เร่งเครื่องเต็มที่หลังผ่านอุบัติเหตุทางการเมือง หวังเคลียร์ทุกอย่างที่คั่งค้างให้เสร็จ แต่ก็ต้องสะดุดถูกลากยาวออกไปอีก
กับการที่รัฐบาลประกาศเลื่อนการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน และประเทศคู่เจรจา6ประเทศออกไป จากตารางเวลากำหนดการประชุมวันที่13-14มิถุนายนนี้ ที่จังหวัดภูเก็ต ไปเป็นช่วงเดือนตุลาคม
เป็นกรรมเวร ที่ประเทศไทย และคนไทยทั้งชาติจะต้องชดใช้กันต่อไป
คือ“กรรม”ต่อเนื่องจาก “วีรเวร”ที่หลายฝ่ายร่วมทำเข็ญเมื่อคราวเหตุสงกรานต์ทมิฬ ม็อบเสื้อแดงบุกล้มโต๊ะประชุมอาเซียนบวก6 ที่พัทยา จ.ชลบุรี
วันนี้ก็คงได้รู้กันแล้ว ไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่หนักหนาสาหัสสากรรจ์ กับการต้องมากอบกู้ชื่อเสียง ภาพลักษณ์ของประเทศที่เสียหายยับเยิน ความเชื่อมั่นของประเทศต้องบรรลัยวายวอดไป
เพราะฝีมือใคร?
ฝ่ายรัฐบาล โดยนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ กับการคุมสถานการณ์ไม่อยู่ ปล่อยให้เกิดเหตุล้มประชุม จนต้องมา“หน้าแหก”ในครั้งนี้
เช่นเดียวกันกับ เสนาบดี รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคง ทั้งตำรวจ ทหาร ในความล้มเหลวที่เมืองพัทยา ที่กลายเป็นแดนทมิฬไปชั่วคราวในครั้งนั้น
ที่เสนอหน้าออกทางโทรทัศน์ โชว์ความพร้อมอย่างเข้มแข็งในการดูแลความสงบเรียบร้อยกับการประชุมครั้งใหม่ ไม่ได้เพิ่มความมั่นใจ เพราะครั้งที่พัทยา ก็โชว์ออฟด้วยปาก เช่นครั้งนี้
ยังไม่รวมข้อครหา กับเกม “สมคบคิด” มี“บางฝ่าย-บางคน” ร่วมกันวางหมากเกม เพราะ “จงใจ”ให้เกิดเหตุ เพื่อ “ผลบางประการ”
เอาประเทศชาติบ้านเมือง สังเวยความอยากได้ไคร่ดี?
แต่ที่ต้องขึ้น“บัญชีหนังสุนัข” ผู้ก่อเหตุเสียหาย กลุ่ม“คนเสื้อแดง”บางส่วน ที่มีส่วนร่วมสร้างผลงานชิ้นโบดำ อัปลักษณ์อัปรีย์!
ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย ที่บุกตะลุยอย่างบ้าคลั่ง มันเสียหายหนักหนาต่อชาติบ้านเมืองแค่ไหน อีกทั้งคนที่เชื่อว่าเป็น“มารรากหญ้า”ยุยงให้ทำ ก็ไม่ใช่“เพื่อมวลชน”อย่างที่ชื่นชมงมงาย
แน่นอน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดี ที่ปลุกปั่นชัดเจน หลังเสื้อแดงก่อการล้มประชุมอาเซียนที่พัทยา ถึงขนาดปราศรัยข้ามประเทศชื่นชม ประกาศชัยชนะบนซากปรักหักพัง
อีกทั้งผู้นำบนเวทีเสื้อแดง ทั้ง “หัวขวดทั้งสาม” และที่ต้องกระตุ้นต่อมสำนึกกันหนักๆ กี้ร์-อริสมันต์ พงศ์เรืองรอง อดีตนักร้อง ที่กลายมาเป็นทาสรับใช้คนหน้าเหลี่ยม
ใครบางคนทำงานนี้ เพื่อหวังหลุดคดีรับเงินใต้โต๊ะ 27 ล้านบาทในโครงการซื้อที่ดินบ้านเอื้ออาทร ตั้งแต่ผันตัวเองเป็นนักการเมือง แก้มป่องกว่าก่อนเพราะอมทั้งฮอลล์ทั้งเงิน
ย้อนพูดถึง “นายอรันต์สมิส” ต้องยอมรับว่า“ใจถึง” จริงๆ ขนาดก่อกรรมด้วยน้ำมือตัวเองแท้ๆ ยังไม่รู้สำนึกผิดชอบชั่วดี ประกาศจะบุกการประชุมที่ภูเก็ตอีกรอบ ต้องบอกว่า “ใจด้านพอ”จริงๆ
ที่ต้องขุดคุ้ยเรื่องเก่ามาเล่าความ เพราะต้องการชี้ให้เห็นผลกระทบจากเหตุล้มโต๊ะและต้อง เลื่อนการประชุมอาเซียนและคู่เจรจาออกไป ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ
หากเจาะลึกเข้าไป จะเห็นความเสียหายสืบเนื่องจากเหตุล้มประชุมครั้งก่อน เพราะไม่ใช่ความไม่พร้อมของบางประเทศ ด้วยภารกิจ ติดธุระ แต่ของจริงมันมากกว่านั้น
ข้อสังเกตเหตุผลที่ยกมาเอ่ยอ้างเพื่อโจมตีรัฐบาล ในเว็บไซต์เครือข่ายทางโลกไซเบอร์ของกลุ่มคนเสื้อแดง ก็สอดคล้องกับเป็นจริง แต่เป็นความจริงบางส่วน
โดยเฉพาะที่ว่า ประเทศคู่เจรจา ไม่มั่นใจในสถานการณ์ความแตกแยกขัดแย้งในไทย ที่ยังสุ่มเสี่ยงเกิดเหตุรุนแรงทุกเมื่อ รวมทั้งในเรื่องความมั่นคงของรัฐบาลบริหารประเทศของรัฐบาลประชาธิปัตย์ และนายกฯอภิสิทธิ์
แต่ที่เครือข่ายบนโลกออนไลน์ของกลุ่ม “เสื้อแดง”บอกไม่หมด ก็คือความเสียหายของบ้านเมืองไทยที่เกิดขึ้น ฝ่าย “ม็อบเสื้อแดง”ก็มีส่วนสำคัญ ที่นานาประเทศยากที่จะยอมรับเช่นกัน
พอๆกับความไม่เชื่อถือในตัว ทักษิณ ที่ถูกตั้งข้อสงสัยในพฤติกรรม เป็น “ตัวการ”สร้างความรุนแรงปั่นป่วนในประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา
และนานาประเทศไม่ได้มองว่า“คนเสื้อแดง”กระทำการที่สร้างสรรค์ มวลชนบ้าคลั่งบางส่วนของม็อบเสื้อแดงที่ผ่านมา คือพลังของการทำลายล้าง
ความจริงทั้งหมด ที่ไม่ได้ผ่านการตกแต่งให้สวยหรู ก็คือว่า ณ วันนี้ ประเทศไทยในสายตาของนานาประเทศ เขา“ขาดความเชื่อมั่น” เมื่อสถานการณ์ในบ้านเมืองเรายังเป็นอยู่เช่นทุกวันนี้
ข้อมูลทางลับ หลายประเทศลังเล และบอกปัดที่จะเดินทางมาประชุมที่ประเทศไทย!
ไม่ใช่เฉพาะประเทศกัมพูชา ที่ออกอาการยึกยักทุกครั้งในการเดินทางมาประชุมในไทย ด้วยเกมการเมือง ท่าทีการทูตระหว่างประเทศที่กำลังกระทบกระทั่งกันตามแนวชายแดน
แต่ประเทศสำคัญพี่เบิ้มแห่งเอเซียอย่างจีนกับญี่ปุ่น ว่ากันว่าไม่ส่งสัญญาณตอบรับที่จะมาประชุมในช่วงเดือนมิถุนายน ตามกำหนดการที่ไทยเสนอไป โดยเฉพาะผู้นำจีนยังขยาดไม่หายในการประชุมครั้งที่แล้ว นายเหวิน เจีย เป่า นายกรัฐมนตรีของจีนต้องมาเสี่ยงกับอันตรายในสถานการณ์ม็อบเสื้อแดงบุกล้มการประชุม
ครั้งนั้นผู้นำมหาอำนาจจีน ต้องเผ่นหนีออกจากโรงแรมชนิดระทึกขวัญ
เช่นเดียวกับนายลีเซียนลุง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ต้องเดินลงลุยน้ำไปลงเรือด่วน เพื่อขึ้นเครื่องบินกลับประเทศ แทนการขึ้นเฮลิปคอปเตอร์ ที่ทางการไทยจัดไว้ เพราะไม่มั่นใจว่าฝูงชนที่บ้าคลั่ง อาจทำได้ทุกอย่าง แม้แต่ก่อเหตุกับพาหนะเดินทางทางอากาศ
หรือแม้แต่ในกลุ่มอาเซียน นางกลอเลีย อาโรโย ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ที่การประชุมที่พัทยา ขนบอดี้การ์ดมาถึง70คน เป็นกองกำลังอารักขา พร้อมอาวุธมาอีกนับสิบลังที่ต้องเดินทางด้วยเครื่องบินแบบเช่าเหมาลำ ก็สะท้อนให้เห็นถึงความไม่มั่นใจในมาตรการรักษาความปลอดภัย
ยังมีอีกหลายประเทศ ที่แม้ฝ่ายไทยจะยอมให้ขนกองกำลังบอดี้การ์ดมาได้ รวมทั้งยินยอมที่จะให้มีการพกอาวุธ แต่ก็ลังเล ที่จะมาร่วมประชุมในยามที่สถานการณ์ของไทยเป็นอยู่ในขณะนี้
หรือในสายตาชาวโลก ประเทศไทยกลายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนแดนทมิฬไปแล้ว!
ทุกคนก็คงรับทราบกันได้ เพราะตั้งแต่การประชุมอาเซียนและประเทศคู่เจรจาต้องจบลงโดยไม่โสภา ที่เมืองพัทยา จ.ชลบุรี สถานการณ์เข้ารูปเข้ารอย แต่ยังไม่อยู่ในภาวะน่าไว้วางใจ
ช่วงนั้นข่าวสารจากประเทศไทยปรากฏสู่สายตาชาวโลก ถึงเหตุการณ์ก่อจลาจลเผาบ้านป่วนเมืองในช่วงสงกรานต์ทมิฬ ทั้งระเบิดเพลิง รถแก๊ส การเผารถเมล์ โดยกลุ่มคนเสื้อแดง
อีกทั้งในสถานการณ์ที่ตามมา กรณีการลอบสังหารคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้นำตลอดกาลของสื่อASTVผู้จัดการ และแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ด้วยอาวุธสงครามนานาชนิด อย่างอุกอาจ ในช่วงประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทหารเกลื่อนเมือง
เป็นเหตุรุนแรง มิคสัญญีกลียุคของไทย ที่ชาวโลกได้รับรู้
ยังไม่รวมกับ ความปลอดภัยของบุคคลสำคัญในประเทศไทย ไล่ตั้งแต่นายกฯ อภิสิทธิ์ รองนายกฯ สุเทพ เทือกสุบรรณ ไปจนกระทั่งรัฐมนตรีที่ต้องเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยในสถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจ
โดยเฉพาะนายกฯอภิสิทธิ์ ถึงขั้นที่ต้องนั่งรถกันกระสุน ในการเดินทางไปปฏิบัติภารกิจ ชุด รปภ.คุ้มกันในพื้นที่ต่างๆ แต่ละที่ยกกันมาในแต่ละวันเป็นหลักพัน ไม่รวมที่ติดตามคอยรปภ.ประจำตัว และที่บ้านพักซอยสุขุมวิท31อีก ร่วม100นาย
ทีม รปภ.จำนวนมาก ที่ต้องอาศัยเจ้าสัวใหญ่ ธนินท์ เจียรวนนท์ บริหารเสริมเสบียง ส่งรถแช่งแข็งบรรทุกข้าวกล่องในเครือซีพีมาช่วยเรื่องปากท้อง
ขณะที่ รองนายกฯ สุเทพ ก็ต้องพึ่งพารถกันกระสุนจากบริษัทเอกชน นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ต้องหยิบยืมรถกันกระสุนจากเจ้าหน้าที่ใน 3จังหวัดชายแดนภาคใต้ มาใช้
ระดับผู้นำ ผู้บริหารรัฐบาล ยังต้องเสี่ยงกันขนาดนี้ แล้วคนไทย ประเทศไทย จะหลงเหลืออะไรให้มั่นใจ หรือสยามเมืองยิ้ม ได้เปลี่ยนเป็นประเทศที่อันตรายในทุกย่างก้าวแล้วอย่างนั้นหรือ
เพราะปัญหาเกิดจากการ“ขาดความเชื่อมั่น” ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ นายกฯอภิสิทธิ์ ในฐานะผู้นำประเทศจะเร่งรีบแก้ไข เพื่อฟื้นฟูเอาความน่าเชื่อถือของประเทศกลับคืนมาโดยเร็ว
โดยเฉพาะในเรื่องความมั่นคง ที่กำลังมีภัยคุกคามอย่างหนัก
นอกจากต้องเร่งสร้างความสมานฉันท์ รักษาบาดแผลของความขัดแย้งคนต่างสีเสื้อ ทำความเข้าใจกับกลุ่มคนที่หลงงมงายไปกับการปลุกปั่นของอดีตผู้นำ และแกนนำไร้ความรับผิดชอบ
และนอกจากสร้างกฎกติกาให้มีมาตรฐาน เป็นที่ยอมรับ ยังต้องรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของการบังคับใช้กฎหมาย
กับเหตุการณ์ล้มประชุมอาเซียน การก่อจลาจลในพื้นที่กทม. จนกระทั่งเหตุลอบสังหารคุณสนธิ และประธานศาลฎีกา รวมทั้งการลอบวางระเบิดในหลายจุดที่ผ่านมา ทั้งหมดต้องเร่งสะสางในทางกฎหมายคดีความให้ประจักษ์ ลากคอผู้กระทำความผิดมารับโทษทัณฑ์ให้ได้
ที่สำคัญ หน่วยงานด้านความมั่นคง ดูแลความสงบเรียบร้อยในประเทศชาติบ้านเมือง เป็นจุดที่ “อภิสิทธิ์”ต้องให้ความสำคัญ
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ไปจนกระทั่งผู้บัญชาการแต่ละเหล่าทัพ รวมทั้งตำรวจฝ่ายรักษาความมั่นคง พล.ต.ท.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ก็ยังออกงานสังคมหน้าระรื่นกับวิระยา ชวกุล แสดงว่าคอนเน็ทชัน นช.ทักษิณยังประมาทไม่ได้ และตำรวจยังไม่น่าไว้ใจ!
เป็นจุดที่ต้องมีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง แก้ไข เพราะบุคคลเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ประสบความล้มเหลวในการทำหน้าที่จากเมื่อครั้งม็อบเสื้อแดงบุกล้มการประชุมอาเซียนและประเทศคู่เจรจา ที่เมืองพัทยาในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา
ยังไงเสีย โอบมาร์คต้องตัดสินใจยกเครื่อง!
ทั้งหมดเป็นเรื่องที่“นายกฯอภิสิทธิ์”จะต้องพิจารณา คิดหาช่องทาง ต้องกล้าหาญที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง ปรับปรุงกลไกอำนาจ แม้จะต้องเผชิญหน้ากับแรงต้านของขั้วฝ่ายต่างๆ
หากคิดจะเรียก “ความเชื่อมั่น”ของประเทศกลับคืนมา เพื่อสร้างศรัทธาความน่าเชื่อถือจากประชาชน สร้างการยอมรับจากนานาชาติ ฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประเทศไทยให้กลับมา
ต้องหาญกล้า ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้นำ!
ดังนั้น การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนบวก 6 จะเป็นสิ่งพิสูจน์ความมั่นใจของนานาชาติต่อไทย ซึ่งการประชุมดังกล่าวจะส่งผลดีต่อเอเซียทั้งหมด เพราะเป็นยุทธศาสตร์การผนึกเอเซียเข้าด้วยกัน เพื่อกอบกู้สถานการณ์วิกฤติเศรษฐกิจการเงิน หากภูมิภาคไหนฟื้นไข้เศรษฐกิจก่อน ได้เปรียบแน่ในอนาคต
แต่ถ้าจีนกับญี่ปุ่นไม่กล้ามาร่วม ก็ไร้ความหมาย จัดเพียงลำพังในกลุ่มอาเซียนก็ได้อยู่หรอก แต่มันไม่ต่างจากบวชพระไม่มีพระอุปฌาชย์น่ะซี...โยม