คนส่วนใหญ่มีความกังวลว่า ต่อจากนี้บ้านเมืองเราจะเดินไปทางไหน ความแตกแยกจะถูกถ่างกว้างขึ้นอีกหรือไม่ หรือความขัดแย้งที่มีอยู่ จะถูกสลายไปได้ด้วยแนวทางการสมานฉันท์ปรองดอง ที่มีการรณรงค์สร้างค่านิยมชักจูงกันอยู่ในขณะนี้
คำตอบนั้นยังล่องลอยตามสายลม คงต้องโยนให้เวลาในอนาคตเป็นตัวบอก
อย่างไรก็ตาม คงไม่มีใครคิดบ้าอยากจะมีชีวิตอยู่ในสังคมที่ใช้ความรุนแรงเป็นมาตรการตัดสินปัญหาในทุกๆเรื่อง ทุกคนอยากให้บ้านเมืองกลับมาสู่สภาวะของความสงบสันติกันทั้งนั้น
ยิ่งคนไทยที่เกิดและมีชีวิตผูกพันวัฒนธรรมแบบลุ่มน้ำ ที่มีพื้นฐานจิตใจรักความสันติ ไม่ชอบทำการสงคราม ก็ย่อมไม่ปรารถนาที่จะมีวิถีชีวิตอยู่บนความขัดแย้งที่ต้องต่อสู้เข่นฆ่ากันเพื่อให้ชีวิตอยู่รอด
สำคัญอยู่ที่ว่า แนวทางการเข้าไปสู่การสมานฉันท์ปรองดองที่คนไทยส่วนมากใฝ่หานั้น จะมีใครคนไหน หรือกลุ่มบุคคลกลุ่มไหนออกมานำความสามัคคีในหมู่คนไทยทั้งประเทศให้ไปถึงเป้าหมายได้
กลุ่มบุคคลหลายกลุ่มที่ประกาศจุดยืนไม่เห็นด้วยต่อการที่คนไทยใช้ความรุนแรงในการตัดสินปัญหาความขัดแย้ง ได้ออกมาให้สติแก่สังคม และเสนอตัวเป็นกรรมการห้ามมวย โดยยื่นแนวทางสันติวิธีมาให้พิจารณาว่า
จะเป็นทางออกจากวิกฤติความขัดแย้งได้ แต่ทุกกลุ่มสันติวิธีก็โดนปฏิเสธไปทุกที
ถูกตอกหน้าแหกไปตามๆ กัน
ยังจำได้ไหม กลุ่มริบบิ้นสีขาว นำโดย นายโคทม อารียา และนายปริญญา เทวานฤมิตรกุล ก็เคยออกมาประกาศตัวเป็น “กาวใจ” ในสถานการณ์ที่ใกล้จะเกิดการปะทะขั้นแตกหักระหว่างพลังมวลมหาชนในนาม “กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” กับรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตอนนั้นดูฟอร์มของกลุ่มริบบิ้นขาวตั้งแต่ออกแขกแล้วก็มั่นใจว่า
เจ๊งแน่ๆ เพราะคนอย่าง “โคทม” กับ “ปริญญา” ไร้บารมี แล้วยังไม่กล้าที่จะตัดสินปัญหาว่า ใครถูกใครชั่วอย่างไร เหมือนมีวาระแอบแฝงซ่อนอยู่ ทั้งพูดจาท่าทีฟังดูเลอะเทอะ ปัญญาอ่อน ย้ำแต่บอกให้เลิกทะเลาะกัน ให้หันหน้าเข้ามาคุยกัน และยังมีแนวทางเสนอที่หน่อมแน้มอีกมาก
ผลลัพธ์ก็คือ ไม่มีใครฟัง และยังโดนเสียงด่าขรม
แม้แต่อาจารย์เสรี วงศ์มณฑา ยังออกมาตำหนิ กลุ่มริบบิ้นขาว เขียนบทความลงใน นสพ.ไทยโพสต์ ประจานความไม่เข้าท่าของกลุ่มนี้
หากจะมองว่า การรัฐประหารของ คมช.เป็นการยับยั้งความรุนแรงก็ไม่ผิด และก็ไม่ผิดที่มีการรัฐประหารขึ้นอีกครั้งในประเทศไทย เพราะการรัฐประหาร เป็นวิธีสุดท้ายในทางทฤษฎีรัฐศาสตร์ที่เข้ามาแก้ไขปัญหาการเมือง หากไม่มีวิธีการอื่นที่ดีกว่าจะใช้ได้แล้ว
แม้ว่า คณะรัฐประหารขับไล่ทักษิณ และลิ่วล้อออกจากอำนาจรัฐ และตัวทักษิณ ก็กลายเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี-มหาเศรษฐีผู้ไร้แผ่นดินอาศัย ตราบถึงทุกวันนี้
ความขัดแย้งยังไม่ยุติ
แต่กลับเพิ่มสูงขึ้น ลุกลามขยายวงกว้างไปมากกว่าเดิม เพราะคนที่ถูกโค่นลงจากอำนาจโดยพลังมหาชน และกองทัพ ไม่หยุดที่จะกลับมามีอำนาจอีกครั้ง มีความพยายามอย่างสูง ทุ่มเทกำลังสมอง และทุนทรัพย์ไม่อั้น สร้างพลังมวลชนทุกภาคส่วน ทั้งนักการเมืองและประชาชนเป็นเครื่องมือในการสร้างอำนาจต่อรองในทุกๆ เรื่อง
สถานการณ์หลังทักษิณสิ้นอำนาจ ประเทศไทยถูกตอกลิ่มความแตกแยกทุกจุด ทุกๆวัน ด้วยการปลุกปั่น ระดมพลออกมาก่อเหตุ เปิดสงครามการต่อสู้เพื่อยึดประเทศไทยในทุกรูปแบบ และทุกแนวรบ
ทำให้ภารกิจของกลุ่มพันธมิตรฯ ยังไม่จบ ระดมพลออกมาสู้ใน “สงครามครั้งสุดท้าย” เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 51 จัดชุมนุมยืดเยื้อเป็นเวลาสิริรวมแล้ว 193 วัน สับเปลี่ยนเคลื่อนย้ายยุทธวิธี จนถึงยุทธการยึดทำเนียบรัฐบาลเป็นฐานที่มั่น จนรัฐบาลนอมินี นายสมัคร สุนทรเวช พ้นไปตามคำวินิจฉัยของ “ศาลรัฐธรรมนูญ”
ในความผิดการกระทำอันขัดกันในประโยชน์จากการรับทำหน้าที่ พิธีกรรายการทำอาหารทางทีวี ซึ่งนายสมัคร รับค่าตัวเดือนละนับแสนบาท ในขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
โดนดาบตุลาการฟันตายไปทางการเมืองอีกคน
เป็นอาญาสิทธิ์ที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติไว้ เป็นรายที่สองในระบอบทักษิณ ซึ่งคนแรกก็คือ ลูกพี่ของสมัคร ที่โดนกฎหมายป.ป.ช. ฟันคาศาลฎีกานักการเมือง ด้วยการใช้อำนาจหน้าที่นายกรัฐมนตรีเอื้อประโยชน์ซื้อที่ดินย่านรัชดาฯ
ในราคาถูก และเลี่ยงไม่เสียภาษีโดยการใช้อำนาจนายกฯ ประกาศเลื่อนวันหยุดส่งท้ายปีเก่าขึ้นปีใหม่ออกไป เพื่อยืดวันทำการของราชการ
ใช้เป็นเงื่อนเวลาซื้อที่ดินผืนนั้น ไม่ต้องจ่ายเงินภาษีซื้อขาย ทำให้รัฐเสียรายได้นับสิบล้านบาท
ในความผิดเรื่องนี้ ทักษิณจึงไม่ได้มีแค่เซ็นชื่อในสำเนาบัตรประชาชนตนเองเพียงอย่างเดียวตามที่พูดให้กลุ่มคนเสื้อแดงหลงเชื่อ แต่คิดคดโกงประเทศชาติมาอย่างเป็นขั้นตอน คือวางแผนซื้อที่ดินจากรัฐบาลในราคาที่ปิดช่องทางการแข่งขันด้านราคา เพื่อจะได้ซื้อในราคาถูกตามที่ตนต้องการ และไม่ต้องเสียภาษีอีกต่างหาก
ความจริงประเด็นออกคำสั่งประกาศเลื่อนวันหยุด ทักษิณ น่าจะโดน “ศาลปกครอง” พิจารณาความผิดในการออกคำสั่งโดยมิชอบอีกคดี ยังไงก็ต้องโดนแน่ เพราะออกคำสั่งโดยไม่จำเป็น ไม่เหมาะสม และมีเจตนาฉ้อฉล
แล้วทักษิณกับลิ่วล้อจะบอกว่า อำนาจตุลาการกลั่นแกล้งได้อย่างไร ซึ่งเท่าที่โดนนั้น มันน่าจะเบาไปด้วยซ้ำ
สันดานของระบอบทักษิณ จะไม่ยอมรับผิดเมื่อถูกจับได้ไล่ทัน และจะหาเหตุผลข้างๆ คูๆ มาอ้างกล่าวให้ร้ายแก่ฝ่ายตรงข้ามเสมอ ทั้งออกมาอย่างเปิดเผย และใช้วิธีการปล่อยข่าวลือ เพื่อลดความเชื่อถือของฝ่ายอื่น
หลังพรรคพลังประชาชนโดน “ศาลรัฐธรรมนูญ” ลงมติเอกฉันท์ให้ยุบพรรค ก็กล่าวหาว่าตุลาการศาลสูงแห่งนี้จงใจกลั่นแกล้ง ทั้งๆที่เกิดจากความผิดของ นายยงยุทธ ติยะไพรัช ที่ทำความผิดทุจริตการเลือกตั้ง ซึ่งเรื่องได้ผ่านการพิจารณาของ กกต. หรือคณะกรรมการการเลือกตั้ง เข้าไปสู่ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง
ชี้ขาดว่า เป็นความผิดทุจริตต่อกฎหมายเลือกตั้งมาเป็นลำดับ
เป็นผลให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีหุ่นเชิดต้องตกจากเก้าอี้ และสะเทือนระบอบทักษิณ ถึงกับสิ้นเชื้อไปด้วยกัน เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2551 ซึ่งเป็นวันเดียวกันที่กลุ่มพันธมิตรฯ ประกาศสลายตัวที่สนามบินสุวรรณภูมิ
หากไม่มีการกระทำความผิดจนนำไปสู่การพิจารณาพิพากษาของศาลสูงทั้งศาลยุติธรรม และศาลพิเศษอย่างศาลรัฐธรรมนูญ ทักษิณ และพลพรรค ก็ยังมีพื้นที่ยืนในการเมือง แต่เป็นเพราะก่อกรรมทำเข็ญไว้จึงต้องรับกรรมไป
ทางออกของทักษิณที่แสดงออกมา ยังไม่หยุดที่จะหวนคืนอำนาจ ทั้งยังมีความมุ่งหมายที่จะยึดประเทศไทยให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด แม้แต่สถาบันอันเป็นที่เคารพเทิดทูนของคนไทย ก็เป็นเป้าหมายทำลายล้าง ตลอดถึงโครงสร้างการปกครองส่วนต่างๆ ก็ถูกทักษิณกระทบอย่างหนัก เช่น ระบบตุลาการ ก็ถูกใส่ร้ายป้ายสีไม่ต่างจากคณะที่ปรึกษาของสถานบันกษัตริย์อย่างองคมนตรี ก็โดนกระหน่ำหนัก
แน่นอน เหตุการณ์เมื่อวันที่ 13 เมยายนที่ผ่านมาก็บอกชัดว่า ทักษิณเลือกใช้วิธีรุนแรง และจะแรงยิ่งขึ้นถึงขั้นที่นายจักรภพ เพ็ญแข ประกาศว่า จะตั้งกองกำลังติดอาวุธเตรียมประทุษร้ายต่อประเทศไทยแล้ว
ใครคือคนใช้ความรุนแรงเห็นกันชัดๆแล้ว เป็นการเตรียมเพิ่มวิกฤติของชาติให้หนักหน่วงยิ่งขึ้น
เป็นโจทย์ที่คนไทยต้องพิจารณาร่วมกันว่า จะเตรียมการรับมือกับวิกฤติความรุนแรงที่จะเกิดรอบใหม่ โดยกลุ่มทักษิณอย่างไร? โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ต้องพิจารณาให้หนัก ก็คือขบวนการ
“เครือข่ายหยุดทำร้ายประเทศไทย”
ที่ออกมาชูประเด็นเรียกร้อง หยุดทำร้ายประเทศไทย หยุดใช้ ความรุนแรง ป่าวร้องเพื่อสร้างค่านิยมให้คนไทยได้ตระหนัก
ให้ทุกฝ่ายที่เห็นแตกต่างทางการเมืองหยุดใช้ความรุนแรงในการตัดสินปัญหา และร่วมกันแก้ไขโดยสันติวิธี
ปฏิญญาของกลุ่มนี้ ประกาศออกมามีสภาพเป็นภาวะวิสัย เลยตีขลุมกล่าวโทษขบวนการทางการเมืองที่ออกมาเคลื่อนไหวตามสิทธิไปเสียทุกกลุ่ม แม้จะปฏิเสธไม่มีเจตนาเช่นนั้นก็ตาม แต่คนที่อยู่ในวงความขัดแย้งเขาไม่อาจไม่คิด
เสมือนว่า ชี้หน้าด่ากราดไปทุกกลุ่ม มองการต่อสู้ทางการเมืองตอนนี้เหมือนสุนัขกัดกัน ปฏิญญาของกลุ่มเครือข่ายนี้ ก็ไม่ต่างจากไม้คานที่ฟาดลงมาให้ทุกฝ่ายเลิกกันไป
จึงไม่น่าแปลกใจที่คนในวงความขัดแย้ง ทั้งฝ่ายเทพ และมาร จะออกมามีปฏิกิริยาตอบโต้กลับกลุ่มหยุดทำร้ายชาติฯ อย่างไม่ต้องคิดกันนาน เพราะไม่ว่าเทพหรือมาร ต้องการให้ระบุออกมาชัดๆ เลยว่า
ใครคือคนทำร้ายประเทศไทยตลอดเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา และอนาคต ก็กำลังหาช่องถล่มเข้ามาอีก ถ้าหากถามว่า ทักษิณ เป็นคนทำร้ายชาติ ใช่หรือไม่ กลุ่มเสื้อขาว จะต้องกล้าออกมาตอบว่า ใช่หรือ ไม่ใช่
ทักษิณโกงประเทศเป็นแสนล้านบาท พวกท่านเสื้อขาว จะตอบว่าอย่างไร ทักษิณ คือคนสั่งฆ่ากลุ่มพันธมิตรฯ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ใช่หรือไม่ ทักษิณ คือผู้บงการการก่อจลาจล เมื่อวันที่13 เมษายน ที่ผ่านมา ใช่หรือไม่
ทั้งสองเหตุการณ์ทำให้ผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตไปหลายราย กลุ่มเสื้อขาวยอมรับหรือไม่ว่า มันเป็นการกระทำที่รุนแรงเยี่ยงสัตว์นรก
หากมีคำถามต่ออีกว่า ถ้าขบวนการทักษิณดำเนินการโค่นล้มสถาบันกษัตริย์ และระบบโครงสร้างการปกครองของประเทศ ทั้งระบบ กลุ่มเสื้อขาวจะทำอย่างไร
ถ้ากลุ่มกองกำลังติดอาวุธของทักษิณ บุกเข้ามายึดแผ่นดินไทย เครือข่ายหยุดทำร้ายประเทศไทย ตอบได้ไหมว่า ท่านจะไปกราบเท้าทักษิณ ท่าไหน?
ทั้งหลายทั้งปวง หากเครือข่ายหยุดทำร้ายประเทศไทย ยังไม่กล้าประกาศว่า นช.ทักษิณ และสมุนเป็นศัตรูของชาติ ก็อย่าหวังว่าจะพาประเทศออกจากวิกฤตความรุนแรงได้
คำตอบนั้นยังล่องลอยตามสายลม คงต้องโยนให้เวลาในอนาคตเป็นตัวบอก
อย่างไรก็ตาม คงไม่มีใครคิดบ้าอยากจะมีชีวิตอยู่ในสังคมที่ใช้ความรุนแรงเป็นมาตรการตัดสินปัญหาในทุกๆเรื่อง ทุกคนอยากให้บ้านเมืองกลับมาสู่สภาวะของความสงบสันติกันทั้งนั้น
ยิ่งคนไทยที่เกิดและมีชีวิตผูกพันวัฒนธรรมแบบลุ่มน้ำ ที่มีพื้นฐานจิตใจรักความสันติ ไม่ชอบทำการสงคราม ก็ย่อมไม่ปรารถนาที่จะมีวิถีชีวิตอยู่บนความขัดแย้งที่ต้องต่อสู้เข่นฆ่ากันเพื่อให้ชีวิตอยู่รอด
สำคัญอยู่ที่ว่า แนวทางการเข้าไปสู่การสมานฉันท์ปรองดองที่คนไทยส่วนมากใฝ่หานั้น จะมีใครคนไหน หรือกลุ่มบุคคลกลุ่มไหนออกมานำความสามัคคีในหมู่คนไทยทั้งประเทศให้ไปถึงเป้าหมายได้
กลุ่มบุคคลหลายกลุ่มที่ประกาศจุดยืนไม่เห็นด้วยต่อการที่คนไทยใช้ความรุนแรงในการตัดสินปัญหาความขัดแย้ง ได้ออกมาให้สติแก่สังคม และเสนอตัวเป็นกรรมการห้ามมวย โดยยื่นแนวทางสันติวิธีมาให้พิจารณาว่า
จะเป็นทางออกจากวิกฤติความขัดแย้งได้ แต่ทุกกลุ่มสันติวิธีก็โดนปฏิเสธไปทุกที
ถูกตอกหน้าแหกไปตามๆ กัน
ยังจำได้ไหม กลุ่มริบบิ้นสีขาว นำโดย นายโคทม อารียา และนายปริญญา เทวานฤมิตรกุล ก็เคยออกมาประกาศตัวเป็น “กาวใจ” ในสถานการณ์ที่ใกล้จะเกิดการปะทะขั้นแตกหักระหว่างพลังมวลมหาชนในนาม “กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” กับรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตอนนั้นดูฟอร์มของกลุ่มริบบิ้นขาวตั้งแต่ออกแขกแล้วก็มั่นใจว่า
เจ๊งแน่ๆ เพราะคนอย่าง “โคทม” กับ “ปริญญา” ไร้บารมี แล้วยังไม่กล้าที่จะตัดสินปัญหาว่า ใครถูกใครชั่วอย่างไร เหมือนมีวาระแอบแฝงซ่อนอยู่ ทั้งพูดจาท่าทีฟังดูเลอะเทอะ ปัญญาอ่อน ย้ำแต่บอกให้เลิกทะเลาะกัน ให้หันหน้าเข้ามาคุยกัน และยังมีแนวทางเสนอที่หน่อมแน้มอีกมาก
ผลลัพธ์ก็คือ ไม่มีใครฟัง และยังโดนเสียงด่าขรม
แม้แต่อาจารย์เสรี วงศ์มณฑา ยังออกมาตำหนิ กลุ่มริบบิ้นขาว เขียนบทความลงใน นสพ.ไทยโพสต์ ประจานความไม่เข้าท่าของกลุ่มนี้
หากจะมองว่า การรัฐประหารของ คมช.เป็นการยับยั้งความรุนแรงก็ไม่ผิด และก็ไม่ผิดที่มีการรัฐประหารขึ้นอีกครั้งในประเทศไทย เพราะการรัฐประหาร เป็นวิธีสุดท้ายในทางทฤษฎีรัฐศาสตร์ที่เข้ามาแก้ไขปัญหาการเมือง หากไม่มีวิธีการอื่นที่ดีกว่าจะใช้ได้แล้ว
แม้ว่า คณะรัฐประหารขับไล่ทักษิณ และลิ่วล้อออกจากอำนาจรัฐ และตัวทักษิณ ก็กลายเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี-มหาเศรษฐีผู้ไร้แผ่นดินอาศัย ตราบถึงทุกวันนี้
ความขัดแย้งยังไม่ยุติ
แต่กลับเพิ่มสูงขึ้น ลุกลามขยายวงกว้างไปมากกว่าเดิม เพราะคนที่ถูกโค่นลงจากอำนาจโดยพลังมหาชน และกองทัพ ไม่หยุดที่จะกลับมามีอำนาจอีกครั้ง มีความพยายามอย่างสูง ทุ่มเทกำลังสมอง และทุนทรัพย์ไม่อั้น สร้างพลังมวลชนทุกภาคส่วน ทั้งนักการเมืองและประชาชนเป็นเครื่องมือในการสร้างอำนาจต่อรองในทุกๆ เรื่อง
สถานการณ์หลังทักษิณสิ้นอำนาจ ประเทศไทยถูกตอกลิ่มความแตกแยกทุกจุด ทุกๆวัน ด้วยการปลุกปั่น ระดมพลออกมาก่อเหตุ เปิดสงครามการต่อสู้เพื่อยึดประเทศไทยในทุกรูปแบบ และทุกแนวรบ
ทำให้ภารกิจของกลุ่มพันธมิตรฯ ยังไม่จบ ระดมพลออกมาสู้ใน “สงครามครั้งสุดท้าย” เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 51 จัดชุมนุมยืดเยื้อเป็นเวลาสิริรวมแล้ว 193 วัน สับเปลี่ยนเคลื่อนย้ายยุทธวิธี จนถึงยุทธการยึดทำเนียบรัฐบาลเป็นฐานที่มั่น จนรัฐบาลนอมินี นายสมัคร สุนทรเวช พ้นไปตามคำวินิจฉัยของ “ศาลรัฐธรรมนูญ”
ในความผิดการกระทำอันขัดกันในประโยชน์จากการรับทำหน้าที่ พิธีกรรายการทำอาหารทางทีวี ซึ่งนายสมัคร รับค่าตัวเดือนละนับแสนบาท ในขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
โดนดาบตุลาการฟันตายไปทางการเมืองอีกคน
เป็นอาญาสิทธิ์ที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติไว้ เป็นรายที่สองในระบอบทักษิณ ซึ่งคนแรกก็คือ ลูกพี่ของสมัคร ที่โดนกฎหมายป.ป.ช. ฟันคาศาลฎีกานักการเมือง ด้วยการใช้อำนาจหน้าที่นายกรัฐมนตรีเอื้อประโยชน์ซื้อที่ดินย่านรัชดาฯ
ในราคาถูก และเลี่ยงไม่เสียภาษีโดยการใช้อำนาจนายกฯ ประกาศเลื่อนวันหยุดส่งท้ายปีเก่าขึ้นปีใหม่ออกไป เพื่อยืดวันทำการของราชการ
ใช้เป็นเงื่อนเวลาซื้อที่ดินผืนนั้น ไม่ต้องจ่ายเงินภาษีซื้อขาย ทำให้รัฐเสียรายได้นับสิบล้านบาท
ในความผิดเรื่องนี้ ทักษิณจึงไม่ได้มีแค่เซ็นชื่อในสำเนาบัตรประชาชนตนเองเพียงอย่างเดียวตามที่พูดให้กลุ่มคนเสื้อแดงหลงเชื่อ แต่คิดคดโกงประเทศชาติมาอย่างเป็นขั้นตอน คือวางแผนซื้อที่ดินจากรัฐบาลในราคาที่ปิดช่องทางการแข่งขันด้านราคา เพื่อจะได้ซื้อในราคาถูกตามที่ตนต้องการ และไม่ต้องเสียภาษีอีกต่างหาก
ความจริงประเด็นออกคำสั่งประกาศเลื่อนวันหยุด ทักษิณ น่าจะโดน “ศาลปกครอง” พิจารณาความผิดในการออกคำสั่งโดยมิชอบอีกคดี ยังไงก็ต้องโดนแน่ เพราะออกคำสั่งโดยไม่จำเป็น ไม่เหมาะสม และมีเจตนาฉ้อฉล
แล้วทักษิณกับลิ่วล้อจะบอกว่า อำนาจตุลาการกลั่นแกล้งได้อย่างไร ซึ่งเท่าที่โดนนั้น มันน่าจะเบาไปด้วยซ้ำ
สันดานของระบอบทักษิณ จะไม่ยอมรับผิดเมื่อถูกจับได้ไล่ทัน และจะหาเหตุผลข้างๆ คูๆ มาอ้างกล่าวให้ร้ายแก่ฝ่ายตรงข้ามเสมอ ทั้งออกมาอย่างเปิดเผย และใช้วิธีการปล่อยข่าวลือ เพื่อลดความเชื่อถือของฝ่ายอื่น
หลังพรรคพลังประชาชนโดน “ศาลรัฐธรรมนูญ” ลงมติเอกฉันท์ให้ยุบพรรค ก็กล่าวหาว่าตุลาการศาลสูงแห่งนี้จงใจกลั่นแกล้ง ทั้งๆที่เกิดจากความผิดของ นายยงยุทธ ติยะไพรัช ที่ทำความผิดทุจริตการเลือกตั้ง ซึ่งเรื่องได้ผ่านการพิจารณาของ กกต. หรือคณะกรรมการการเลือกตั้ง เข้าไปสู่ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง
ชี้ขาดว่า เป็นความผิดทุจริตต่อกฎหมายเลือกตั้งมาเป็นลำดับ
เป็นผลให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีหุ่นเชิดต้องตกจากเก้าอี้ และสะเทือนระบอบทักษิณ ถึงกับสิ้นเชื้อไปด้วยกัน เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2551 ซึ่งเป็นวันเดียวกันที่กลุ่มพันธมิตรฯ ประกาศสลายตัวที่สนามบินสุวรรณภูมิ
หากไม่มีการกระทำความผิดจนนำไปสู่การพิจารณาพิพากษาของศาลสูงทั้งศาลยุติธรรม และศาลพิเศษอย่างศาลรัฐธรรมนูญ ทักษิณ และพลพรรค ก็ยังมีพื้นที่ยืนในการเมือง แต่เป็นเพราะก่อกรรมทำเข็ญไว้จึงต้องรับกรรมไป
ทางออกของทักษิณที่แสดงออกมา ยังไม่หยุดที่จะหวนคืนอำนาจ ทั้งยังมีความมุ่งหมายที่จะยึดประเทศไทยให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด แม้แต่สถาบันอันเป็นที่เคารพเทิดทูนของคนไทย ก็เป็นเป้าหมายทำลายล้าง ตลอดถึงโครงสร้างการปกครองส่วนต่างๆ ก็ถูกทักษิณกระทบอย่างหนัก เช่น ระบบตุลาการ ก็ถูกใส่ร้ายป้ายสีไม่ต่างจากคณะที่ปรึกษาของสถานบันกษัตริย์อย่างองคมนตรี ก็โดนกระหน่ำหนัก
แน่นอน เหตุการณ์เมื่อวันที่ 13 เมยายนที่ผ่านมาก็บอกชัดว่า ทักษิณเลือกใช้วิธีรุนแรง และจะแรงยิ่งขึ้นถึงขั้นที่นายจักรภพ เพ็ญแข ประกาศว่า จะตั้งกองกำลังติดอาวุธเตรียมประทุษร้ายต่อประเทศไทยแล้ว
ใครคือคนใช้ความรุนแรงเห็นกันชัดๆแล้ว เป็นการเตรียมเพิ่มวิกฤติของชาติให้หนักหน่วงยิ่งขึ้น
เป็นโจทย์ที่คนไทยต้องพิจารณาร่วมกันว่า จะเตรียมการรับมือกับวิกฤติความรุนแรงที่จะเกิดรอบใหม่ โดยกลุ่มทักษิณอย่างไร? โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ต้องพิจารณาให้หนัก ก็คือขบวนการ
“เครือข่ายหยุดทำร้ายประเทศไทย”
ที่ออกมาชูประเด็นเรียกร้อง หยุดทำร้ายประเทศไทย หยุดใช้ ความรุนแรง ป่าวร้องเพื่อสร้างค่านิยมให้คนไทยได้ตระหนัก
ให้ทุกฝ่ายที่เห็นแตกต่างทางการเมืองหยุดใช้ความรุนแรงในการตัดสินปัญหา และร่วมกันแก้ไขโดยสันติวิธี
ปฏิญญาของกลุ่มนี้ ประกาศออกมามีสภาพเป็นภาวะวิสัย เลยตีขลุมกล่าวโทษขบวนการทางการเมืองที่ออกมาเคลื่อนไหวตามสิทธิไปเสียทุกกลุ่ม แม้จะปฏิเสธไม่มีเจตนาเช่นนั้นก็ตาม แต่คนที่อยู่ในวงความขัดแย้งเขาไม่อาจไม่คิด
เสมือนว่า ชี้หน้าด่ากราดไปทุกกลุ่ม มองการต่อสู้ทางการเมืองตอนนี้เหมือนสุนัขกัดกัน ปฏิญญาของกลุ่มเครือข่ายนี้ ก็ไม่ต่างจากไม้คานที่ฟาดลงมาให้ทุกฝ่ายเลิกกันไป
จึงไม่น่าแปลกใจที่คนในวงความขัดแย้ง ทั้งฝ่ายเทพ และมาร จะออกมามีปฏิกิริยาตอบโต้กลับกลุ่มหยุดทำร้ายชาติฯ อย่างไม่ต้องคิดกันนาน เพราะไม่ว่าเทพหรือมาร ต้องการให้ระบุออกมาชัดๆ เลยว่า
ใครคือคนทำร้ายประเทศไทยตลอดเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา และอนาคต ก็กำลังหาช่องถล่มเข้ามาอีก ถ้าหากถามว่า ทักษิณ เป็นคนทำร้ายชาติ ใช่หรือไม่ กลุ่มเสื้อขาว จะต้องกล้าออกมาตอบว่า ใช่หรือ ไม่ใช่
ทักษิณโกงประเทศเป็นแสนล้านบาท พวกท่านเสื้อขาว จะตอบว่าอย่างไร ทักษิณ คือคนสั่งฆ่ากลุ่มพันธมิตรฯ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ใช่หรือไม่ ทักษิณ คือผู้บงการการก่อจลาจล เมื่อวันที่13 เมษายน ที่ผ่านมา ใช่หรือไม่
ทั้งสองเหตุการณ์ทำให้ผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตไปหลายราย กลุ่มเสื้อขาวยอมรับหรือไม่ว่า มันเป็นการกระทำที่รุนแรงเยี่ยงสัตว์นรก
หากมีคำถามต่ออีกว่า ถ้าขบวนการทักษิณดำเนินการโค่นล้มสถาบันกษัตริย์ และระบบโครงสร้างการปกครองของประเทศ ทั้งระบบ กลุ่มเสื้อขาวจะทำอย่างไร
ถ้ากลุ่มกองกำลังติดอาวุธของทักษิณ บุกเข้ามายึดแผ่นดินไทย เครือข่ายหยุดทำร้ายประเทศไทย ตอบได้ไหมว่า ท่านจะไปกราบเท้าทักษิณ ท่าไหน?
ทั้งหลายทั้งปวง หากเครือข่ายหยุดทำร้ายประเทศไทย ยังไม่กล้าประกาศว่า นช.ทักษิณ และสมุนเป็นศัตรูของชาติ ก็อย่าหวังว่าจะพาประเทศออกจากวิกฤตความรุนแรงได้