู้ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต วันที่ 24-25 พ.ค.นี้ ที่จะมีการพิจารณาเรื่องตั้งพรรคการเมืองของพันธมิตรฯ ระบุว่า
“ถ้า “คุณสนธิ ลิ้มทองกุล” ไม่รับเป็นหัวหน้าพรรค ผมว่าในการชุมนุมของมวลชนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่จะจัดขึ้นวันที่ ๒๔-๒๕ พ.ค.๕๒ นี้ ที่ย่านมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต ก็ไม่จำเป็นต้องมีพิธีกรรมให้แฟนๆ ออกเสียงว่า “จะตั้งพรรค หรือไม่ตั้งพรรค?” เพราะทุกคนเข้าใจดีว่า จากทรายแต่ละเม็ด ๗ คาบสมุทรมาผนึกเป็นเทือกเขาสีเหลืองสูงสลับซับซ้อน ปานเทือกเขาตะนาวศรีจาก ๒๕๔๘ จนถึงวันนี้-พรุ่งนี้ นั้น นั่นมาจากนวัตกรรมที่ “คุณสนธิ” นั่นแหละฝนทั่งให้เป็นเข็ม จากสวนลุมพินี-มัฆวานฯ-ทำเนียบรัฐบาล จนถึงสนามบินสุวรรณภูมิ
ในเมื่อ “เบิก” ไว้ถึงขนาดนี้แล้วตัวเองไม่นำ “บุก” ต่อ มันจะได้เรื่องอะไร ซ้ำที่เหนื่อยยากมาทั้งหมดจนหวิดตายเหมือนหมาข้างถนน นั่นก็จะสูญเปล่า ไร้ค่า-ไร้ค่า ถ้าไม่ยอมเป็นตัวนำ พาพันธมิตรฯ ลุยข้ามมหานทีสู่โคนพระศรีมหาโพธิ์ สุดท้าย เทือกเขาใหญ่ก็จะละลายคืนสู่ความเป็นทรายแต่ละเม็ด!
ที่ผมมีความเห็นเช่นนี้ ไม่ใช่ยุให้ตั้งพรรค หรือยุให้คุณสนธิไปเป็นนักการเมืองเต็มตัว แต่ก็นั่นแหละ ในเมื่อคุณสนธิก้าวข้ามเส้นแบ่งสื่อ-หนังสือพิมพ์ ไปทะลุพรมแดนการเมือง และด้วยความเร็วเหนือแสงการเมืองซ้ำซาก คุณสนธิก็นำสังคมชาติพุ่งไปสู่อีกมิติหนึ่งแล้ว มิตินั้นก็คือ
มิติ “การเมืองใหม่!”
นั่นคือ คุณสนธิมาไกลชนิดก้าวข้ามมิติสู่มิติไปอีก “กึ่งทาง” แล้ว จากการก้าวข้ามนั้น ผมเอง ซึ่งเคยท้วงติง หรือจะเรียกว่าดึงขา-ดึงแข้ง มาตลอดว่า “คุณสนธิกำลังเล่นบทล้ำหน้าที่สื่อ” ระวังจะก้าวกลับไม่ได้ และในเมื่อ “ล้ำจนข้ามมิติ” ไปแล้วเช่นนี้ นั่นก็เท่ากับว่า นับแต่นี้เป็นต้นไป คุณสนธิ “พ้นเงื่อนไข” ใดๆ ทั้งสิ้นในมิติเดิมแล้ว
และบรรลุสู่มิติ “จักรวาลการเมืองใหม่” ชนิดที่ใครจะเอาเงื่อนไขเดิมใดๆ มาอ้างก็ไมได้อีกเช่นกัน!
เมื่อเป็นเช่นนี้ มันจะหลงกาล-หลงเวลา-หลงเงื่อนไขอย่างมาก ถ้าผมจะฉุดให้คุณสนธิจมอยู่ในจักรวาลสื่อเหมือนเดิม ฉะนั้น ด้วยจักรวาลเวิ้งว้างใหม่ ผมต้องยุยงส่งเสริมให้คุณสนธิ-คนใหม่ ค้นหาทาง “การเมืองใหม่” ที่ร่วมกันใฝ่ฝันนั้น และพากันบากบั่นไปให้ถึงให้จงได้
ชีวิตที่อยู่ตอนนี้คือ “ปันผล” จากเงินต้นที่รอดตาย แล้วจะเอาเงินนี้มาละเลียดไส้ไปวันๆ เพื่อรอวันตายในกาลสิ้นอายุขัย มันจะได้ประโยชน์อะไรล่ะ ใส่มันลงไปทั้งก้อนชีวิตนี่แหละ เพราะจักรวาลใหม่-การเมืองใหม่ พลังขับเคลื่อนที่จะส่งกระสวยขึ้นไปสู่ มันจะต้องเผาไหม้ให้ความร้อนระดับหมื่นองศาฟาเรนไฮต์ขึ้นไปนั่นเชียว!
เรื่องอย่างนี้ มัวพูดอ้อมค้อมอยู่ก็ป่วยการ ผมจึงต้อง “ถามตรง-ตอบตรง” ตามสิทธิ์ที่จะออกเสียงได้ ๑ เสียงมิใช่หรือ เพราะผมเข้าใจว่า
การตั้งพรรคนั้น-ไม่ยาก
การทำให้พรรคอยู่-ก็ไม่ยาก
แต่พรรคที่อยู่ สามารถทำให้บ้านเมืองอยู่นี่ซิ...มันยาก
และเมื่อบ้านเมืองอยู่ จะรักษาอุดมการณ์พรรคให้อยู่ด้วย..นี่ยิ่งยาก!!!
การทำให้บ้านเมืองอยู่ พรรคอยู่ เรียกว่า “อยู่” คู่กันได้ นั่นก็หมายความว่า จากวันนี้ ถึงวันหน้าอันมีความสำเร็จสู่ปณิธานการเมืองใหม่ “คนก็จะไม่เปลี่ยนไป” กลายเป็นเสือหิว-เสือโหยฉีกบ้านเมืองเป็นอาหาร
ก็ตรงนี้แหละ..แล้วจะมั่นใจได้อย่างไรว่า ถ้าตั้งพรรคพันธมิตรฯ ขึ้นมาแล้ว จากคนที่หวังดีต่อชาติบ้านเมือง โดยยังไม่มีอำนาจกินบ้าน-กินเมืองในวันนี้ จะไม่กลายเป็นเสือหิว-เสือโหยในวันที่มีอำนาจกินบ้าน-กินเมืองอยู่ในมือในวันนั้น?
ฉะนั้น ต้องเริ่มบททดสอบและเคี่ยวกรำสันดานมนุษย์อันล้วนเกิดมาแต่สิ่งบาปหยาบช้าด้วยกิเลส-ตัณหาเสียแต่เดี๋ยวนี้ว่า สามารถมีธรรมเป็นเครื่องยับยั้ง-ชั่งใจ จะไม่ยอมให้ “จิตใฝ่ต่ำ” ครอบงำยามมีอำนาจวาสนาได้ขนาดไหน?
นั่นก็หมายความว่า บรรดาพันธมิตรฯ ที่คิดการณ์ตั้งพรรคในวันนี้ อย่าคิดด้าน+ด้านเดียว คิดเผื่อด้าน-ไว้ด้วยว่า ถึงที่สุดแล้ว จะอดทน เสียสละ และพร้อมบากบั่น เคี่ยวกรำสู่เป้าหมาย “การเมืองใหม่” หนักแน่น-จริงจังชนิดตายเป็นตายเพื่ออุดมการณ์นั้นกันแน่หรือ?
ถ้าแน่...ขั้นแรก แกนนำ รุ่น ๑ ทั้ง ๕ คน คุณสนธิ คุณจำลอง คุณพิภพ คุณสมเกียรติ และคุณสมศักดิ์ พร้อมกับอีก ๑-สุริยะใส ต้องสำรวจแล้วตอบกับตัวเองว่า พร้อมสละงาน สละอาชีพ สละรายได้อื่นใดในขณะนี้ เพื่อทุ่มเทชีวิตสู่ “การเมืองใหม่” ผ่านเส้นทางการเมืองระบบพรรคหักด่านสู่ระบบรัฐสภาเต็มตัวได้หรือไม่?
พิษเท่านั้นใช้ล้างพิษ
ก็เช่นกัน....
รัฐสภาเท่านั้นใช้ล้างรัฐสภา!
ใน ๕+๑ คนนั้น มีคุณสมบัติ มีศักยภาพ มีพลังสู่การเมืองใหม่แตกต่างกันไป ทั้งหมดมีความสำคัญที่จะขาดคนใด-คนหนึ่งไปไม่ได้ในภาวะนี้ และทั้งหมดนี้
สนธิ ลิ้มทองกุล ต้องนำในฐานะ “หัวหน้าพรรค”!
ยอมมั้ย...ถ้าไม่ยอม อย่าตั้งเพื่อทะเลาะในวันหน้า แล้วก็ล้มชนิดใครก็ไม่มองหน้าใคร ซึ่งมันเป็นเรื่องน่าเสียดายนัก และถ้าทั้ง ๕+๑ แสดงให้เป็นที่ปรากฏต่อสาธารณะชัดเจนว่า “แตกคอกัน” นั่นก็หมายความว่า ทั้งมวลชนพันธมิตรฯ ที่แพร่หลายขยายพันธุ์ไปทั้งประเทศแล้วนั้น
ก็ถึงวันแปรสภาพสู่ตำนานให้เล่าขาน...กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว.....!
ผมจะไม่พูดในประเด็นเป็น “ข้ออ้าง-เงื่อนไข” ว่าคุณสนธิไม่สามารถเป็นหัวหน้าพรรคได้ เช่นเงื่อนไขคดีความทั้งในอดีตและปัจจุบัน เป็นต้น เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น ก็เป็นเหตุสุดวิสัย จะว่าใครไม่ได้ แต่ผมจะพูดในเชิง “บททดสอบ” แห่งการเสียสละที่ต้อง “เสียสละ” ตั้งแต่วันนี้จริงๆ ถ้าคุณสนธิต้องเข้าสู่การเมืองระบบรัฐสภา แทนการเมืองดาวกระจายตามท้องถนน
นั่นคือหน้าที่ การงาน และการลงทุนในความเป็น “ธุรกิจสื่อ” ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการ โทรทัศน์ดาวเทียม ASTV และนิตยสารทุกชนิด คุณสนธิต้อง “ถอนตัว” ทั้งหมด
ตัวคุณสนธิเป็นสื่อได้ แต่ต้องไม่เป็นเจ้าของ “ธุรกิจสื่อ” นี่คือเงื่อนไขกฎหมายที่ระบุบ่งไว้สำหรับคนที่จะเป็นนักการเมืองตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน แต่ผมเข้าใจว่า ทุกวันนี้ ทางนิตินัย คุณสนธิอาจไม่ได้มีชื่อเป็นเจ้าของธุรกิจสื่ออยู่แล้ว แต่ด้วยภาพทางปฏิบัติตนสังคมล้วนเข้าใจว่าคุณสนธิเป็นเจ้าของธุรกิจสื่อมาตลอด
ทั้งโทรทัศน์ดาวเทียม ASTV ทั้ง ASTV ผู้จัดการ และนิตยสารรายต่างๆ นั้น ผู้คนปักใจว่าเจ้าของคือคุณสนธิทั้งนั้น แต่ผมว่าในความล้ม (ละลาย) แล้ว-ล้มอีกของคุณสนธิ คงไม่เหลือหลอให้มีชื่อเป็นเจ้าของหรอก!
แต่ก็นั่นแหละ จะอาศัยแค่ความจริงอันเป็นเบื้องหลังเป็นที่ตั้ง โดยไม่เคลียร์กับสังคมให้ชัดเจนว่า “ไม่ได้เป็นเจ้าของธุรกิจสื่อ” แล้วมาตั้งพรรคการเมือง มันก็จะเป็นข้อครหาให้พูดจาใส่ไคล้ให้รำคาญกันไปเปล่าๆ และเพียงแต่พูดเคลียร์ โดยไม่ทำให้เคลียร์ด้วยการแยกตนให้พ้นเครือข่ายสื่อ
มันก็จะยื้อกันไปไม่จบ!
นี่แหละ ประเด็นการตั้งพรรค มันจะตัดภาพให้ขาดจากโยงใยธุรกิจสื่อที่ผูกภาพติดกันมานานได้ขนาดไหน อย่างไร มันเป็นเรื่องเล็กๆ ก็จริง แต่ถ้าไม่แยกให้ขาดเบ็ดเสร็จกันออกไป วันหน้าอาจมีอันธพาลหยิบเรื่องเล็กมาทำให้เป็นเรื่องใหญ่ เป็นตำหนิ “การเมืองใหม่” ไปเปล่าๆ
อีกด้านหนึ่ง กำลังรบภาคสนามในนามพันธมิตรฯ ปรากฏว่า คนและอุปกรณ์สื่อในเครือข่ายผู้จัดการระดมออกมารบเกือบเต็มพื้นที่ ถ้าลงมติให้ตั้งพรรคกันขึ้นมาจริงๆ ยิ่งเลือกคุณสนธิเป็นหัวหน้าพรรค นั่นแสดงว่าต้อง “แยกขาด” จากธุรกิจสื่อ คำถามก็คือ
สื่อ-ผู้จัดการ ขาดคุณสนธิเสียคน ธุรกิจไม่ป่นเป็นแป้งหรือ?
และนักรบสื่อหลายคน ก็อาจต้องตัดสินใจเลือกว่า “จะเอาดีข้างไหนเต็มตัว?” ทำไป-ทำมา พรรคก็ยังไม่ถึงไหน ธุรกิจสื่อหนังสือพิมพ์-โทรทัศน์ก็จะพังพาบตามกันไป ฉะนั้น ต้องคิดให้รอบคอบหลายด้าน และนั่นคือที่ผมบอกว่า..
เพื่อการเมืองใหม่ตามปณิธาน ด่านแรก ต้องตัดใจ แล้วเสียสละให้ได้ก่อน!
ทำงานใหญ่ ถ้าหวังจะสำเร็จ ต้องหวังจากตัวเองก่อน ถ้าไปหวังเอาจากคนอื่น อย่าดีกว่า ชุมนุมเล่นดนตรีเฮฮา แล้วพากันกลับไปนอนเถอะ!
ครับ..พันธมิตรฯ คนไหนก็อย่ามาว่าผมนะ เพราะนี่คือการใช้สิทธิ์ออกเสียงของผมในฐานะที่ถูกตราหน้ามาตลอดว่า “เป็นพวกเสื้อเหลือง” ส่วนคนอื่นๆ จะออกเสียงเอาอย่างไร ก็เอาไปรวมนับกันในวันนั้น มากข้างไหน ต้องเป็นไปอย่างนั้นนะ-อย่าเบี้ยว....”