“วิระยา” เปลือยตัวเอง อ้างเข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงตรัสถามด้วยพระองค์เองเรื่องบังคับขายเสื้อสีฟ้าสร้างความเดือดร้อนให้ผู้มีรายได้น้อย ส่วนเงินขายเสื้อจากปี 2547 จนถึงขณะนี้ผ่านมา 5 ปี ยังไม่ได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ยังอยู่ในมูลนิธิตัวเอง ซัดท่านผู้หญิงจรุงจิตต์มีอคติส่วนตัว อ้างเป็นฝ่ายทูลลาไม่ขอตามเสด็จฯ เอง ขณะที่พบว่ามูลนิธิมีการจัดจำหน่ายเสื้อรวม 3 ล้านตัว ตัวละ 400 บาท รวมมูลค่าถึง 1,200 ล้านบาท หลังก่อนหน้านี้คุยโอ่เคยทำงานถวายสมเด็จฯ 300 ล้าน ฟุ้งพร้อมทำงานออกเงินเองทุกบาทเพราะพ่อแม่ทิ้งสมบัติไว้ให้มาก
หนังสือพิมพ์ข่าวสด ฉบับวันที่ 5 พฤษภาคม ได้สัมภาษณ์ท่านผู้หญิงวิระยา ชวกุล ประธานกรรมการมูลนิธิบำรุงขวัญทหาร ตำรวจ อาสาสมัครชายแดน ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ที่บ้านพักซอยศรีอยุธยา 5 ให้สัมภาษณ์ว่า ทุกวันนี้ได้รับกำลังใจจากเพื่อนฝูงคนรู้จักแสดงความเป็นห่วงตลอดทั้งวัน ต้องขอบคุณนายสนธิที่พาดพิงถึงหลายเรื่อง จนทำให้มีโอกาสเปิดอกคุยกับสื่อ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยสนใจคำพูดหรือรายการเอเอสทีวีด้วยซ้ำ ยืนยันว่าไม่ได้ตกอับถึงขั้นขอเงิน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่บ้านฐานะดี ร่ำรวยที่ดิน ซอยศรีอยุธยา 5 ทั้งซอยเป็นของคุณแม่
“ที่โยงว่าพี่เกี่ยวข้องกับการสังหาร อย่างคุณสนธิที่เลื่อนการแถลงข่าวหลายครั้ง และที่แถลงข่าวก็พูดเหมือนว่าพี่เกี่ยว แต่พูดอีกทีก็บอกว่าไม่เกี่ยว ไม่ทราบว่าถูกยิงที่สมองจนเพี้ยนหรือเปล่า ถึงพูดจากำกวมเช่นนี้” ท่านผู้หญิงวิระยา กล่าว
ท่านผู้หญิงวิระยากล่าวอีกว่า ดูจากวิธีการที่คนร้ายยิงนายสนธิ ต้องเป็นฝีมือคนระดับชาติ ไม่ใช่คนตัวเล็กๆ เช่นตน ที่เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ขนาดไปกินข้าว กุ้งเป็นๆ ยังไม่ฆ่าเลย จะทำอย่างนั้นได้อย่างไร และไม่เชื่อเป็นฝีมือ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ด้วย ตนรู้จัก พล.อ.อนุพงษ์มาตั้งแต่ติดยศร้อยโท รู้ดีว่านิสัยเป็นคนอย่างไร ขนาดปฏิวัติยังไม่ทำ ตอนเกิดม็อบก็กำชับไม่ให้ทหารฆ่าประชาชน จึงไม่ทำแน่นอน ตนเชื่อในกฎแห่งกรรม ใครทำอะไรต้องได้อย่างนั้น และมั่นใจว่านายสนธิต้องทราบดีว่าใครยิง เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมาป้ายความผิดให้ตนด้วย
เผยสมเด็จฯ ทรงตรัสถามเรื่องร้องเรียนขายเสื้อ
ท่านผู้หญิงวิระยากล่าวต่อว่า กรณีท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ทีขะระ รองราชเลขาธิการในพระองค์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทำหนังสือชี้แจงว่าตนไม่เกี่ยวข้องกับสมเด็จพระนางเจ้าฯ พร้อมกับโจมตีเรื่องโครงการเสื้อฟ้านั้น ยอมรับตนกับท่านผู้หญิงจรุงจิตต์มีปัญหาส่วนตัวกัน ส่วนเรื่องเสื้อฟ้าเป็นเรื่องเก่าตั้งแต่ปี 2547 โครงการนี้ตั้งใจทำเพื่อหารายได้ถวาย ในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 72 พรรษา โครงการนี้ใช้เงินส่วนตัวของตนทั้งหมด โดยทำทั้งหมด 2 ล้านตัว ก่อนทำขอพระราชทานพระนามาภิไธยย่อ สก. แต่ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์บอกว่าอย่าทำเลย เพราะพระนามาภิไธยย่อ สก.ไม่เคยพระราชทานให้ใคร ทรงหวง ตอนนั้น พ.ต.ท.ทักษิณบอกกับตนว่าทำแล้วจะช่วยขายอีกแรง ตนอยากเห็นโครงการเกิดขึ้นเพราะอยากเห็นทุกคนใส่เสื้อฟ้า
ท่านผู้หญิงวิระยากล่าวด้วยว่า ต่อมาท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ทำจดหมายถึงผู้ว่าฯ ทั่วประเทศว่าสมเด็จพระนางเจ้าฯ ได้รับฎีกาว่ามีการบังคับซื้อเสื้อ ทำให้ชาวบ้านที่มีรายได้น้อยเดือดร้อน ตนมีโอกาสเข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงถามว่ารู้เรื่องหรือไม่ ตนถวายคำชี้แจงว่าทราบแต่ยืนยันไม่ได้บังคับใคร คนซื้อเพราะรักในใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท จึงยืนยันกับพระองค์ท่านว่าจะเดินหน้าทำต่อไปแม้ว่าจะมีอุปสรรค หากหยุดก็ต้องมาจากคำสั่งของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เท่านั้น ยืนยันเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ได้จากการขายเสื้อยังอยู่ครบ
เงิน 400 ล.ยังอยู่ในบัญชีมูลนิธิไม่ได้ทูลเกล้าฯ ถวาย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงนี้ท่านผู้หญิงวิระยาได้โชว์สมุดบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ ชื่อมูลนิธินพรัช-รัตนโกสินทร์ (เสื้อ) ยื่นให้ผู้สื่อข่าวดู และกล่าวว่า รอให้ทางวังแจ้งกำหนดการเข้าเฝ้าฯ ตนจะนำเข้าไปถวาย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้รู้สึกท้อ จึงตัดสินใจเข้ากราบบังคมทูลลากับสมเด็จพระนางเจ้าฯ ด้วยตัวเองว่าต่อไปนี้จะไม่ขอตามเสด็จฯ และไม่ทำงานพวกนี้อีกแล้ว ไม่ใช่เพราะถูกไล่ออกจากวัง เป็นเรื่องที่ตนแสดงความประสงค์เอง เรื่องที่นายสนธิกล่าวหานี้ทำให้ตนเสียหายมาก ที่ผ่านมาตนทำงานใดมักมีอุปสรรค จึงทำให้เข้าใจหัวอกของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่แม้จะรู้ว่ามีอุปสรรคใหญ่หลวงแต่ก็ยังพยายามทำต่อไป
แจง “ท่านผู้หญิงวิระยา” ไม่เกี่ยวข้องกับราชสำนัก
หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ฉบับวันที่ 4 พฤษภาคม ในหน้าที่ 3 ได้ตีพิมพ์แก้ไขข่าวที่ Thanpuying denies plotting to kill Sondhi ที่เผยแพร่ในหน้าแรกของหนังสือพิมพ์เมื่อวันที่ 3 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยระบุว่า ทางหนังสือพิมพ์ได้รับคำชี้แจงจาก ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ทีขะระ รองราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ยืนยันว่า ท่านผู้หญิงวิระยานั้นไม่เคยเป็นนางสนองพระโอษฐ์ (Lady-in-waiting) ในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ แต่อย่างใด
“กิจกรรมและธุรกิจทุกประการที่ท่านผู้หญิงวิระยาดำเนินการนั้นเป็นกิจกรรมส่วนตัวของท่านผู้หญิงวิระยา ซึ่งไม่มีความเกี่ยวพันกับสำนักพระราชวังใดๆ ทั้งสิ้น” ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ระบุ
รองราชเลขานุการในสมเด็จพระนางเจ้าฯ ยังยืนยันด้วยว่า ตำแหน่งนางสนองพระโอษฐ์นั้นต้องได้รับการโปรดเกล้าฯ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษา นอกจากนี้ ท่านผู้หญิงวิระยายังไม่มีตำแหน่งใดๆ ในสำนักพระราชวังอีกด้วย
เผยมูลนิธิฯ-วิระยาจำหน่ายเสื้อ 3 ล้านตัว รวม 1,200 ล.
ส่วนกรณีการขายเสื้อสีฟ้าจนสร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนนั้น รายละเอียดของเรื่องดังกล่าวปรากฏอยู่ในข่าว นสพ.มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 3 พ.ค. 47 ดังนี้
“สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชเสาวนีย์ผ่านกองราชเลขานุการในพระองค์ถึงปลัดมหาดไทย-ผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ ให้ยุติการใช้วิธีจำหน่ายเสื้อปักอักษรพระนามาภิไธย “สก.” ด้วยวิธีออกหนังสือเวียนให้ข้าราชการและพนักงานทุกระดับชั้นซื้อ เผยทรงเสียพระราชหฤทัยอย่างยิ่งหลังทรงทราบจากฎีการ้องทุกข์หลายฉบับระบุสร้างความเดือดร้อนกับผู้มีรายได้น้อย
รายงานข่าวจากกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า สำนักราชเลขาฯได้มีหนังสือด่วนที่สุดลงวันที่ 26 เมษายน 2547 ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด แจ้งว่า กองราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้มีหนังสือชี้แจงไปยังปลัดกระทรวงมหาดไทย ลงวันที่ 23 เมษายน เรื่องการจัดจำหน่ายเสื้อสีฟ้าปักอักษรพระนามาภิไธย ส.ก. โดยส่งสำเนาหนังสือดังกล่าวมาให้ทราบโดยทั่วกันอีกครั้ง
สำหรับหนังสือของกองราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ถึงปลัดกระทรวงมหาดไทย ลงนามโดยท่านผู้หญิง จรุงจิตต์ ทีขะระ รองราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื้อหาระบุว่า ข้าราชการและหน่วยงานต่างๆ ในสังกัดกระทรวงมหาดไทย รวมทั้งประชาชนทั่วไป ได้ทำฎีการ้องทุกข์กราบบังคมทูลสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เรื่องการจัดจำหน่ายเสื้อสีฟ้าของมูลนิธินพรัช-รัตนโกสินทร์ ราคาตัวละ 400 บาท พร้อมทั้งระบุรายละเอียดการจัดจำหน่าย ว่า มีหน่วยงาน 3 แห่ง คือ กระทรวงมหาดไทย ได้รับมา 1 ล้านตัว ธนาคารออมสิน 1 ล้านตัว และธนาคารกรุงไทยอีก 1 ล้านตัว
“โดยเฉพาะในหน่วยงานสังกัดของท่าน ได้ใช้การจัดจำหน่ายด้วยวิธีออกหนังสือเวียนให้ข้าราชการและนักงานทุกระดับชั้นซื้อ ซึ่งสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้มีรายได้น้อยเป็นอย่างยิ่ง และได้ถูกเร่งให้จัดจำหน่ายให้เสร็จสิ้นภายในเดือนสิงหาคม 2547” หนังสือระบุ
หนังสือระบุต่อว่า มูลนิธินพรัช-รัตนโกสินทร์ โดยท่านผู้หญิงวิระยา ชวกุล ประธานกรรมการมูลนิธิ และเป็นประธานฝ่ายผลิตเสื้อยืดปักอักษรนามาภิไธย สก.72 พรรษา ได้มีหนังสือขอพระราชทานพระราชานุญาตจัดทำเสื้อดังกล่าวจำนวน 2 ล้านตัว ซึ่งได้รับพระราชานุญาต ทั้งนี้ การขอพระราชทานพระราชานุญาตจัดทำโครงการเฉลิมพระเกียรติต่างๆ เพื่อถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศลนั้น มักได้รับพระราชทานพระราชานุญาตแทบทุกโครงการ โดยที่หวังพระราชหฤทัย ว่า การดำเนินโครงการจักเป็นไปโดยความถูกต้องเหมาะสม และไม่สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชน
“บัดนี้ความได้ทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท เรื่องการจัดจำหน่ายเสื้อสีฟ้าปักอักษรพระนามาภิไธย ส.ก.โดยวิธีการดังกล่าวแล้วจากฎีกาหลายฉบับ ทำให้ทรงเสียพระราชหฤทัยยิ่ง จึงมีพระราชเสาวนีย์ให้แจ้งมายังท่าน และผู้ที่เกี่ยวข้องให้หยุดวิธีจัดจำหน่ายซึ่งสร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนทันที และขอให้วางจำหน่ายให้ประชาชนซื้อได้ตามความสมัครใจ” หนังสือของท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ระบุในที่สุด”
ไม่สนถูกวิจารณ์เสื้อสีฟ้า คุยโอ่เคยทำงานถวายราชินี 300 ล.
ก่อนหน้านี้ท่านผู้หญิงวิระยาได่ให้สัมภาษณ์ต่อสำนักข่าวไอเอ็นเอ็น ซึ่งผู้สื่อข่าวได้สัมภาษณ์ถึงกรณีเรื่องเสื้อสีฟ้าที่เป็นข่าวอื้อฉาวว่า เคยโกรธคุณสนธิบ้างไหม ท่านเองถูกโจมตีเยอะ ทั้งเรื่องการขายเสื้อฟ้าเฉลิมพระเกียรติ
“จำได้ว่าว่าในหลวงเคยสอนดิฉันมาสมัยก่อนว่า พระพุทธรูปนี่ยังถูกนินทาเลย ดังนั้น ดิฉันจะถือลัทธิว่า ถ้าใครเขาชอบเรา ถ้าเราจะทำดี หรือทำไม่ดี เขาก็จะชอบเรา เห็นว่าเราไม่ผิด คนไหนที่เขาไม่ชอบเรา ให้เราทำดีให้ตาย ก็จะเห็นว่าเราไม่ดี ดังนั้นดิฉันไม่สนหรอกใครจะวิพากษ์วิจารณ์ เพราะดิฉันยืนอยู่บนความถูกต้อง คือทุกสิ่งทุกอย่างมันมีความจริงที่จะพิสูจน์ตัวมันเองตลอด อย่างงานการกุศล ใครทำงานกันมาก็จะรู้ว่า งานทุกครั้งไม่เคยหักค่าใช้จ่าย ถ้ามีค่าใช้จ่ายจะใช้เงินส่วนตัว อย่างงานถวายสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ 300 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายบาทเดียวก็ไม่มี เพราะหลายส่วนช่วย หากเขาไม่ช่วย ดิฉันจะจ่ายเอง”
“ดิฉันตัวคนเดียว พ่อแม่ทิ้งมรดกไว้ให้มากมายก่ายกอง ตายไปก็เอาไปไม่ได้ แค่ที่ดินยังไม่ขายเลยซักแปลงที่แม่พ่อให้ไว้ ก็ยังไม่ใช้ไม่หมด เพราะเป็นมัธยัสถ์ ดิฉันเป็นคนไม่เคยซื้อของแพง สมัยก่อนอาจจะจริงชอบใช้ของมียี่ห้อ ตอนที่แม่มีชีวิตอยู่ แต่ตอนนี้ดิฉันจะเก็บเงินไว้ทำบุญอย่างเดียว”