“ที่สำคัญงานนี้คนที่ได้ประโยชน์เต็มๆ ก็คือ นช.ทักษิณ ชินวัตรและเมื่อมีแต่ผลบวก มันจึงช่วยไม่ได้ที่จะต้องมีเหตุจูงใจให้หันกลับมาเล่นเกมนี้อีกครั้ง เพราะรู้อยู่แล้วว่ามันคุ้มค่า อีกทั้งทำให้สังคมได้เห็นว่ามัน “ชอบธรรม” เล่นตามกติกา
--------------------------------
ข่าวความเคลื่อนไหวของ “ยงยุทธ วิชัยดิษฐ์” จะลาออกจากเก้าอี้หัวหน้าพรรคเพื่อไทยภายในวันสองวันนี้ ถือเป็นความเคลื่อนไหวอีกครั้งหนึ่ง เพราะหากพิจารณาอย่างเข้าใจก็นับเป็นสัญญาณการปรับตัวครั้งสำคัญ ซึ่งต้องพิจารณาจากหลายองค์ประกอบ
เริ่มจากกรณียงยุทธ ต้องยอมรับว่าในอดีตมีความแนบแน่นกับ นช.ทักษิณ ชินวัตร รวมทั้งระบอบทักษิณมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน แต่บทบาทดังกล่าวหากกล่าวกันอย่างตรงไปตรงมาก็ต้องเรียกว่าออกมาในลักษณะเป็นการ “รับใช้” มากกว่า
หากนับตั้งแต่กรณี “ธรณีสงฆ์” อันอื้อฉาว รวมทั้งการได้ตำแหน่งปลัดกระทรวงมหาดไทยย้อนหลัง และนั่งเก้าอี้เพียงไม่กี่วัน หรือจนกระทั่งถูกดันก้นขึ้นมานั่งตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย
แต่ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาจากบทบาทในตำแหน่งผู้นำพรรคเพื่อไทย ในช่วงไม่กี่เดือนก่อนก็ต้องบอกว่า ไม่มีอะไรน่าสนใจและไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเขาไม่ได้เป็น ส.ส.ทำให้ไม่ได้แสดงบทบาทนำในสภา หรือที่สำคัญอาจเป็นเพราะขาด “บารมี” จึงทำให้การทำกิจกรรมของพรรคจึงออกมาในลักษณะต่างคนต่างทำ คุมกันไม่ติด
และถ้าให้สรุปถึงผลงานการทำหน้าหัวหน้าพรรคเพื่อไทยของยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ ก็ถือว่าไม่ประสบผลสำเร็จ ซึ่งความไม่ประสบผลสำเร็จดังกล่าวย่อมหมายรวมไปถึง นช.ทักษิณ ด้วย เพราะได้ผลักดันมาตั้งแต่ต้น
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนกันใหม่
องค์ประกอบถัดมาที่น่าสนใจก็คือการถูกบีบให้ลดบทบาทของ “สามเกลอ” กับพวก กรณีดังกล่าวประเด็นน่าจะมาจากความพ่ายแพ้ย่อยยับจากเหตุการณ์จลาจลเผาบ้านเผาเมืองในวันสงกรานต์ ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการประเมินสถานการณ์ผิดพลาด ต้องการทุ่มสรรพกำลังโค่นรัฐบาลแบบ “ม้วนเดียวจบ” แต่เมื่อทุกอย่างพลิกผัน แนวร่วมหดหาย ธาตุแท้ถูกเปิดเผยออกมา
แถมบรรดา “หัวโจก” ที่เคยถูกผลักดันออกสู่แนวหน้าถูกจับกุมดำเนินคดีกันระนาว ทำให้เคลื่อนไหวไม่สะดวก ก็ต้องถอยร่นกลับมาในที่ตั้งกันใหม่
เพราะหากยิ่งตื้อออกมากดดันกลางถนนอยู่ตลอดเวลา มวลชนก็จะยิ่งถอยห่าง โดยเฉพาะมวลชนที่เคลื่อนไหวด้วยความบริสุทธิ์ เอาเป็นว่าแนวทางการเคลื่อนไหวนอกสภาประเภทจะใช้เป็นกำลังหลักแบบโดดๆเหมือนเช่นในอดีต เพื่อขับไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นาทีนี้คงไม่เหมาะสมอย่างแน่นอน เพราะยิ่งดันก็ยิ่งติดลบ ภาพผู้ร้ายยังติดตัวไปถึง นช.ทักษิณ อีกด้วย
เมื่อกระบวนการดังกล่าวไม่เป็นใจ โดยเฉพาะบรรยากาศการเคลื่อนไหว “กลางถนน” ก็ต้องหันเหเข้าสู่บรรยากาศ “ภายใน” ในที่นี้ก็ย่อมหมายถึง “ในสภา” ซึ่งเป็นเกมการเมืองอีกรูปแบบที่กำลังถูกดันออกมาเล่นซ้ำใหม่ โดยเฉพาะในช่วงที่ประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
และนาทีนี้ประเด็นที่กำลังถูกนำมาขยายผลกันอย่างเอาจริงเอาจังก็คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 237 ต้องการให้เป็นความผิดเฉพาะบุคคล กรรมการบริหารพรรคทั้งพวงไม่ต้องรับผิด หรือไม่ต้องยุบพรรค
หรืออีกมาตราก็จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการนิรโทษความผิดให้กับนักการเมืองทั้งจากบ้านเลขที่ 111 และจากบ้านเลขที่ 109 หรือยกเลิกมาตราที่เกี่ยวข้องกับคำสั่งแต่งตั้งองค์กรอิสระจาก คมช. ส่วนเรื่องอื่นๆก็เป็นแค่แก้เกี้ยวเท่านั้น
ซึ่งทุกประเด็นเหล่านี้ไม่ต้องบอกก็ย่อมรู้ว่าเป็นประโยชน์เฉพาะนักการเมืองล้วนๆ แถมยังเป็นนักการเมืองที่ทำผิดกฎหมาย โกงการเลือกตั้งแล้วศาลตัดสินให้ลงโทษ
ที่สำคัญงานนี้คนที่ได้ประโยชน์เต็มๆ ก็คือ นช.ทักษิณ ชินวัตรและเมื่อมีแต่ผลบวกมันจึงช่วยไม่ได้ที่จะต้องมีเหตุจูงใจให้หันกลับมาเล่นเกมนี้อีกครั้ง เพราะรู้อยู่แล้วว่ามันคุ้มค่า อีกทั้งทำให้สังคมได้เห็นว่ามัน “ชอบธรรม” เล่นตามกติกา
เมื่อพิจารณาความเคลื่อนไหวทุกอย่างมาประกอบกันตั้งแต่ต้น ก็จะเห็นว่าคนที่คุมเกมสั่งการอยู่เบื้องหลังก็ยังเป็น นช.ทักษิณ ชินวัตร ผ่านทาง “นอมินี” เพียงแต่เปลี่ยนหน้า สลับบทบาทเข้ามาเล่นใหม่ โดยพลิกแพลงตามสถานการณ์ นั่นคือ เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไปก็กลับเข้ามาเล่นในสภา เพื่อเร่งให้แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อลบล้างความผิด
ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงหัวหน้าพรรคเพื่อไทยจากยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ เป็น “หุ่นเชิด” คนอื่นที่จะเกิดในสัปดาห์หน้า ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเป้าหมายเพื่อหวังผลประโยชน์ทางการเมืองสูงสุด ขณะเดียวกันก็ยังคงองค์ประกอบอื่นๆที่เคยทำมาก็ยังดำเนินอยู่ต่อไป แต่จะลดระดับความเข้มข้นลงไป พร้อมทั้งปรับแนวทางการเคลื่อนไหวให้รัดกุม ลดอาการโฉ่งฉ่างเหมือนในอดีต
อย่างไรก็ตามไม่ว่ามองในมุมไหนก็ย่อมมี นช.ทักษิณ เข้ามาเอี่ยว เพียงแต่ปัจจุบันกำลังอยู่ในช่วงของการปรับขบวน เพราะเห็นโอกาสจากเกมในสภา โดยเฉพาะจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป้าหมายก็เพื่อลบล้างความผิด ประเด็นไม่มีอะไรซับซ้อนมากไปกว่านี้จริงๆ !!